ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 529 อำนาจการปกครอง

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 529 อำนาจการปกครอง

เสี้ยวพริบตานั้น ลั่วเซิงไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง ส่วนทหารที่ติดตามอยู่ด้านหลังก็เกือบจะควบคุมสีหน้าท่าทางเอาไว้ไม่อยู่

บะหมี่เครื่องผัดอะไรกัน พวกเขาฟังผิดไปหรือไม่

แคะหูต่อหน้าทัพศัตรูนั้นทำไม่ได้เด็ดขาด แต่ดูเหมือนว่าไคหยางอ๋องผู้มีชื่อเสียงสะเทือนใต้หล้าจะไม่เหมือนกับที่พวกเขาคิดเล็กน้อย…

สำหรับองครักษ์หนึ่งร้อยนายที่เว่ยหานพามาด้วยนั้นมองฟ้าอย่างหมดวาจาจะกล่าวไปแล้ว

พวกเขาได้ยินอะไรก็ล้วนเข้าใจหมด ดังนั้นถึงได้รู้สึกขายหน้าอย่างไรเล่า!

นายท่านนะนายท่าน ท่านอยากกินบะหมี่เครื่องผัด หาโอกาสเอ่ยเงียบๆ ไม่ได้หรือ เอ่ยออกมาต่อหน้าทุกคนเช่นนี้ พวกเขาองครักษ์เหล่านี้ไม่ต้องการศักดิ์ศรีหรือไร

ลั่วเซิงยิ้มบางๆ “ท่านอ๋องกินบะหมี่เครื่องผัดแล้ว จะไม่บุกโจมตีพวกเราแล้วหรือ”

นางกล่าววาจาประหนึ่งล้อเล่น แต่มือขาวเนียนออกแรงจับบังเหียนแน่น

เชือกบังเหียนหยาบขรุขระเสียดสีกับฝ่ามือจนเกิดผิวหนังแข็งด้านนานแล้ว ไม่อ่อนนุ่มเหมือนในวันวาน

นางนึกว่าใช้เวลาปรับตัวนานขนาดนี้ เมื่อพานพบหน้ากันอีกครั้งในยามที่เปลี่ยนจุดยืนจะสามารถสงบเยือกเย็นได้ แต่กลับพบว่าไม่สามารถทำได้เลย

โดยเฉพาะเมื่อได้ยินเขาพูดอย่างจริงจังว่าอยากกินบะหมี่เครื่องผัด นางคล้ายกับมองเห็นต้นพลับกลางลานหอสุรา ได้กลิ่นหอมของสุราและเนื้อลอยมาจากห้องครัวด้านหลัง

การดำรงชีวิตอันเรียบง่าย แต่นางกลับไม่กล้าหวังเกินตัว

และเพราะเป็นเช่นนี้ บุคคลที่ทำให้หัวใจนางอ่อนนุ่มในช่วงชีวิตนั้นจึงกลายเป็นตัวตนที่แสนพิเศษ

เว่ยหานจ้องมองเด็กสาวที่ไม่ได้เจอกันหลายเดือนอย่างลึกซึ้ง

นางสวมเครื่องแบบทหารสีนิลทั้งตัว นั่งอยู่บนหลังม้า เสื้อคลุมสีแดงสดด้านหลังโบกสะบัดด้านหลังสะดุดตาจนทำให้ผู้คนละสายตาไปไม่ได้

ที่แท้สิ่งที่เขาคิดถึงยิ่งกว่าอาหารเลิศรสของหอสุรา ก็คือนาง

แววตาเหินห่างของเด็กสาวคล้ายกับผึ้งน้อยซุกซนต่อยเข้าที่หัวใจ แต่ใบหน้าเขากลับเรียบเฉย เอ่ยกับนางยิ้มๆ “ข้าเพียงแค่มากินข้าว คุณหนูลั่วพาข้าเข้าเมืองได้หรือไม่”

ลั่วเซิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งพลางกวาดสายตามององครักษ์เหล่านั้น “พวกเขาล่ะ?”

องครักษ์ร้อยนายหลุบตาลงพร้อมกัน

ทำเหมือนพวกเขาไม่มีตัวตนก็ได้

หากรู้แต่เนิ่นๆ ว่านายท่านจะน่าอับอายเช่นนี้ พวกเขาก็ไม่อยากจะตามมาเลยด้วยซ้ำ

เว่ยหานเอ่ยอย่างไร้ซึ่งความลังเล “พวกเขารั้งอยู่นอกเมืองก็ได้แล้ว”

องครักษ์ทุกนาย “?”

ลั่วเซิงคลายหัวคิ้ว “เช่นนั้นท่านอ๋องก็ตามข้ามาเถอะ”

เว่ยหานกระตุกบังเหียน ม้าสีขาวยกเท้าวิ่งเข้าไปงับม้าพุทราแดงที่ลั่วเซิงนั่งอยู่อย่างสนิทสนมคำหนึ่ง

ลั่วเซิงนิ่งเงียบ

ม้าสีขาวของไคหยางอ๋องคล้ายจะชอบม้าพุทราแดงของนางมาก

สองคนควบม้าเข้าเมือง ทิ้งทหารหนึ่งพันนายไว้ให้มองหน้ากันไปมากับองครักษ์หนึ่งร้อยนาย

ผู้นำของทหารก็คือจูอู่

จูอู่ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วประสานมือคารวะคนคุ้นเคยในฝ่ายองครักษ์ “น้องสือ ข้านำเหล่าทหารกลับเมืองไปกินข้าวก่อนนะ”

“เฮ้…” สือเยี่ยนยังเอ่ยวาจาไม่ทันจบ คนก็วิ่งหนีหายไปหมดแล้ว เหลือเพียงฝุ่นควันกับประตูเมืองที่ปิดลงอีกครั้ง

สือเยี่ยนหันกลับมา ยิ้มกระอักกระอ่วนให้เหล่าสหายที่ตะลึงจนตัวแข็งทื่อ “ม้าขาวตัวใหญ่ของนายท่านรู้จักกับม้าพุทราแดงของคุณหนูลั่วแต่แรกแล้ว…”

เขาทำได้เพียงอธิบายแบบนี้แทนนายท่านแล้ว

เหล่าองครักษ์มุมปากกระตุก

นี่ไม่สู้ไม่อธิบายเสียดีกว่า รู้สึกว่านายท่านยังรู้จักทำให้ผู้อื่นพึงพอใจสู้อาชาสีขาวตัวใหญ่นั่นไม่ได้เลย

“เช่นนั้นพวกเราจะรออยู่ที่นี่หรือ”

สือเยี่ยนกลอกตาใส่อย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่เช่นนั้นยังหวังให้ผู้อื่นหาข้าวให้กินด้วยหรือ”

นายท่านถูกพาเข้าไปได้ก็ไม่เลวแล้ว เจ้าพวกคนโง่กลุ่มนี้คิดอะไรอยู่กัน

นึกถึงนายท่านที่สามารถกินบะหมี่เครื่องผัดควันร้อนกรุ่นแล้ว สือเยี่ยนก็ลอบถอนหายใจ

เขาไม่มีลาภปากนั้น ตอนนี้ยังต้องใช้คุณงามความดีชดเชยความผิดอยู่เลย นายท่านไม่ให้เขารั้งอยู่ล้างถังส้วมที่เมืองหลวงก็ขอบคุณฟ้าดินแล้ว

แม่ทัพใหญ่ลั่วรออยู่ในห้องด้วยความกังวลเล็กน้อย

เซิงเอ๋อร์พาคนไปแค่หนึ่งพันคน น้อยไปหรือไม่

ในไม่ช้าก็มีคนมารายงาน “แม่ทัพใหญ่ ไคหยางอ๋องตามคุณหนูเข้าเมืองมาแล้วขอรับ”

“ไม่ได้สู้กันหรือ”

“ไม่ได้สู้กันขอรับ ไคหยางอ๋องทิ้งองครักษ์ที่พามาไว้นอกเมืองแล้วตามคุณหนูเข้าเมืองมาคนเดียว”

แม่ทัพใหญ่ลั่วได้ยินก็จมลงสู่การใคร่ครวญ

นี่ไคหยางอ๋องหมายความว่าอย่างไรกัน

เอ๋ หรือว่า…

แม่ทัพใหญ่ลั่วแววตาเป็นประกาย ข่มอารมณ์ลิงโลดเอาไว้ ถามคนที่มารายงานข่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “หลังจากเข้าเมืองมาแล้วเล่า”

“คุณหนูพาไคหยางอ๋องมาทางศาลาว่าการนี้แล้วขอรับ”

“รู้แล้ว ออกไปเถอะ”

ไล่คนรายงานข่าวออกไปแล้ว แม่ทัพใหญ่ลั่วก็ลุกขึ้นสาวเท้าเดินไปข้างหน้าต่าง มองดอกพุดซ้อนที่เบ่งบานอย่างคึกคัก เฝ้ารอด้วยความเบิกบานใจ

ดูท่าทาง สถานการณ์คล้ายจะไม่ได้แย่อย่างที่เขาคิด ไคหยางอ๋องยังมีใจให้เซิงเอ๋อร์

แน่นอนว่าอีกประเดี๋ยวได้เจอไคหยางอ๋อง เขาจะต้องพิจารณาให้ดีหน่อย

ลั่วเซิงหยุดอยู่ที่โรงน้ำชาแห่งหนึ่งแล้วพลิกตัวลงจากม้า

เว่ยหานผิดหวัง แต่กลับรับคำอย่างว่าง่าย

เทียบกับเมืองหลวงแล้ว โรงน้ำชาของเมืองเหอหยางนั้นเรียบง่ายอยู่บ้างอย่างเห็นได้ชัด บวกกับเรื่องการศึกสงครามที่ไม่ขาดสาย น้ำชาย่อมไม่ได้ดีสักเท่าใดนัก

“ทำให้ท่านอ๋องลำบากแล้ว” ลั่วเซิงรินชาจอกหนึ่งแล้วยื่นไป

“ไม่ลำบาก” เว่ยหานดื่มน้ำชาขมฝาด เอ่ยอย่างน้อยใจ

ลั่วเซิงกุมจอกชากระเบื้องหยาบ เอ่ยตรงไปตรงมาและชัดเจน “ท่านอ๋องเอ่ยจุดประสงค์ของท่านมาตรงๆ เถอะ ข้าไม่อยากเดาไปเดามาแล้ว”

ข่าวคราวที่ฝ่ายตนเองสอบถามมาได้คือ ไคหยางอ๋องคลี่คลายวิกฤตที่ข้าศึกยกทัพมาประชิดเมืองหลวง สังหารราชครูในดาบเดียว จากนั้นก็รับพระราชโองการจากฮ่องเต้มาปราบปรามกองทัพกบฏ

คิดไม่ถึงว่าจะมาที่นี่ก่อน

หากเขานำกองทหารเป็นหมื่นเป็นพันมาด้วย เช่นนั้นนางไม่มีทางถามให้มากกว่านี้แม้แต่คำเดียว แต่เขาไม่ได้สวมกระทั่งเครื่องแบบทหาร พาองครักษ์มาแค่หนึ่งร้อยคนแล้วบอกกับนางว่าอยากกินบะหมี่เครื่องผัด

ไคหยางอ๋องที่นางเข้าใจ ไม่ถึงขนาดต้องใช้แผนต่ำช้าอย่างเรื่องในอดีตมาทำให้ใจอ่อนพวกนั้น

ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยกำลังทหารของเขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องทำแบบนี้เช่นกัน

เช่นนั้นไม่จำเป็นต้องคาดเดามั่วซั่ว ถามไปตรงๆ ก็ได้แล้ว

เว่ยหานจ้องเด็กสาวที่อยู่ตรงข้ามพลางเอ่ยอย่างจริงจัง “ข้ามารับท่านกลับไป”

“กลับไปหรือ” ลั่วเซิงเลิกคิ้ว

“อืม ข้าไม่อยากให้ประตูใหญ่ของมีหอสุราลงกลอนแน่นหนา ไม่อยากให้ที่นั่นไม่มีท่าน”

ลั่วเซิงข่มคลื่นความรู้สึกภายในใจจิตใจ เอ่ยเสียงนิ่งว่า “ท่านอ๋องอาจจะลืมฐานะของข้าไปแล้ว ตอนนี้ข้าเป็นบุตรสาวของขุนนางกบฏ”

สิบกว่าปีก่อน นางคือท่านหญิงชิงหยาง บุตรสาวของขุนนางกบฏ

ตอนนี้ นางคือคุณหนูลั่วและกลายเป็นบุตรสาวของขุนนางกบฏอีกแล้ว

นางกับราชวงศ์ตระกูลเว่ยดวงไม่สมพงษ์กัน

“ข้าสังหารราชครูแล้ว” เว่ยหานเอ่ย

“ได้ยินมาแล้ว”

“ฝ่าบาทได้รับความตระหนก ต้องพักฟื้นร่างกาย”

ลั่วเซิงรอให้เขาเอ่ยต่อไปเงียบๆ

“ข้ายังทิ้งกองทัพเฉาหยางอีกหนึ่งหมื่นนายไว้ที่เมืองหลวง” เว่ยหานมองคนในใจ เอ่ยด้วยเสียงอบอุ่นว่า “ข้าบอกว่าคุณหนูลั่วไม่ใช่บุตรสาวของขุนนางกบฏ ก็ไม่ใช่”

ลั่วเซิงยังคงนิ่งเงียบ แต่ในใจกลับไม่เป็นเช่นนั้น

กำแพงสูงในใจนางคล้ายจะสั่นไหวเบาๆ

แต่ว่ายังคงไม่ได้

“ฝ่าบาทย่อมหายดี”

“สามารถพักฟื้นต่อไปได้ ในบรรดาบุตรหลานของราชวงศ์จะสามารถเลือกผู้สืบบัลลังก์ที่เหมาะสมออกมาได้”

ลั่วเซิงส่ายหน้า รอยยิ้มแฝงไปด้วยความขมฝาด “หากข้าไม่รับปากท่านอ๋อง ท่านอ๋องวางแผนจะทำเช่นไร”

เว่ยหานเงียบ

แบบนี้ก็ยังไม่ได้อีกหรือ

“คุณหนูลั่วไม่ชอบเมืองหลวงหรือ” เขาถาม

ลั่วเซิงตอบคำถามอย่างเยือกเย็น “ก็ไม่ได้รังเกียจ”

“เช่นนั้น…คุณหนูลั่วไม่ชอบข้าหรือ”

เมื่อเผชิญกับนัยน์ตาใสบริสุทธิ์ดุจน้ำพุธรรมชาติคู่นั้น ลั่วเซิงก็เงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ก็ไม่ได้รังเกียจ”

เว่ยหานข่มหัวใจที่เต้นระรัวไว้ ถามอีกว่า “เช่นนั้นต้องทำอย่างไร คุณหนูลั่วถึงจะตามข้ากลับเมืองหลวงหรือ”

ครั้งนี้ เด็กสาวซึ่งอยู่ตรงข้ามนิ่งเงียบไปนานกว่าเดิม

นานถึงขั้นที่เว่ยหานนึกว่าจะไม่ได้คำตอบแล้ว นางก็เอ่ยขึ้นว่า “นอกจากผู้ปกครองแคว้นจะไม่ได้แซ่เว่ย”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท