บทที่ 307 ขออภัย มันมีเจ้าของแล้ว!
หลิงเยว่ไม่ทราบถึงตำแหน่งของเปลวเพลิงพิสดารอื่น ๆ ส่วนเรื่องมรดก… นับตั้งแต่ที่นางดูดซับส่วนหนึ่งของเมล็ดพันธุ์ พลังแห่งการรักษาก็เพิ่มพูนขึ้น แต่กลับไม่มีมรดกตกทอดอย่างอื่นเลย!
แม้จะไม่มีมรดก แต่นางยังมีระบบแลกเปลี่ยน ตราบใดที่ยังมีค่าพลังวิญญาณ ไม่ว่าสิ่งใดย่อมหาซื้อมาได้!
ราคาของเปลวเพลิงพิสดาร อาทิ เปลวเพลิงสีม่วงพิสดารนั้นมีเลขศูนย์ต่อท้ายมากมาย จนนางไม่กล้านับ แต่เปลวเพลิงพิสดารที่รองลงมา เช่น เปลวเพลิงพิสดารที่ยังเติบโตไม่เต็มที่ แม้เห็นราคาแล้วอยากจะกระอักเลือดออกมาบ้าง แต่ยังพอกัดฟันสู้ได้
ทว่าต้องรอให้ภารกิจหลักสำเร็จเสียก่อน นางจึงจะสามารถรวบรวมค่าพลังวิญญาณเพื่อนำมาซื้อได้
ใกล้จะถึงเขตแดนปีศาจแล้ว การเพิ่มพูนความแข็งแกร่งให้กับสหายย่อมเป็นเรื่องสำคัญ
“แต่ว่า นอกจากเปลวเพลิงสีม่วงพิสดารแล้ว เปลวเพลิงพิสดารอื่น ๆ ล้วนยังไม่เติบโตเต็มที่ พลังอาจจะ…”
“ไม่เป็นไรหรอกศิษย์น้องหลิง เปลวเพลิงวิญญาณที่ยังไม่เติบโตเต็มที่ยิ่งดี เพราะข้าจะได้กลั่นมันเอง!”
เวลานี้ ว่านอวี้เฟิงตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก
ผู้บำเพ็ญที่มีแก่นปราณอัคคีต่างยินดีปรีดา แต่ผู้ที่ไร้แก่นปราณอัคคีอย่างโม่จวินเจ๋อ อวี้เจิน สือเชี่ยนและฉีซิวซีกลับมิอาจยินดีได้
“ข้ายังรู้มาอีกว่า เปลวเพลิงพิสดารนั้นมีทั้งคุณลักษณ์ของน้ำแข็ง ลมและโลหะ”
สี่ผู้ไร้แก่นปราณอัคคี “!!!”
ความสุขมาเยือนกะทันหันเช่นนี้ พวกเขาจะทำเช่นไรดี?
อวี้เจินและสือเชี่ยนยื่นมือออกไปพร้อมกันอย่างรู้ใจ โอบกอดหลิงเยว่ไว้แล้วโยนร่างของนางขึ้นฟ้า
“ศิษย์น้องหลิงจงเจริญ!”
อยู่ ๆ ก็ถูกโยนขึ้นไปบนฟ้า ลอยละล่องผ่านม่านพลังของเมืองฮั่วหยางไปอย่างง่ายดาย ร่างของนางปลิวไปไกลแสนไกลตามแรงลม หลิงเยว่ได้แต่ “… ”
อวี้เจินและสือเชี่ยนที่ไม่ได้ควบคุมพลังของตนให้ดีถึงกับนิ่งอึ้ง รีบวิ่งไล่ตามร่างของหลิงเยว่ที่ปลิวไปกับสายลมทันที
พวกนางลืมไปเสียสนิทว่าศิษย์น้องหลิงนั้นมีกายาต้านทานที่สามารถต้านทานม่านพลังหรือโล่ป้องกันได้ด้วย
ครั้นพอหลิงเยว่ร่วงลงถึงพื้น เส้นผมของนางพันกันยุ่งเหยิงจนหวีธรรมดาไม่อาจสางออกได้ กระโปรงยาวของนางมีแต่ทรายเต็มไปหมด เดินไปทางใดทรายก็ร่วงลงพื้นจนเป็นทาง ภาพเช่นนี้ทำให้เสียงหัวเราะที่เพิ่งจะเงียบลงไปกลับดังขึ้นมาอีกครั้ง!
“ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะให้เปลวเพลิงพิสดารแก่พวกท่านสองคนเป็นอันดับสุดท้าย!”
พอได้ยินเช่นนั้น อวี้เจินกับสือเชี่ยนก็รีบสำนึกผิดทันที
“ศิษย์น้องหลิง ข้าผิดไปแล้ว!”
“ใช่แล้ว ศิษย์น้องหลิง ข้าผิดไปแล้วจริง ๆ! ทั้งหมดเป็นเพราะศิษย์พี่อวี้เจินออกแรงมากเกินไป ข้าเพียงแค่โยนเบา ๆ เท่านั้นเอง!”
อวี้เจินตบเข้าที่ศีรษะของสือเชี่ยนไปหนึ่งที “ข้าแค่โยนเบา ๆ เจ้าต่างหากที่ออกแรงมากเกินไป!”
สือเชี่ยนได้แต่ลูบหัวตัวเองอย่างน้อยใจ แล้ววิ่งตามหลิงเยว่ที่กำลังโมโห “ศิษย์น้องหลิง อย่าโกรธข้าเลยนะ ข้าขอร้อง เจ้าอย่าจัดข้าอยู่ลำดับสุดท้ายเลย!”
“ส่วนเจ้า! คนที่หัวเราะเสียงดังที่สุด จัดเป็นลำดับที่สามนับจากลำดับสุดท้าย!”
ลู่เป่ยเหยียนร่างแข็งทื่อกลายเป็นหินทันที
ส่วนติงหลิวหลิ่วที่อยู่ในอันดับที่สี่จากลำดับสุดท้าย ใบหน้าที่เคยยิ้มเปลี่ยนเป็นหน้าเศร้า ส่วนผู้ที่ได้อยู่ในสามอันดับแรกได้แก่ หลงหว่านโหรว โม่จวินเจ๋อและผู่ตาน
บางคนหัวเราะ บางคนร้องไห้ แต่ทุกคนก็ยังคงมีความสุขดี
“ศิษย์น้องหลิง พวกเราจะออกเดินทางเมื่อใด?”
ถึงแม้อันดับจะอยู่อันดับท้าย ๆ แต่นั่นกลับไม่ได้ทำลายความกระตือรือร้นของติงหลิวหลิ่ว
“รอจนกระทั่งดอกบัวเพลิงกลับมาหาพวกเราอย่างปลอดภัย”
ช่วงเวลานี้หลิงเยว่ต้องการหาหินวิญญาณให้ได้มากที่สุด
นางไม่สามารถของชาแปลงกายเป็นสัตว์เทพโบราณได้ แต่สุราปราบมาร ชารู้แจ้ง และสัตว์อสูรยังสามารถขายได้อยู่
หลิงเยว่เก็บตัวบำเพ็ญสะสมค่าพลังวิญญาณ เพื่อนำไปซื้อของให้เหล่าสหาย เอิ่ม… แล้วยังต้องชำระหนี้ของเมืองฮั่วหยางด้วย
มันเป็นเรื่องจริงที่ว่า ทุกหนทุกแห่งต่างต้องใช้หินวิญญาณ!
“ระบบ เจ้าต้องการหินวิญญาณมากขนาดนี้ไปทำอะไร?”
[ไม่สามารถเปิดเผยได้]
แล้วแต่ หากไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก หลิงเยว่จึงเปลี่ยนไปถามคำถามอื่น
“ระบบ เมื่อถึงเวลาข้าซื้อเปลวเพลิงพิสดาร แต่เจ้า…”
“…อย่าขายให้ข้าโดยตรงได้ไหม?”
ระบบเลยระบุเพียงที่ตั้งของเปลวเพลิงพิสดารเท่านั้น ส่วนว่ามีโชคพอที่จะหามันเจอและฝึกฝนได้หรือไม่ ขึ้นอยู่ที่ดวงของพวกเขาเอง
“แค่ตำแหน่งเดียว ทำไมเจ้าถึงขายแพงขนาดนี้!”
หลิงเยว่หน้าถอดสี สองแสนล้านค่าพลังวิญญาณ แถมด้วยอายุขัยสองพันวัน ส่วนที่แพงที่สุดคงเป็นเปลวเพลิงน้ำแข็งพิสดารของโม่จวินเจ๋อ ราคาห้าแสนล้านค่าพลังวิญญาณกับอายุขัยอีกห้าพันวัน!
ระบบขี้งก!
ไม่มีสิ่งใดโหดร้ายไปกว่าระบบอีกแล้ว!
หากมิใช่เพราะเห็นแก่สหายที่ยอมเสียทรัพย์สมบัติไปจนหมดสิ้น หลิงเยว่คงไม่…
เอาเถิด ยังคงต้องทำอยู่ดี
นางกำหนดตัวเองเป็นผู้ช่วยเหลือที่แข็งแกร่งที่สุด ส่วนสหายทั้งหลายคือผู้คุ้มภัย ผู้คุ้มภัยต้องแข็งแกร่งกว่า นางถึงจะปลอดภัย หินวิญญาณและค่าพลังวิญญาณจึงมิอาจประหยัดได้!
มิเพียงแต่จะสร้างกลุ่มสหายที่แข็งแกร่งที่สุด หลิงเยว่ยังคิดจะมอบเปลวเพลิงพิสดารหรือศาสตราวุธระดับเทพให้อาจารย์ใหญ่สำนักเหอตง อดีตอาจารย์ใหญ่ สยงฉีเลวี่ย ผู้อาวุโสต้วนและกลุ่มปรมาจารย์ท่านอื่น ๆ เช่นกัน หากถึงเวลานั้น แม้แต่ราชาปีศาจคิดจะดูดกลืนข้าก็ต้องไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน!
หลิงเยว่ที่ตั้งเป้าหมายไว้แล้วก็เริ่มกลั่นสุราปราบมารทันที
ส่วนเรื่องไปเตือนอี้เหิงที่ทะเลต้องห้าม หลิงเยว่ได้มอบหมายให้โม่จวินเจ๋อไปแทนแล้ว ส่วนหน้าที่ของรองเจ้าเมืองนั้น แน่นอนว่าต้องเป็นศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่รองของนางเป็นคนจัดการ ส่วนสหายที่เหลืออยากทำอะไรก็ทำไป
“ท่านพ่อ ที่บ้านยังเหลือหินวิญญาณอีกเท่าใดหรือขอรับ?” ผู่ตานเปิดศิลาสื่อสารส่งข้อความถึงบิดาของตน
“ไอ้ลูกทรพี! หินวิญญาณสองแสนล้านที่ให้ไปคราวก่อนเจ้าใช้หมดแล้วรึ!?”
เสียงคำรามกึกก้องจนหูแทบแตก ผู่ตานยกมือขึ้นแคะหูอย่างไม่แยแส ก่อนจะเริ่มตัดพ้อ
“ท่านพ่อ ข้ากำพร้าแม่มาตั้งแต่ยังเล็ก…”
“พอได้แล้ว!”
พูดถึงคำว่าแม่เท่านั้น ผู้เป็นพ่อจึงรีบตัดบทลูกชายทันควัน “คราวนี้จะเอาเท่าไหร่?”
ผู่ตานยิ้มกริ่ม แผนการของเขาสำเร็จแล้ว!
อีกด้าน อวี้เจินและคนอื่นเริ่มเอ่ยปากขอหินวิญญาณจากครอบครัวเช่นกัน แม้แก่นปราณอัคคีจะไม่อาจตีค่าเป็นหินวิญญาณได้ แต่เวลานี้ พวกเขาทำได้เพียงมอบหินวิญญาณเท่านั้น เพราะหลิงเยว่ มีสิ่งที่โปรดปรานอยู่สองอย่าง นั่นคือ อาหารรสเลิศและหินวิญญาณ อาหารเลิศพวกเขาไม่อาจสรรหามาได้ เลยได้แต่เลือกหินวิญญาณแทน
โม่จวินเจ๋อยืนอยู่บนกระบี่เหมันต์เร้นลับ เมื่อเขายิ่งเข้าใกล้ทะเลต้องห้าม อุณหภูมิยิ่งร้อนระอุ และเห็นผู้คนมากมาย
“เจ้ามาที่นี่ทำไม?”
ชิงยวนสะบัดมือ โม่จวินเจ๋อก็ถูกส่งไปยังค่ายใหญ่ของสำนักหลานเทียนในพริบตา
“ข้ามาหารองเจ้าเมืองอี้เหิง”
“เขาเพิ่งนำกองทัพทหารชุดแดงออกไป”
โม่จวินเจ๋อ “…”
ไม่คิดเลยว่า อี้เหิงจะตัดสินใจเด็ดขาดเช่นนี้
แม้การจากลาทะเลทรายต้องห้ามจะทำให้อี้เหิงใจหายอยู่บ้าง แต่เมื่อรู้ว่าเปลวเพลิงพิสดารที่ทำให้ฟ้าดินแปรปรวนนั้นกำลังจะตกเป็นของรองเจ้าเมืองน้อย ความอาลัยในใจของเขาพลันมลายหายไป
อย่างน้อยก็ตกเป็นของพวกเดียวกัน ไม่ใช่คนอื่นไกล
ทันใดนั้นเปลวเพลิงสีม่วงที่ซ่อนตัวอยู่ก็พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ตามมาติด ๆ ด้วยดอกบัวเพลิงขนาดมหึมา ทันทีที่บัวเพลิงปรากฏกาย เหล่าผู้บำเพ็ญของพุทธวิหารก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาในทันใด
“พวกข้ามาช่วยท่านแล้ว!”
“ไม่ต้อง พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องช่วย! นี่คือดอกบัวเพลิงของสำนักหลานเทียน!” ผู้อาวุโสต้วนเป็นคนแรกที่พุ่งเข้าหาเปลวเพลิงพิสดาร ตามมาด้วยสยงฉีเลวี่ยและชิงยวน และด้านหลังของพวกเขายังมีเหล่าผู้อาวุโสตามมาเป็นขบวน
กลุ่มผู้บำเพ็ญระดับสูงขวางทางเปลวเพลิงพิสดารเอาไว้
“ผู้อาวุโสต้วน ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
ใครบ้างไม่รู้ว่าดอกบัวเพลิงเป็นของพุทธวิหาร เพียงแค่ชื่อของมันก็บอกอยู่แล้วว่ามันเป็นของผู้ฝึกวิถีพุทธ!
“ท่านอาจารย์ไป๋ ดอกบัวเพลิงได้เลือกเจ้านายแล้ว และผู้ที่ได้รับเลือกคือหลิงเยว่ ศิษย์น้อยของข้า”
เหล่าผู้ฝึกวิถีพุทธ “???”
พวกเขาไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าว
“ดอกบัวเพลิงของพวกข้าเลือกผู้อื่นเป็นนาย?”
“เป็นไปไม่ได้!”
เหล่าผู้ฝึกวิธีพุทธต่างไม่อยากจะเชื่อ และรู้สึกเหมือนความศรัทธาของพวกเขากำลังพังทลาย