ตอนที่ 1,432 ข่าวด่วนข่าวร้าย
ต้องหลบหนี ต้องหลบหนี!
พานเซียงหลบหนีด้วยความเร็วมากที่สุดในชีวิต
วิหารเทพตะวันล่มสลายลงแล้ว
เขาเป็นเพียงเทพเจ้าระดับสูงผู้เดียวที่สามารถหนีรอดออกมาจากภูเขาไป๋ฝ่าเจี้ยนได้สำเร็จ… ซึ่งไม่ใช่เพราะว่าเขามีพลังความแข็งแกร่งใด แต่เป็นเพราะพานเซียงมีนิสัยรักตัวกลัวตายมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ดังนั้น ระหว่างที่หลบซ่อนตัวอยู่ในห้องนอน เขาจึงเปิดประตูมิติรอเอาไว้อยู่แล้ว
และเมื่อการบุกโจมตีเริ่มขึ้น พานเซียงก็ไม่ได้ออกไปดูด้วยความสงสัย ไม่มีความคิดที่จะออกไปสู้กับศัตรู เพราะสิ่งที่เขาทำนั้นคือรีบหลบหนีออกมาโดยเร็วที่สุด
เป็นเพราะการตัดสินใจในครั้งนี้ พานเซียงจึงเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวจากภูเขาไป๋ฝ่าเจี้ยน
พานเซียงนึกถึงภาพการถล่มลงมาของภูเขาหิมะอีกครั้ง
นับเป็นภาพที่น่ากลัวเหลือเกิน
ผู้ที่ปรากฏตัวลงมาจากฟากฟ้าทำลายทุกสิ่งทุกอย่างในภูเขาลูกนั้น
เทพเจ้าระดับสูงจำนวนมากที่มีตำแหน่งสูงมากกว่าพานเซียงต้องถูกเผาไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน
น่ากลัวมากเกินไป
น่าสยดสยองมากเกินไป
เด็กหนุ่มผู้นั้นเป็นใครกันนะ?
ก่อนโจมตี เห็นประกาศว่าตนเองมีนามหลินเป่ยเฉินใช่หรือไม่?
เซียนกระบี่แห่งเป่ยไห่หลินเป่ยเฉิน ชื่อนี้พานเซียงเองก็เคยได้ยินมาบ้าง
นอกจากเป็นมือกระบี่ที่มีฝีมือทัดเทียมเทพเจ้าแล้ว หลินเป่ยเฉินผู้นี้ยังเป็นผู้นำของกลุ่มสัมพันธมิตรและเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีค่าหัวราคาแพง มิหนำซ้ำ ยังเกิดข่าวลือว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ได้ครอบครองตำแหน่งเทพเจ้าแล้วอีกด้วย
แม้ว่าพานเซียงจะเคยได้ยินชื่อของบุคคลนี้มาก่อน แต่เขาก็ไม่ได้คิดใส่ใจ
เมื่อหลุมดำปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ประตูมิติระหว่างดินแดนทวยเทพกับโลกมนุษย์ก็ถูกเปิดออก ไม่ว่ามนุษย์จะแข็งแกร่งสักเพียงใด แต่สุดท้ายก็ต้องเป็นเหยื่อของเทพเจ้าอยู่วันยันค่ำ
ผู้ใดจะไปคาดคิดกันเล่าว่ามดปลวกเหล่านั้นจะมีความแข็งแกร่งถึงเพียงนี้
พลังทำลายล้างรุนแรงเทียบเท่าระดับเทพเจ้าเชียวหรือ?
“ต้องรีบไปรายงานให้ท่านราชาที่วิหารเทพพงไพรรู้ซะแล้วสิ”
พานเซียงคิดในใจและรีบหลบหนีด้วยความเร็วสูงสุด
…
ครืน!
รถม้าทองคำพุ่งทะยานไปบนท้องฟ้าด้วยความรวดเร็ว
พวกเขากำลังมุ่งหน้ากลับไปยังเมืองเซียงเฉิง
ทุกคนที่อยู่ในห้องโดยสารของรถม้ายังคงไม่หายจากอาการตกตะลึง
พวกเขาได้พบเห็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อมากเกินไป
สิ่งที่อยู่นอกเหนือความเข้าใจของผู้คน
“สมแล้วที่เป็นลูกศิษย์ของข้า”
ต้องใช้เวลานานทีเดียวกว่าติงซานฉือจะสามารถกลับมาตั้งสติได้อีกครั้ง “ในฐานะลูกศิษย์สุดที่รักของข้า… เจ้าไม่ทำให้อาจารย์เสียหน้าจริง ๆ …เจ้าไม่เคยใช้วิชานี้มาก่อนใช่หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินกำลังเคลิบเคลิ้มไปกับการซบไหล่หูเหม่ยเอ๋อร์ขณะตอบกลับพร้อมยิ้มกว้าง “ใช่แล้วขอรับ นี่เรียกว่าคลื่นลูกใหม่แทนที่คลื่นลูกเก่า อาจารย์รู้สึกว่ายุคสมัยของตนเองจบสิ้นลงแล้วใช่หรือไม่?”
ติงซานฉือใบหน้ากระตุก ทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดถากถางของหลินเป่ยเฉินและกล่าวต่อ “ดูเหมือนวิชานี้จำเป็นต้องใช้พลังเวทมนตร์สินะ? งั้นหมายความว่าบัดนี้เจ้าสามารถใช้พลังเวทมนตร์ได้แล้วสิ?”
“ฮ่า ๆๆ ไม่ใช่เพียงใช้พลังเวทมนตร์ได้นะขอรับ แต่ข้ายังได้กลายเป็นเทพเจ้าตัวจริงอีกด้วย”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะด้วยความชอบใจ ก่อนจะอ้าปากงับองุ่นที่หูเหม่ยเอ๋อร์ลอกเปลือกป้อนเข้ามาให้อย่างเอร็ดอร่อย
“จริงหรือ?”
“เจ้าสามารถใช้ได้อย่างชำนาญแล้วหรือไม่?”
“ผู้อื่นสามารถเรียนรู้ได้หรือไม่?”
“วิชานี้ยังมีกระบวนท่าอื่นอีกหรือไม่?”
ติงซานฉือ ฮั่วเฟยฮัวและเหยียนหรู่อี้เบิกตาโตด้วยความตื่นเต้น
ร่างกายของมนุษย์ที่สามารถใช้งานพลังเวทมนตร์ได้
นี่หมายความว่าอย่างไร?
นี่หมายความว่าบุคคลอื่น ๆ ในแผ่นดินตงเต้า ก็มีโอกาสฝึกฝนได้เช่นกัน
หากเคล็ดวิชานี้ได้รับการถ่ายทอดออกไป อย่างน้อยกลุ่มสัมพันธมิตรก็มีคุณสมบัติดีพอที่จะต่อกรกับพวกเทพอสูรได้แล้ว
หลินเป่ยเฉินใช้เวลาคิดอยู่เล็กน้อยก็ให้คำตอบว่า “พวกท่านสามารถลองฝึกดูได้”
เขาเองก็ไม่แน่ใจเช่นกัน
เพราะตัวเขาที่ฝึกวิชานี้ก็มีโทรศัพท์มือถือคอยช่วยเหลือ หลินเป่ยเฉินจึงไม่ทราบเลยว่าหากฝึกฝนด้วยวิธีการปกติทั่วไป ผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นไรบ้าง…
“บัดนี้… เจ้าเป็นเทพเจ้าอยู่ในขั้นใด?”
ติงซานฉืออดถามออกมาด้วยความสงสัยไม่ได้
“ฮ่า ๆๆ ตำแหน่งของข้ายังต่ำต้อยนัก ไม่ควรค่าเอ่ยให้อาจารย์ฟังหรอกขอรับ ข้าเป็นเพียงเทพเจ้าตำแหน่งใต้เท้าใหญ่เท่านั้นเอง”
หลินเป่ยเฉินพูดอย่างวางมาด
“ใต้เท้าใหญ่? เป็นตำแหน่งระดับใดหรือเจ้าคะ?”
หูเหม่ยเอ๋อร์ถามด้วยความอยากรู้
หลินเป่ยเฉินรับประทานองุ่นพลางอธิบายข้อมูลเกี่ยวกับตำแหน่งเทพเจ้าให้หูเหม่ยเอ๋อร์ฟัง
“เจ้าลูกเต่า เหตุไฉนจึงไม่พูดความจริง”
ติงซานฉือไม่เชื่อว่าลูกศิษย์ของตนเองจะมีตำแหน่งเป็นใต้เท้าใหญ่แห่งดินแดนทวยเทพ “เจ้าคงตั้งใจหลอกลวงพวกเราอยู่สินะ แม้ว่าเจ้าจะใช้พลังเวทมนตร์ได้ และมีตำแหน่งเป็นเทพเจ้าจริง ๆ แต่เจ้าก็ควรรู้ขอบเขตของคำโกหกบ้าง อายุเจ้าเพียงเท่านี้ เจ้าจะดำรงตำแหน่งใต้เท้าใหญ่ได้อย่างไร ครั้งหน้าหัดโกหกให้มันเนียนมากกว่านี้หน่อยสิ”
เหยียนหรู่อี้และอีกหลายคนก็รู้สึกสงสัยเช่นกัน
แต่การต่อสู้ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ ต้องยอมรับเลยว่าพลังทำลายล้างในปัจจุบันของหลินเป่ยเฉินอยู่ในขั้นที่เกินจินตนาการของทุกคน
ไม่ว่าเขาจะมีตำแหน่งเป็นเทพเจ้าระดับใด แต่ความแข็งแกร่งของหลินเป่ยเฉินก็ถือเป็นพรวิเศษของกลุ่มสัมพันธมิตรแห่งแผ่นดินตงเต้าแล้ว
มีเพียงความแข็งแกร่งระดับหลินเป่ยเฉินเท่านั้น จึงจะสามารถต่อกรกับพวกเทพอสูรเหล่านั้นได้
“จริงด้วยสิ ข้ารู้สึกได้ถึงพลังศักดิ์สิทธิ์ในตัวพวกเจ้า พวกเจ้าสามารถใช้งานมันได้อย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินหันมามองเซียวปิงกับอากวงด้วยความสงสัย
เขาอยากจะถามคำถามนี้มานานแล้ว
เพราะนี่เป็นพลังที่เทพเจ้าเท่านั้นถึงจะใช้ได้
เหตุผลที่เซียวปิงกับอากวงสามารถเอาชนะพานชิวได้ก่อนหน้านี้ ก็เป็นเพราะพวกเขามีพลังศักดิ์สิทธิ์นี่เอง
“ท่านนักพรตชินสอนพวกเราขอรับ หลังจากฝึกฝนแล้ว พวกเราก็ได้ครอบครองพลังของเทพเจ้า”
“หลังจากฝึกฝนตามที่นางแนะนำ ข้าก็รู้สึกได้ถึงพลังแปลกปลอมที่ไหลเวียนเข้าสู่ร่างกาย และนักพรตหญิงชินก็อธิบายว่านี่คือพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้สู้กับพวกเทพเจ้าได้”
“สมาชิกกลุ่มสัมพันธมิตรต่างก็ฝึกฝนวิชานี้กันหมดสิ้น และนี่จึงเป็นเหตุผลที่ข้ากับอากวงสามารถใช้งานพลังศักดิ์สิทธิ์ได้ขอรับ”
เซียวปิงอธิบาย
หลินเป่ยเฉินตกใจไม่น้อย
นักพรตหญิงชินเป็นคนสอนทุกคนเองหรอกหรือ?
การใช้งานพลังศักดิ์สิทธิ์ในร่างกายของมนุษย์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
ส่วนหลินเป่ยเฉินนั้น หากเขาไม่ได้ขึ้นไปอยู่บนดินแดนทวยเทพ เด็กหนุ่มก็ไม่รู้เลยว่าตนเองจะสามารถฝึกฝนพลังเหล่านี้ได้สำเร็จหรือไม่
แต่ร่างกายของเซียวปิงมีร่องรอยของพลังศักดิ์สิทธิ์เหลืออยู่จริง ๆ
หลินเป่ยเฉินเฝ้าสังเกตอย่างพินิจพิเคราะห์
ในไม่ช้า เขาก็รู้คำตอบ
“เป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ของจริงแฮะ”
“และยังเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ที่บริสุทธิ์ราวกับเป็นสมาชิกของดินแดนทวยเทพจริง ๆ อีกด้วย…”
“น่าแปลก”
“นี่หมายความว่าวิชาที่นักพรตหญิงชินสอนมานั้น เป็นคัมภีร์จากดินแดนทวยเทพ… และมันจะต้องเป็นคัมภีร์ระดับสูงแน่นอน”
“พวกเทพเจ้าที่ออกมาจากหลุมดำบนท้องฟ้ายังไม่ใช่พวกน่ากลัวของจริง เพราะฉะนั้น เซียวปิงกับอากวงจึงยังสามารถจัดการพวกมันได้ไม่มีปัญหา”
“ว่าแต่พวกเขาจะสามารถรับตำแหน่งเทพเจ้าได้ไหมนะ?”
หลินเป่ยเฉินเริ่มวางแผนการขั้นต่อไปอยู่ในใจ
สถานการณ์ของแผ่นดินตงเต้าอยู่ในขั้นวิกฤต สิ่งมีชีวิตทุกชนิดกลายเป็นของเล่นให้กลุ่มเทพอสูรฆ่าฟันได้ตามใจชอบ
โลกมนุษย์กลายเป็นศูนย์รวมความบันเทิงของพวกเทพอสูร
หลินเป่ยเฉินถามตนเองว่าขณะนี้เขามีความแข็งแกร่งมากพอที่จะช่วยเหลือแผ่นดินตงเต้าได้แล้วหรือยัง?
แต่เทพอสูรเหล่านั้นกระจายตัวอยู่ทั่วแผ่นดิน เขาจะสามารถกวาดล้างพวกมันหมดได้อย่างไร?
นี่คือภารกิจที่หลินเป่ยเฉินทำเพียงคนเดียวไม่ได้
เขาต้องเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่คนอื่น ๆ เพื่อมาช่วยเหลือกันกวาดล้างกลุ่มเทพอสูร
ระหว่างที่ความคิดดำเนินมาถึงตรงนี้ ฝ่ามือของเขาก็รู้สึกได้ถึงความนุ่มนิ่มที่อบอุ่น
เอ๋?
เมื่อหันหน้าไปมอง หลินเป่ยเฉินก็ไม่ทราบเลยว่าตนเองเอามือไปบีบต้นขาของเหยียนหรู่อี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
เหยียนหรู่อี้จ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินด้วยแววตาดุดัน
“อ้า ขออภัย… ข้าน้อยลืมตัว ข้าน้อยลืมตัว”
หลินเป่ยเฉินรีบหดมือกลับมาโดยทันที
เหยียนหรู่อี้พ่นลมผ่านทางจมูกและหันหน้ามองไปทางอื่น
หลินเป่ยเฉินแอบยิ้มกริ่มอยู่ในใจ เขินล่ะสิท่า
ในไม่ช้า พวกเขาก็กลับมาถึงเมืองเซียงเฉิง
แต่ทันทีที่กลับมาถึง เด็กหนุ่มก็ได้รับทราบข่าวด่วนข่าวร้ายว่า
“เกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ในมณฑลเฟิงอวี่ ค่ายชาวทะเลแตกแล้ว สถานการณ์ในนครเจาฮุยกำลังอยู่ในขั้นวิกฤต!”