ตอนที่ 1,433 ความสงสัย
ในรัชศกกวงหมิงปีที่ 8891 แผ่นดินตงเต้าล่มสลาย เทพอสูรออกอาละวาด
ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก
วิหารเทพพงไพรรุ่งเรือง
ราชันย์เทพพงไพรปรากฏตัว
พลังแห่งราชันย์เทพพงไพรไม่มีใครสามารถต้านทานได้
เทพอสูรจำนวนมากออกไล่ล่าฆ่ามนุษย์ บางครั้งล่าเป็นอาหาร บางครั้งล่าด้วยความสนุกสนาน
โดยเฉพาะเทพเจ้าระดับสูงบางคนถึงกับจับมนุษย์มาเลี้ยงดูเป็นคอกปศุสัตว์ เพื่อเอาไว้สังหารเล่นตามใจชอบ…
เทพเจ้าครองอำนาจ มนุษย์ตกต่ำ
จักรวรรดิมากมายล่มสลาย เกิดการรวมตัวกันของกลุ่มยอดฝีมือประจำแผ่นดินตงเต้าเพื่อต่อต้านกลุ่มเทพเจ้า
แต่นั่นยิ่งนำหายนะมาสู่โลกมนุษย์มากกว่าเดิม
ไม่ว่าจะเป็นจักรวรรดิหรือสำนักใดที่คิดต่อต้านเทพเจ้า บุคคลเหล่านั้นล้วนถูกกวาดล้างหมดสิ้น
เพราะความแข็งแกร่งระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้าแตกต่างกันมากเกินไป
ทุกพื้นที่มีแต่หมอกควันและความโกลาหล
ดังนั้น รัชศกกวงหมิงปีที่ 8891 จึงถูกตั้งชื่อใหม่ว่าเป็นยุคสมัยแรกแห่งความโกลาหล
นี่คือปีแรกของความโกลาหล และเป็นจุดเริ่มต้นของหายนะแห่งมวลมนุษยชาติ
ภายในเวลาเพียงไม่นาน กลุ่มมนุษย์ผู้ต่อต้านเทพเจ้าก็ต้องล่าถอยไปเพราะได้รับความเสียหายใหญ่หลวง ผู้มีพลังระดับเซียนบางคนไม่อาจหนีรอดได้ จึงถูกจับตัวมาเป็นทาสรับใช้กลุ่มเทพอสูร
กวาดตามองดูทั่วแผ่นดิน มีเพียงกลุ่มคนจากจักรวรรดิเป่ยไห่ในอดีตเท่านั้นที่ยังสามารถอยู่รอดได้
คนกลุ่มนี้ถูกเรียกว่ากลุ่มสัมพันธมิตร
เปรียบดั่งหนามยอกอกของราชันย์เทพพงไพร
ดังนั้น วิหารเทพพงไพรจึงจัดทัพบุกถล่มมณฑลเฟิงอวี่
จักรวรรดิเป่ยไห่ถูกตีตราว่าเป็นกบฏ เมื่อสงครามเริ่มขึ้น ความแข็งแกร่งของทั้งสองฝ่ายยังห่างชั้นกันมากเกินไป กองทัพของฝ่ายมนุษย์ได้แต่ถอยร่นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่ชายฝั่งของแม่น้ำซินเจียงซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของนครเจาฮุย
…
แม่น้ำซินเจียงเป็นแม่น้ำที่กว้างใหญ่
เป็นเส้นทางน้ำสำคัญสำหรับชาวทะเล
เพราะแม่น้ำสายนี้ไหลออกไปสู่ปลายทางที่มหาสมุทรใหญ่ ถือเป็นเส้นทางสำคัญที่เชื่อมต่อชาวทะเลกับแผ่นดินใหญ่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา
บัดนี้อยู่ในช่วงสงครามการสู้รบ ทหารจากวิหารเทพพงไพรหลายหมื่นคนต้องตายอยู่ที่แม่น้ำแห่งนี้ และที่นี่ ก็เปรียบดั่งปราการด่านสุดท้ายสำหรับการตั้งรับของฝ่ายสัมพันธมิตร
กองทัพของวิหารเทพพงไพรตั้งค่ายอยู่ทางชายฝั่งทิศตะวันตก
พวกเขามีกำลังพลทหารถึงห้าล้านนาย ผืนธงหลากสีสันโบกไสวท้าทายท้องฟ้าแสงตะวัน กระโจมสีสันสดใสตั้งเรียงรายอย่างเป็นระเบียบและบนท้องฟ้าก็มีเรือเหาะลำยักษ์คอยบินลาดตระเวน…
นี่คือกองทัพที่หลอมรวมผู้คนมาจากกองทัพของจักรวรรดิหลิวชา จักรวรรดิจี้กวง จักรวรรดิต้าเกี๋ยนและจักรวรรดิเจิ้งหลง ไม่สำคัญว่าคู่ต่อสู้ของพวกเขาจะเป็นผู้ใด เพียงนับแค่เรื่องทรัพยากรที่อยู่ในมือ กองทัพของวิหารเทพพงไพรก็เป็นกองทัพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์แผ่นดินใหญ่แล้ว
มีเพียงจักรวรรดิต้าเกี๋ยนกับจักรวรรดิเจิ้งหลงในยุคโบราณเท่านั้นจึงจะมีขุมกำลังมหาศาลถึงเพียงนี้
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่กองทัพของกลุ่มสัมพันธมิตรจะพ่ายแพ้ยับเยิน
ขณะนี้ กลุ่มสัมพันธมิตรมาตั้งรับอยู่ในเขตแดนของชาวทะเล กระโจมที่พักสีขาวคือเครื่องหมายที่บอกว่าเป็นที่พักของมนุษย์ ส่วนกระโจมสีดำคือเครื่องหมายบอกว่าเป็นที่พักของชาวทะเล
นับตั้งแต่ที่สงครามเริ่มขึ้น องค์หญิงเหยียนอิงก็ยังคงยืนกรานที่จะร่วมมือกับกลุ่มสัมพันธมิตรคอยคุ้มกันนครเจาฮุยและพยายามต้านทานกองทัพของวิหารเทพพงไพรด้วยทุกวิธีที่ทำได้
และเป็นเพราะได้รับความช่วยเหลือจากกองทัพชาวทะเลนี่เอง กองทัพนครเจาฮุยกับกลุ่มสัมพันธมิตรจึงยังสามารถปกป้องเมืองของตนเองเอาไว้ได้
แม้สถานการณ์จะไม่สู้ดีนักก็ตาม
ในค่ายที่พักของกลุ่มสัมพันธมิตร
กระโจมหลังหนึ่งมีแสงสว่างส่องลอดออกมาตลอดเวลา นายทหารระดับแม่ทัพใหญ่ทุกคนมารวมตัวกัน ผู้บัญชาการกลุ่มพันธมิตรคือแม่ทัพหลิงฉือ ซึ่งเป็นหัวเรือใหญ่ในการจัดประชุมครั้งนี้
ความแข็งแกร่งระหว่างพวกเขากับกองทัพวิหารเทพพงไพรแตกต่างกันมากเกินไป
กลุ่มสัมพันธมิตรต้องเสียสละนายทหารห้าคน เพื่อแลกกับชีวิตของฝ่ายตรงข้ามเพียงคนเดียว
ด้วยอัตราส่วนเช่นนี้ สถานการณ์ของกลุ่มสัมพันธมิตรจึงย่ำแย่แล้ว
ภัยคุกคามหลักสำหรับพวกเขาคืออีกฝ่ายมีเทพเจ้าอยู่ในกองทัพ
แต่ในการต่อสู้ที่ผ่าน ๆ มา เทพเจ้าเหล่านั้นไม่ได้ออกมาแสดงฝีมือ
นี่คือสิ่งที่ทำให้กลุ่มแม่ทัพใหญ่ของฝ่ายสัมพันธมิตรเกิดความพิศวงสงสัย
เพราะจากการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ กลุ่มสัมพันธมิตรเตรียมใจรับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้แล้ว เมื่อเทพเจ้าในกองทัพของวิหารเทพพงไพรลงมือ พวกเขาก็จะพลีชีพตนเองเพื่อทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามให้ได้มากที่สุด
เพราะผู้คนในนครเจาฮุยได้เตรียมตัวอพยพไปยังเมืองหยุนเมิ่งเรียบร้อยแล้ว บางคนถึงขั้นเตรียมตัวอพยพไปอยู่กลางทะเลแล้วด้วยซ้ำ
เพียงแต่พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่า เทพเจ้าในกองทัพของวิหารเทพพงไพรจะไม่ลงมือ
พวกเขาปล่อยให้การต่อสู้ดำเนินไปอย่างยุติธรรม
สถานการณ์จึงไม่ชอบมาพากล
หลิงฉือปรึกษากับบรรดาแม่ทัพใหญ่อยู่นานสองนาน แต่เขาก็คาดเดาไม่ออกว่าเทพเจ้าเหล่านั้นกำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่
สถานการณ์ในขณะนี้ที่ฝ่ายสัมพันธมิตรมาตั้งค่ายรบอยู่ริมแม่น้ำนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่หลิงฉืออยากเห็นมากที่สุด อย่างน้อยพวกเขาก็สามารถถ่วงเวลาได้อีกนานพอสมควร เพียงพอให้ผู้คนและนายทหารในนครเจาฮุยหลบหนีไปได้อย่างปลอดภัย
การประชุมดำเนินไปเป็นเวลาสามชั่วยาม
เมื่อสิ้นสุดการประชุม แสงแรกแห่งวันใหม่ก็ปรากฏขึ้นที่เส้นขอบฟ้าแล้ว
แม่น้ำซินเจียงปกคลุมด้วยหมอกขาว
หลิงฉือและแม่ทัพใหญ่ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเกาเฉิงฮั่น หลี่ชิงสวน ฉุยหมิงโหลวและเจ้าเมืองไป๋หยุนคนปัจจุบันสือจงเซิ่ง ต่างก็ยืนอยู่บนเรือเหาะและจ้องมองไปที่แม่น้ำซินเจียง
พวกเขารู้สึกได้ถึงรัศมีแห่งเทพเจ้าที่แผ่ออกมาจากค่ายพักของกองทัพฝ่ายตรงข้าม
ความหมดหวังปรากฏขึ้นบนสีหน้าของหลิงฉือ
ในฐานะผู้บังคับบัญชาฝ่ายสัมพันธมิตร และผู้ที่วางยุทธการการรบมาโดยตลอด เมื่อสัมผัสได้ถึงรัศมีแห่งเทพเจ้าที่แผ่ออกมา บุรุษหนุ่มก็รู้แล้วว่าจุดจบของสงครามครั้งนี้จะเป็นเช่นใด
กองทัพวิหารเทพพงไพรไม่สนใจการปรากฏตัวของเรือเหาะฝ่ายสัมพันธมิตรเลยด้วยซ้ำ
นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้ดีว่าฝ่ายสัมพันธมิตรไม่มีปัญญาโจมตีกองทัพของวิหารเทพพงไพร
เมื่อความคิดดำเนินมาถึงตรงนี้ หลิงฉือก็ต้องทุบกำปั้นลงไปที่กราบเรือด้วยความเจ็บใจ
นี่คือการทำสงครามที่น่าหงุดหงิดใจเหลือเกิน
ในฐานะชายชาติทหาร เขาพร้อมต่อสู้เสมอ
ไม่ใช่แค่ต่อสู้เท่านั้น แต่หลิงฉือยังยินดีสละชีวิตให้ประเทศชาติได้ทุกเมื่อ
ไม่สิ ต้องบอกว่าเขายินดีสละชีวิตเพื่อเพื่อนมนุษย์ต่างหาก
นี่คือสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ หากฝ่ายสัมพันธมิตรพ่ายแพ้ในการต่อสู้ครั้งนี้ ชะตากรรมของมนุษย์อาจดำเนินไปถึงการสูญพันธุ์ก็เป็นได้
หลิงฉือนึกถึงฮันปู้ฟู่ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
สถานการณ์ของเขาในขณะนี้ ก็ไม่ต่างอะไรจากสถานการณ์ของฮันปู้ฟู่ตอนที่อยู่หุบผาดาวตกในครั้งนั้น
แต่เด็กหนุ่มผู้นั้นยังคงมีจิตใจกล้าหาญไม่หวั่นไหว
เพราะฉะนั้น
ครั้งนี้ ไม่ว่าจะแลกด้วยสิ่งใดก็ตาม หลิงฉือก็จะต้องยืนหยัดต่อสู้ให้ถึงที่สุดเช่นกัน
…
ริมแม่น้ำฝั่งตะวันตก
ค่ายที่พักของกองทัพวิหารเทพพงไพร
เขตที่พักของกองทัพจากจักรวรรดิจี้กวง
“ท่านพ่อ ท่านคิดว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร?”
องค์หญิงอวี่เค่อเดินนวดไหล่ตนเองเข้ามาในกระโจมที่พักพร้อมกับกล่าวต่อ “หากพวกเทพเจ้าลงมือ สงครามก็จะจบลงโดยทันที แต่พวกเขากลับส่งเราออกไปต่อสู้ นี่ไม่ต่างจากละครสัตว์แล้ว พวกเขาไม่ได้สนใจผลลัพธ์ของสงครามเลย พวกเขาแค่อยากดูความบันเทิงเท่านั้น”
องค์ชายอวี่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ ดวงตาจ้องมองแผนที่บนโต๊ะ ไม่ตอบรับคำใด
นี่คือคำถามที่แม่ทัพใหญ่ทุกคนในกองทัพของวิหารเทพพงไพรล้วนถามออกมาเช่นกัน
เห็นได้ชัดว่าวิหารเทพพงไพรมีความสามารถที่จะบดขยี้กองทัพศัตรูได้อย่างง่ายดาย เหตุไฉนจึงต้องปล่อยให้สงครามยืดเยื้อด้วย?
เพียงเพราะต้องการรับชมความบันเทิงเท่านั้นหรือ?
หรือยังมีสิ่งอื่นแอบแฝงอยู่อีก?
จักรวรรดิจี้กวงและอีกหลายจักรวรรดิที่ยอมแพ้ต่อวิหารเทพพงไพร ต่างก็ถูกเกณฑ์กำลังพลมาเข้าร่วมสงครามในครั้งนี้ เสมือนทุกคนเป็นเพียงสัตว์ในคณะละครสัตว์จริง ๆ