ตอนที่ 1,436 บุกขึ้นวิหารใหญ่
“ลุงจิน…”
ฮันปู้ฮุยเบิกตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ
ความโกรธแค้นพุ่งขึ้นมาในจิตใจ นางอยากจะร้องตะโกนออกมา แต่เด็กสาวพบว่าตนเองไม่สามารถเปล่งเสียงได้อีกแล้ว
กาลเวลาคล้ายกับหยุดนิ่ง
ทุกอย่างไม่เคลื่อนไหว
มีเพียงโลหิตจากลำคอของจินจื่ออี้เท่านั้นที่ยังไหลทะลักออกมาอย่างต่อเนื่อง
ทุกสิ่งทุกอย่างในรัศมีสิบห้าวาหยุดชะงักอยู่กับที่
แต่ผู้คนบนถนนด้านนอกยังคงเดินผ่านไปผ่านมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเป็นปกติสุข ราวกับมองไม่เห็นเลยว่าเกิดอะไรขึ้นในแผงขายบะหมี่แห่งนี้
เมื่อบุรุษหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาสังหารผู้คนเรียบร้อย เขาก็หันมาส่งยิ้มให้แก่ฮันปู้ฮุยเสมือนเพิ่งจะตบยุงตายไปหนึ่งตัว
“เจ้าเป็นใคร?”
ทันใดนั้น ฮันปู้ฮุยก็กลับมาพูดได้เป็นปกติอีกครั้ง
เสียงของนางเปี่ยมล้นด้วยความโกรธแค้น
“เจ้าพูดสิ่งที่ไม่สมควรพูดอีกแล้ว”
บุรุษหนุ่มยิ้มออกมาเล็กน้อย
ความหวาดกลัวเกาะกุมจิตใจของฮันปู้ฮุย นางรีบกล่าวว่า “ไม่นะ…”
แต่ในทันใดนั้น…
วูบ!
โลหิตก็พุ่งกระฉูดออกมาจากช่วงเอวของเด็กหนุ่มผู้มีนามว่าจินชวนเป่า…
“ข้าจะนำทางท่านไปเอง”
ฮันปู้ฮุยกัดฟันกรอด
“นี่แหละที่เจ้าควรพูดตั้งแต่แรก”
บุรุษหนุ่มยิ้มกว้างอวดฟันขาววับ ผายมือด้วยท่าทีอ่อนโยนเป็นสุภาพบุรุษ “เชิญนำทาง”
ทันใดนั้น ฮันปู้ฮุยพบว่าตนเองสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้แล้ว
ร่างของจินจื่ออี้กับบุตรชายยังนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นดิน
ฮันปู้ฮุยสูดหายใจลึก
เด็กสาวรู้แล้วว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้เป็นคนที่มีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต หากนางไม่ยอมทำตามคำสั่งของเขา เกรงว่าคงมีคนบริสุทธิ์ต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วยอีกนับไม่ถ้วน
“ตามข้ามา”
ฮันปู้ฮุยเดินนำทางตรงไปยังวิหารเทพีกระบี่บนภูเขาประจำเมือง
“หืม?”
บุรุษหนุ่มพูดแผ่วเบา “เก็บตัวอยู่ในวิหารจริง ๆ ด้วยสินะ?”
เขาเดินตามฮันปู้ฮุยไปอย่างไม่รีบร้อน
ระหว่างทาง มีผู้คนทักทายฮันปู้ฮุยไม่ขาดสาย
เห็นได้ชัดว่าเด็กสาวเป็นคนดังในเมืองนี้
บุรุษหนุ่มรูปหล่อเดินเคียงคู่ฮันปู้ฮุยไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้มมีไมตรีจิต ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาจึงเข้าใจว่าเขาเป็นสหายของนาง
“ปู้ฮุย เจ้าจะขึ้นไปที่วิหารอีกแล้วหรือ?”
“บุรุษหนุ่มผู้นี้เป็นใครกันเล่า? เป็นสหายของเจ้าหรือ? หล่อเหลาทีเดียวเชียวนะ…”
“ปู้ฮุย วันพรุ่งนี้ป้าจะทำหมูเปรี้ยวหวานที่เจ้าชอบเอาไว้ให้ อย่าลืมพาท่านแม่มาทานด้วยล่ะ”
ฮันปู้ฮุยตอบรับคำทักทายของทุกคนด้วยรอยยิ้ม
บุรุษหนุ่มพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแจ่มใสว่า “นับเป็นเพื่อนบ้านที่กระตือรือร้นดีจริง ๆ ข้าไม่เคยพบเจอเรื่องราวเหล่านี้มานานแล้ว… ชวนให้รู้สึกนึกถึงอดีตเหลือเกิน”
“ท่านเป็นใครกันแน่?”
ฮันปู้ฮุยอดถามออกมาไม่ได้
บุรุษหนุ่มอมยิ้มเล็กน้อย “เดี๋ยวเจ้าก็ได้รู้”
เขาและเด็กสาวเดินพูดคุยหัวเราะคิกคักท่ามกลางสายตาของผู้คนจำนวนมาก ไม่ต่างไปจากเพื่อนสนิทหรืออาจจะเป็นคนรัก ไม่มีบรรยากาศของการถูกข่มขู่คุกคามแม้แต่น้อย
อย่างน้อยก็ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น
ฮันปู้ฮุยก้าวเดินอย่างเชื่องช้ายิ่ง
บุรุษหนุ่มเองก็ไม่ได้เร่งรีบ
บางครั้ง เขาก็จะถอนหายใจออกมากับทัศนียภาพความงดงามของฤดูร้อนในเมืองหยุนเมิ่ง บางครั้งเขาก็จะจ้องมองนกนางนวลที่โผบินบนท้องฟ้า บางครั้งเขาก็จะพูดคุยกับฮันปู้ฮุยและถามถึงพี่ชายผู้หายสาบสูญของนาง
ในที่สุด พวกเขาก็มาถึงเชิงเขาทางขึ้นวิหารเทพีกระบี่
วิหารเทพีกระบี่บนยอดเขาคือที่พำนักของท่านหัวหน้านักบวชเยว่หงเซียง สถานที่แห่งนี้จึงได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา
“ที่แท้ก็เป็นน้องฮันนี่เอง เจ้าพาใครมาด้วยล่ะเนี่ย?”
นักบวชสาวสี่นางผู้ทำหน้าที่อารักขาทางขึ้นเขาพลันก้าวเดินออกมาข้างหน้า
“พี่เยี่ยน พี่ชายท่านนี้เป็นสหายเก่าของพี่ชายข้า เขาและสหายอยากจะขึ้นไปเคารพสุสานพี่ชายข้าบนวิหาร ดังนั้น ข้าจึงพาพวกเขามาที่นี่เจ้าค่ะ”
ฮันปู้ฮุยรีบอธิบายอย่างรวดเร็ว
“อ้อ งั้นก็ขึ้นไปเถอะ”
หัวหน้ากลุ่มนักบวชสาวพยักหน้าและเปิดทางแต่โดยดี
ฮันปู้ฮุยนำกลุ่มบุรุษหนุ่มเดินขึ้นไปบนขั้นบันไดหินอย่างช้า ๆ
ทิวทัศน์สองข้างทางยังคงสวยงาม
อากาศบนภูเขาสดชื่นบริสุทธิ์
บุรุษหนุ่มเดินทอดน่องขึ้นภูเขาไม่ต่างจากนักท่องเที่ยว เดินไปพลางหยุดชมความสวยงามของสองข้างทางไปพลาง ไม่มีความรีบร้อนแต่อย่างใด
ฮันปู้ฮุยเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อย
“ความจริงนั้น… สุสานของพี่ชายเจ้าไม่ได้อยู่ที่นี่ใช่หรือไม่?”
อยู่ดี ๆ บุรุษหนุ่มก็หันมาถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ฮันปู้ฮุยตอบรับกลับไปด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง “ท่านถามทำไมหรือ? ทุกคนในเมืองนี้รู้ดีว่าสุสานและอนุสรณ์สถานของพี่ชายข้าตั้งอยู่บนภูเขาลูกนี้ และผู้ที่ก่อสร้างอนุสรณ์สถานขึ้นมาก็คือคุณชายหลินเป่ยเฉิน เขาสร้างเพื่อเป็นเกียรติให้แก่บรรดาทหารหลวงที่ต้องเสียชีวิตในสงคราม”
บุรุษหนุ่มพยักหน้าด้วยความพอใจ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็พูดความจริง ข้าไม่ต้องฆ่าเจ้าแล้ว”
ฮันปู้ฮุยไม่ตอบรับคำใด นางทำได้เพียงก้มหน้าเดินนำทางต่อไป
นางไม่กลัวหรือ?
นางย่อมหวาดกลัว
แต่ฮันปู้ฮุยไม่อยากทำให้พี่ชายต้องอับอาย
ทางเดินที่นางขึ้นมานั้น ไม่มีผู้คนคอยลาดตระเวนความปลอดภัย
ในไม่ช้า พวกเขาก็ขึ้นมาถึงยอดเขา
มวลบุปผาบานสะพรั่ง กลิ่นบุปผาโชยพัดหอมหวน
เมื่อได้รับการบูรณะใหม่ ลานจัตุรัสหน้าวิหารก็ขยายพื้นที่กว้างใหญ่มากกว่าเดิมถึงห้าเท่า รูปปั้นเทพีกระบี่ได้รับการขัดถูทำความสะอาด มีการสร้างสวนจำลอง น้ำตกจำลองและปลูกต้นไม้หายากอีกหลายชนิด บรรยากาศของวิหารจึงลดทอนความน่าเกรงขามลงและถูกแทนที่ด้วยความสวยงามของธรรมชาติแห่งชีวิตมากขึ้น
ในช่วงเวลาสุดสัปดาห์เช่นนี้ ควรมีชาวเมืองจำนวนมากขึ้นมาทำพิธีอยู่ที่ลานจัตุรัส
แต่วันนี้กลับว่างเปล่า
ร่างระหงในชุดเสื้อคลุมสีขาวยืนอยู่กลางลานจัตุรัส ในมือถือแส้ปัด ดวงตาจ้องมองการมาถึงของพวกฮันปู้ฮุยอย่างเงียบงัน ดูเหมือนว่านางจะมายืนรอคอยอยู่ก่อนหน้านี้นานแล้ว
“คารวะท่านหัวหน้านักบวช”
ฮันปู้ฮุยรีบประสานมือทำความเคารพทันที
นางก้มตัวลง สองมือยืดเหยียดออกไปข้างหน้า
เยว่เว่ยหยางคล้ายกับมองไม่เห็น
ใบหน้าของนางยังคงอ่อนหวานผุดผ่อง เส้นผมยาวสลวยสยายลงมาจรดน่องขา เอวคอดกิ่ว ช่วงขาเรียวยาว เสื้อคลุมสีขาวที่สวมใส่ยิ่งทำให้เยว่เว่ยหยางดูสูงส่งและมีเสน่ห์มากกว่าเดิม
“ท่านคงเป็นหนึ่งในเทพเจ้าจากวิหารเทพพงไพรแล้วกระมัง?”
เยว่เว่ยหยางพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ทำให้ผู้คนอดเกิดความรู้สึกเคารพยำเกรงขึ้นมาไม่ได้
“นี่มันอะไรกัน?”
บุรุษหนุ่มรูปงามจ้องมองเรือนร่างของเยว่เว่ยหยางอย่างพินิจพิเคราะห์ ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ “น่าสนใจ น่าสนใจจริง ๆ คิดไม่ถึงเลยว่าข้าจะได้มาพบกับผู้ที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ ร่างกายของเจ้านับว่าหาได้ยากยิ่ง”
เยว่เว่ยหยางยังคงรักษาท่าทีเย็นชาไว้ขณะก้าวเดินออกมาข้างหน้าอย่างช้า ๆ “ท่านเป็นถึงเทพเจ้าผู้สูงส่ง เหตุไฉนจึงต้องมารังแกเด็กสาวผู้หนึ่งด้วย วันนี้ข้าอยากจะขอรับคำแนะนำจากท่านสักหลายกระบวนท่า ไม่ทราบว่าปล่อยตัวฮันปู้ฮุยไปก่อนดีหรือไม่?”
เมื่อได้ยินดังนั้น บุรุษหนุ่มก็ยิ่งมีดวงตาเป็นประกายแวววาวมากกว่าเดิม เขายิ้มก่อนตอบว่า “หากข้าไม่ปล่อยนางไป เจ้าจะทำอย่างไร?”
พูดจบ เขาก็ยื่นมือออกไป
วางมือไว้บนศีรษะของฮันปู้ฮุย
ขอเพียงระเบิดพลังสักเล็กน้อย เด็กสาวก็จะหายสาบสูญไปจากโลกนี้ตลอดกาล
เยว่เว่ยหยางขมวดคิ้วหน้ายุ่ง แต่ก็ไม่ลงมือโจมตี
เพราะสิ่งสำคัญก็คือ นางยังมองไม่ออกว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้มีขั้นพลังอยู่ในระดับใด
“ฮ่า ๆๆ ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง”
บุรุษหนุ่มยิ้มออกมาอีกครั้งก่อนจะผลักฮันปู้ฮุยเข้าไปหาเยว่เว่ยหยาง
“แม้ว่าเจ้าจะโกหกข้า แม้ว่าเจ้าจะแอบบอกใบ้ต่อนักบวชเยี่ยนบริเวณทางขึ้นเขา… แต่ข้าก็ไม่ฆ่าเจ้าหรอก”
เขายิ้มให้แก่ฮันปู้ฮุยผู้ที่ยังไม่หายตกตะลึง “เจ้าพาข้ามาที่นี่เพราะเจ้าอยากจะให้นักพรตหญิงชินกับหลินเป่ยเฉินผนึกกำลังกันสังหารข้าใช่หรือไม่? น่าเสียดายที่เจ้าคงต้องผิดหวังแล้ว วันนี้ ข้าจะทำให้เจ้าได้เห็นบุคคลทั้งสองนั้นตายต่อหน้าเจ้าด้วยตาของเจ้าเอง… ยังไม่รีบไสหัวออกมาอีก”
ขาดคำ เขาก็กระแทกฝ่ามือของตนเองไปทางขวามือ
คลื่นพลังพุ่งผ่านอากาศเป็นรูปฝ่ามือ
มวลอากาศปั่นป่วน
แล้วร่างของนักพรตหญิงชินก็ค่อย ๆ ก้าวเดินออกมาจากแสงระยิบระยับในอากาศธาตุ