ตอนที่ 1,437 ระเบิดร่าง
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักเท่าไหร่ นักพรตหญิงชินยังคงมีลักษณะดังเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
นางยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่ต่างจากบัวหิมะที่บานสะพรั่งอยู่กลางหุบเขาน้ำแข็ง
ผมสีเงินยาวสลวยเป็นประกายระยิบระยับ
เสื้อคลุมสีขาวที่สวมใส่แม้จะเป็นชุดเครื่องแบบของผู้ทรงศีลธรรมดา แต่กลับทำให้นักพรตหญิงชินมีสง่าราศีน่าเคารพบูชามากกว่าเดิม
“เจ้ามาเพียงคนเดียวหรือ?”
ดวงตาของบุรุษหนุ่มเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความไม่พอใจ “ถึงเจ้าจะฟื้นฟูพลังขึ้นมาได้พอสมควร แต่นั่นก็ยังไม่พอ หากเจ้าสู้กับข้าเพียงลำพังในวันนี้ นี่ก็จะเป็นจุดจบของเจ้าแล้ว”
นักพรตหญิงชินไม่พูดคำใด
ปีกกระบี่กางออกกว้าง
พลังศักดิ์สิทธิ์แผ่กระจายออกมา
ลานจัตุรัสพลันถูกย้อมไปด้วยแสงสีเงินสว่างไสว
ทันใดนั้น ค่ายอาคมก็ได้ถูกก่อตั้งขึ้นอย่างรวดเร็ว ปิดกั้นพื้นที่บริเวณลานจัตุรัสออกจากพื้นที่โดยรอบ
กลุ่มองครักษ์และพ่อบ้านที่ยืนอยู่ด้านหลังบุรุษหนุ่มแสดงสีหน้าเกรี้ยวกราด
มีเพียงบุรุษหนุ่มเท่านั้นที่ยิ้มออกมาเล็กน้อย
เป็นรอยยิ้มด้วยความผิดหวัง
“ปรากฏว่าเจ้าวางค่ายอาคมแดนดาราดับอสูรเอาไว้นานแล้วสินะ เจ้าไม่แน่ใจว่าจะเอาชนะข้าได้ตั้งแต่แรก และหากเจ้าพ่ายแพ้ เจ้าก็จะต้องถึงแก่ความตายอย่างแน่นอน”
บุรุษหนุ่มกวาดสายตามองรอบตัว “หลินเป่ยเฉินอยู่ที่ใด? ให้เขาออกมาจัดการเรื่องราวระหว่างพวกเราไม่ดีกว่าหรือ?”
ทันทีที่ประโยคนี้ถูกพูดออกมา ชื่อของใครบางคนก็ปรากฏขึ้นในใจของฮันปู้ฮุย
เว่ยหมิงเฉิน!
บุรุษหนุ่มผู้นี้ย่อมต้องเป็นเว่ยหมิงเฉิน
แม้เด็กสาวไม่ทราบว่าเหตุไฉนตนเองถึงคิดเช่นนี้ แต่นางมั่นใจว่าต้องใช่แน่ ๆ
บุรุษหนุ่มหันมามองหน้าฮันปู้ฮุย ยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “ในที่สุด เจ้าก็รู้ชื่อข้าแล้วสินะ?”
ฮันปู้ฮุยกัดฟันกรอดและไม่พูดคำใด
บุรุษหนุ่มกล่าวต่ออีกครั้ง “แต่ข้ายังมีอีกชื่อหนึ่งที่เจ้าคงไม่รู้ ฮ่า ๆๆ ยังมีผู้คนอีกมากมายนักที่เรียกข้าว่าองค์ราชันย์แห่งวิหารเทพพงไพร แต่ข้าก็ไม่ได้ชอบให้ผู้คนเรียกขานเช่นนี้หรอก เป็นพวกเขาเรียกกันเอง แล้วข้าจะทำอะไรได้ เจ้าว่าชื่อนี้ฟังดูดีหรือไม่?”
ฮันปู้ฮุยเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง
แต่สีหน้าของนักพรตหญิงชินกับเยว่เว่ยหยางยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
เพราะนี่คือข้อมูลที่พวกนางทราบอยู่แล้ว
“เจ้ามั่นใจในตนเองเกินไปแล้ว”
ฮันปู้ฮุยเงยหน้าขึ้นจ้องมองเว่ยหมิงเฉินด้วยแววตาดุดันไม่ต่างจากคมกระบี่ กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เจ้าพาบริวารเพียงหยิบมือเดียวมาเหยียบเมืองหยุนเมิ่ง ที่มีท่านนักพรตหญิงชิน ท่านพี่เยว่เว่ยหยางและท่านพี่หลินเป่ยเฉินคอยดูแล วันนี้เจ้าคงหลีกหนีเคราะห์กรรมไม่พ้นแล้ว”
บุรุษหนุ่มยิ้มเล็กน้อย “เจ้าไม่เข้าใจ”
ทันใดนั้น แส้ปัดในมือของเยว่เว่ยหยางก็เริ่มระเบิดพลังออกมา
นักบวชสาวพึมพำบริกรรมคาถา พลังศักดิ์สิทธิ์แผ่ออกมาจากร่างกายอย่างหนักหน่วง ปีกกระบี่กางออกมาจากแผ่นหลัง
ปีกกระบี่กระพือพัด
แล้วมวลพลังสีเงินก็รวมตัวกันเป็นกระบี่เล่มใหญ่พุ่งผ่านอากาศเข้าไปหาราชันย์แห่งเทพพงไพรเว่ยหมิงเฉิน
มวลอากาศเกิดความปั่นป่วนรอบทิศทาง
นี่คือการโจมตีที่ไม่มีมนุษย์ผู้ใดสามารถต้านรับได้
“สาวน้อย เจ้ายังอ่อนแอมากเกินไป”
เว่ยหมิงเฉินพลันยกมือขึ้นและใช้ปลายนิ้วชี้ของเขาสะกิดไปยังกระบี่เงินยักษ์ที่พุ่งเข้ามาเพียงแผ่วเบา
เปรี๊ยะ!
กระบี่เงินเล่มนั้นแตกกระจาย
“แม้ว่าเจ้าจะได้รับพลังจากเทพีกระบี่ แต่ก็ยังต่ำต้อยเกินไปที่จะทำอันตรายข้าได้”
เว่ยหมิงเฉินยิ้มแล้วส่ายหน้า
ฉับพลันนั้น คลื่นพลังสีดำพุ่งออกมาจากปลายนิ้วมือของเขา
คลื่นพลังเหล่านั้นพุ่งตรงเป็นเส้นเชือกหายวับไปในอากาศ
และเมื่อเส้นเชือกนั้นปรากฏขึ้นอีกครั้ง มันก็ได้พันธนาการร่างกายของเยว่เว่ยหยางเอาไว้แนบแน่นดิ้นไม่หลุด
ความแข็งแกร่งทางขั้นพลังของทั้งสองฝ่ายยังแตกต่างกันมากเกินไป
แต่เว่ยหมิงเฉินไม่ได้มีเจตนาสังหารเยว่เว่ยหยาง
เขาเพียงสะบัดมือเล็กน้อยพร้อมกับพูดว่า “สาวน้อย พวกเจ้าไปรับชมความสนุกอยู่ด้านนอกก็แล้วกัน อย่าได้มาขัดขวางเรื่องราวของผู้ใหญ่”
ร่างที่ถูกพันธนาการของเยว่เว่ยหยางกระตุกวูบ แล้วนางพร้อมด้วยฮันปู้ฮุยที่ยืนอยู่ด้านข้าง ก็ลอยหวือออกไปนอกเขตค่ายอาคม
นั่นเป็นเพราะว่าองค์ประกอบในร่างกายของเยว่เว่ยหยางเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งในโลกมนุษย์…
เว่ยหมิงเฉินจึงอยากจะเก็บนางเอาไว้ก่อน
แม้จะให้เยว่เว่ยหยางออกไปพ้นเขตค่ายอาคม แต่เว่ยหมิงเฉินก็ไม่กลัวว่านางจะหลบหนี… เพราะในแผ่นดินนี้ ไม่มีผู้ใดหนีรอดเงื้อมมือของเขาได้อยู่แล้ว!!
การต่อสู้ในค่ายอาคมดำเนินต่อไป
ในขณะนี้ นักพรตหญิงชินผู้ยืนอยู่ในความเงียบมาตลอดก็ตวัดกระบี่ของนางแล้ว
ปีกกระบี่บนแผ่นหลังปลดปล่อยรังสีกระบี่ออกมา แม้แต่ตัวคนเองก็เปลี่ยนเป็นเงากระบี่สีเงิน พุ่งเข้ามาหาเว่ยหมิงเฉินด้วยความรวดเร็วเกินจินตนาการ
นับเป็นความเร็วที่ยากต่อการรับมือ
ลำแสงกระบี่สาดประกายเจิดจ้า
“นี่หรือคือกระบี่ที่ใช้สังหารเทพเจ้าเมื่อตอนนั้น?”
เสียงของเว่ยหมิงเฉินดังกังวานในลำแสงกระบี่และเพียงเขายกมือขึ้นเท่านั้น ลำแสงกระบี่ที่พุ่งเข้ามาก็สูญสลายหายไปในพริบตา
แต่ทันใดนั้นเอง…
ร่างที่ซีดขาวและมีผมเผ้ายุ่งเหยิงก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังเว่ยหมิงเฉินอย่างไม่มีสัญญาณเตือน ไม้เท้าที่ทำจากลำไม้ไผ่ในมือแทงเข้าหาด้านหลังของเว่ยหมิงเฉินด้วยความเงียบงัน
การปรากฏตัวของคนผู้นี้แปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง
แม้แต่กลุ่มองครักษ์ก็ไม่มีเวลาได้ทำสิ่งใดแล้ว
แต่คล้ายกับเว่ยหมิงเฉินจะรู้ตัวล่วงหน้า
เขาจึงยื่นนิ้วชี้กับนิ้วกลางออกมาข้างหน้าและหมุนข้อมือ
เกิดเป็นคลื่นแรงระเบิดพุ่งออกไป
คลื่นพลังนั้นกระแทกร่างของนักพรตหญิงชินลอยกระเด็น
หลังจากนั้น บุรุษหนุ่มรูปงามก็ค่อย ๆ หันกายกลับมา
เป็นการเคลื่อนไหวที่เชื่องช้า
แต่แล้วกลับตอบโต้ด้วยความรวดเร็ว
การเคลื่อนไหวที่เรียกว่าเชื่องช้านั้น เป็นการเคลื่อนไหวที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ส่วนการตอบโต้ที่รวดเร็วนั้น เป็นการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วราวสายฟ้าฟาด เพียงลมหายใจต่อมา ไม้เท้าในมือของฝ่ายตรงข้ามก็มาอยู่ในมือของเว่ยหมิงเฉินแล้ว
“ฮ่า ๆๆ ท่านเทพฉี ได้ยินว่าท่านหลบหนีมาอยู่บนโลกมนุษย์นานแล้ว บัดนี้ถึงกับกล้าลอบกัดข้าเชียวหรือ?”
เว่ยหมิงเฉินยิ้มด้วยความเหยียดหยาม “โชคร้ายนัก ถึงท่านจะลอบโจมตีข้าในค่ายอาคมที่พวกท่านสร้างเอาไว้ล่วงหน้า แต่สุดท้าย ก็ยังไม่ดีพอที่จะสังหารข้าได้อยู่ดี”
ผู้ที่ลอบโจมตีนั้นคือผู้อาวุโสฉี
เมื่อไม้เท้าไม้ไผ่ตกไปอยู่ในมือของฝ่ายตรงข้าม ผู้อาวุโสฉีก็พลันยิ้มออกมาด้วยความสะใจ
เพราะคลื่นพลังสีดำได้ไหลทะลักออกมาจากไม้เท้านั้นเป็นจำนวนมาก
เว่ยหมิงเฉินต้องการจะปล่อยมือออกจากไม้เท้าและถอยกายไปตั้งหลัก
แต่บุรุษหนุ่มกลับพบว่ามือของตนเองติดหนึบอยู่กับไม้เท้าไม่ไผ่ไม่สามารถปลดปล่อยได้เสียแล้ว
พรึ่บ!
หยดเลือดสาดกระจาย
ผู้อาวุโสฉีพึมพำบริกรรมคาถาบางอย่างและระเบิดแขนข้างหนึ่งของตนเองทิ้งไป
หลังจากนั้น ร่างของชายชราก็เคลื่อนไหวล่าถอยออกไปด้วยความเร็วปานสายฟ้าฟาด
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าแม้จะได้รับความช่วยเหลือจากค่ายอาคมแดนดาราดับอสูร ทว่าการโจมตีเมื่อสักครู่นี้ ก็ยังไม่สามารถทำอันตรายเว่ยหมิงเฉินได้เลยแม้แต่น้อย
ผู้อาวุโสฉีคิดว่าตนเองล่าถอยออกมาได้อย่างรวดเร็วแล้ว แต่เว่ยหมิงเฉินกลับโจมตีได้รวดเร็วยิ่งกว่านั้น
ไม้เท้าไม้ไผ่ระเบิดกระจาย
เว่ยหมิงเฉินงอนิ้วมือทั้งห้าและกระแทกออกมาข้างหน้า
คลื่นพลังที่คล้ายกับสายโซ่สีดำพลันพุ่งทะยานไม่ต่างจากพญามังกรปีศาจ รัดพันร่างกายของผู้อาวุโสฉีแนบแน่น
“ข้าให้โอกาสกับท่านแล้ว แต่ท่านกลับใช้โอกาสนั้นให้เกิดประโยชน์ไม่ได้เอง”
เว่ยหมิงเฉินงอนิ้วมือของตนเองลงเล็กน้อย
พรึ่บ!
เศษเนื้อเศษหนังเศษเลือดเศษกระดูกปลิวกระจาย
ผู้อาวุโสฉีที่ถูกโซ่ทมิฬพันธนาการอยู่เมื่อสักครู่พลันร่างระเบิดกระจายกลายเป็นม่านหมอกเลือด
ไม่หลงเหลือตัวคนอยู่อีกแล้ว!!