บทที่ 1439 พบหน้ากันในที่สุด

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,439 พบหน้ากันในที่สุด

ที่ด้านล่างภูเขา

ยามบ่ายในเมืองหยุนเมิ่งเงียบสงบและอบอุ่น

หลินเป่ยเฉินเดินมาหยุดยืนที่แผงขายบะหมี่แผงหนึ่ง

เขามองเห็นภาพที่คนอื่นมองไม่เห็น

“นี่คือ… พลังเวทมนตร์ของเทพเจ้าระดับสูงนี่หว่า”

หลินเป่ยเฉินมองร่างของจินจื่ออี้ที่ศีรษะระเบิดกระจายกับบุตรชายที่นอนเลือดท่วมตัวด้วยความโกรธแค้น

พวกเทพอสูรกล้ามาอาละวาดในเมืองหยุนเมิ่งเชียวหรือ?

ถึงกับฆ่าคนตายกลางวันแสก ๆ

แต่เนื่องจากอาณาเขตของแผงขายบะหมี่ถูกสะกดให้กาลเวลาหยุดนิ่ง ดังนั้น…

หลินเป่ยเฉินจึงเดินเข้าไปที่แผงขายบะหมี่

เขาสาดพลังวารีบำบัดใส่ร่างของจินจื่ออี้กับจินชวนเป่า

ทันใดนั้น บาดแผลฉกรรจ์ที่อยู่ตามร่างกาย รวมไปถึงเศษเลือดเศษเนื้อที่กระจัดกระจายออกมาจากศีรษะก็รวบรวมกลับคืนกลายเป็นศีรษะที่ตั้งอยู่บนบ่าเถ้าแก่แผงขายบะหมี่อีกครั้ง

หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นดีดนิ้ว

ป๊อก!

และกาลเวลาก็กลับมาเดินไปข้างหน้าต่อจากเดิม

“นี่มันอะไรกัน…”

จินจื่ออี้กับจินชวนเป่าสองพ่อลูกอุทานออกมาพร้อมกัน

พวกเขายังมีชีวิตอยู่

หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็ได้รับทราบจากปากคำของสองพ่อลูกว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง

“พวกท่านรีบแจ้งเตือนทางการเมืองหยุนเมิ่ง ให้เตรียมอพยพผู้คนเดี๋ยวนี้”

หลินเป่ยเฉินพูดจบก็เดินไปข้างหน้า

แล้วร่างของเขาก็หายวับไปในพริบตา

จินจื่ออี้กับจินชวนเป่าหันมองหน้ากัน สองพ่อลูกทราบดีว่านี่คือเรื่องสำคัญ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้ารีรอ และรีบไปทำตามคำสั่งของหลินเป่ยเฉินโดยทันที

เป็นผู้ใดมาแล้ว?

หัวใจของฮันปู้ฮุยเต็มไปด้วยความสงสัย

ทันใดนั้น มือของใครบางคนก็วางลงบนหัวไหล่ของนาง

ฮันปู้ฮุยตกตะลึง และเมื่อหันหน้าไปมอง ก็ต้องยิ่งตะลึงมากกว่าเดิม

ใบหน้าที่คุ้นเคย

บุคคลที่หายตัวไปเนิ่นนาน แต่ไม่เคยหายไปจากความคิดถึงของนางแม้แต่วันเดียว

“พี่หลิน…”

ฮันปู้ฮุยร้องออกมาด้วยความดีใจ

หลินเป่ยเฉินยิ้มและพยักหน้า ตวัดนิ้วเหมือนวาดกระบี่ ตัดสายโซ่ที่พันธนาการร่างของเยว่เว่ยหยางที่ยืนอยู่ด้านข้างขาดสะบั้น

ลำแสงกระบี่สีแดงสาดประกายเจิดจ้า

สายโซ่สีดำนั้นถูกตัดขาดง่ายดายไม่ต่างจากเศษเต้าหู้ พวกมันร่วงหล่นบนพื้นหินและสลายหายไปในอากาศ

“ท่าน… ในที่สุด ท่านก็ออกมาแล้ว?”

เยว่เว่ยหยางเองเมื่อเห็นหน้าหลินเป่ยเฉิน หัวใจก็สั่นไหวอย่างควบคุมไม่ได้ รอยยิ้มอ่อนหวานปรากฏขึ้นบนใบหน้าใสสะอาดบริสุทธิ์นั้น

“ไม่เป็นไรนะ…”

หลินเป่ยเฉินยื่นมือออกไปดึงตัวนักบวชสาวเข้ามาสวมกอดและลูบศีรษะของนางอย่างปลอบโยน “ข้ากลับมาแล้ว… อย่าได้กลัวไปเลย เรื่องราวหลังจากนี้ เดี๋ยวข้าจัดการเอง”

เยว่เว่ยหยางรู้สึกเขินอายจนสองแก้มแดงระเรื่อ

บัดนี้ นางไม่ใช่หัวหน้านักบวชผู้น่าเลื่อมใส

แต่เยว่เว่ยหยางเป็นเพียงเด็กสาวที่กำลังเขินอายเท่านั้น

นักพรตหญิงชินผู้ยืนอยู่ในค่ายอาคมเห็นภาพเหตุการณ์ทั้งหมด หัวคิ้วของนางกระดกขึ้นลง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

หลินเป่ยเฉินปล่อยมือออกจากการโอบกอดเยว่เว่ยหยางและเดินตรงเข้าสู่ลานจัตุรัส

ค่ายอาคมแดนดาราดับอสูรมีม่านพลังปิดกั้น ไม่ว่าผู้ใดก็ผ่านเข้าไปไม่ได้ แต่เมื่อหลินเป่ยเฉินก้าวเท้าเข้าไป เขาก็ไปยืนอยู่ข้างกายนักพรตหญิงชินได้อย่างง่ายดาย

“ท่านอาจารย์เป็นอะไรหรือไม่?”

หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นเตรียมปลดปล่อยพลังวารีบำบัด

“ข้าไม่เป็นไร”

นักพรตหญิงชินมีสีหน้าอ่อนโยนลงเล็กน้อย ตอบคำถามพร้อมกับส่ายหน้า

นางจ้องมองหลินเป่ยเฉิน ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับราวกับดวงดาราบนฟากฟ้า คล้ายกับว่านางได้ค้นพบอะไรบางอย่างในตัวหลินเป่ยเฉินที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

“ขะ…ข้าได้รับบาดเจ็บ”

เสียงของผู้อาวุโสฉีดังขึ้นปานจะขาดใจ “เจ้าตัวบัดซบ เลิกทำหน้านิ่วคิ้วขมวดก่อนได้หรือไม่ ยังไม่รีบมารักษาเราผู้เฒ่าอีก เราผู้เฒ่ากำลังจะตายแล้ว”

สีหน้าที่อ่อนโยนและแววตาตื่นเต้นของนักพรตหญิงชินพลันกลับคืนสู่ความเย็นชาอีกครั้ง

แต่หลินเป่ยเฉินกลับยิ้มแย้มอย่างสบายใจ โปรยละอองน้ำจากพลังวารีบำบัดใส่ชายชราอย่างไม่สนใจสักเท่าไหร่นัก “ท่านผู้เฒ่าอายุเยอะแล้ว เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา พวกเราคนหนุ่มคนสาวมาเจอหน้ากันก็ต้องทักทายกันก่อนสิ”

ผู้อาวุโสฉีฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บอย่างรวดเร็ว รีบลุกขึ้นมาพูดเสียงเขียวว่า “เราผู้เฒ่าก็ยังมีประโยชน์อยู่นะ การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่เจ้าคิด หากเจ้าไม่มีประสบการณ์ เจ้าก็ต้องพ่ายแพ้ เราผู้เฒ่าสามารถช่วยเหลือเจ้าได้”

“เอาที่ท่านผู้เฒ่าสบายใจเถอะขอรับ”

หลินเป่ยเฉินยกมือบอกให้ชายชราหยุดพูด ก่อนที่เขาจะหันมากล่าวกับนักพรตหญิงชินต่ออีกครั้ง “ท่านอาจารย์ไปพักเถอะขอรับ คอยดูข้าแสดงฝีมือให้ดีก็แล้วกัน”

นักพรตหญิงชินโบกมือเป็นความหมายว่า ‘รีบไปแสดงฝีมือของเจ้าได้แล้ว’ ด้วยท่าทีเยือกเย็น

หลินเป่ยเฉินเหวี่ยงแขนบิดลำคอส่ายเอวเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับการต่อสู้ เรียบร้อยดีแล้วจึงเดินตรงเข้าไปหาเว่ยหมิงเฉิน

“เจ้าเป็นผู้ใดมาจากไหน ได้โปรดเอ่ยนามของเจ้าออกมา”

เขาจ้องมองเว่ยหมิงเฉินพร้อมกับยกมือกระดิกนิ้วเรียก

เว่ยหมิงเฉินเฝ้ามอง ‘พฤติกรรม’ หลังการปรากฏตัวของหลินเป่ยเฉินด้วยความอดทน จนกระทั่งอีกฝ่ายเดินมาหาตนเอง รอยยิ้มจึงได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเว่ยหมิงเฉิน “เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าคือใคร…”

“เขาคือเว่ยหมิงเฉินเจ้าค่ะ”

เสียงตะโกนของฮันปู้ฮุยดังขึ้นนอกค่ายอาคม “เขาคือราชันย์แห่งวิหารเทพพงไพร”

หลินเป่ยเฉินสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น

เขาเอียงคอพิจารณาบุรุษหนุ่มรูปงามที่ยืนอยู่ตรงหน้าและพูดว่า “ครั้งสุดท้ายที่ข้าเห็นเจ้า เจ้าไม่ได้เป็นเช่นนี้นี่นา? อย่าบอกนะว่าเจ้าไปแปลงโฉมมาแล้ว?”

เว่ยหมิงเฉินที่เขาเคยพบเห็นครั้งสุดท้ายไม่ได้มีหน้าตาเป็นเช่นนี้เลย

ผู้อาวุโสฉียกมือกุมหน้าผากด้วยความปวดหัว

ดูเหมือนสถานการณ์ของพวกเขาจะไม่มีความหวังสักเท่าไหร่แล้ว…

ให้ตายเถอะ

น่าหดหู่เหลือเกิน

ทันทีที่หลินเป่ยเฉินปรากฏตัวออกมา เขาก็ยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับบุรุษหนุ่มรูปงามอย่างเว่ยหมิงเฉินที่ยืนอยู่ด้านข้าง เอาแค่เรื่องความน่าเกรงขามเพียงอย่างเดียวก็ห่างกันลิบลับแล้ว

“สามหาว!”

หนึ่งในกลุ่มองครักษ์ตะโกนขึ้นเสียงแข็งกร้าว “เจ้าเด็กไร้การศึกษา เจ้าเป็นใครถึงกล้าพูดจาเช่นนี้กับองค์ราชันย์…”

เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย

ลำแสงพุ่งวาบ

ม่านหมอกเลือดระเบิดตัวต่อหน้าทุกคน

ปรากฏว่าองครักษ์ผู้ตะโกนออกมาคนนั้น บัดนี้ได้ถูกหลินเป่ยเฉินบีบคอและยกตัวลอยขึ้นไปในอากาศราวกับเป็นตุ๊กตาตัวหนึ่ง

“เป็นเพียงเทพเจ้าขั้นกลาง กล้ามาขึ้นเสียงใส่ข้าได้อย่างไร?”

หลินเป่ยเฉินหัวเราะเยาะ

หลังจากนั้น พ่อบ้านวัยกลางคนและกลุ่มองครักษ์ก็ต้องผงะถอยหลังด้วยคลื่นพลังกดดันที่คุกคามเข้าหา

พวกเขาไม่ทราบเลยว่าเด็กหนุ่มที่ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยผู้นี้… เหตุไฉนจึงครอบครองพลังของเทพเจ้าระดับสูงได้เช่นนี้?

พรึ่บ!

พลังอัคคีเทวะระเบิดออกมา

และร่างขององครักษ์ที่ลอยอยู่ในอากาศก็มีเปลวไฟลุกไหม้ เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น ตัวคนก็กลายเป็นหมอกควันสลายหายไปในอากาศ

เหตุการณ์นี้ทำให้สีหน้าของนักพรตหญิงชินกับผู้อาวุโสฉีแปรเปลี่ยนไป

เยว่เว่ยหยางไม่สามารถซ่อนเร้นความประหลาดใจเอาไว้ได้

ทางด้านฮันปู้ฮุยเมื่อหายตกตะลึง นางก็รีบปรบมือส่งเสียงตะโกนว่า “เย้ พี่หลินแข็งแกร่งที่สุดเลยเจ้าค่ะ…”

ความวิตกกังวลหายไปจากจิตใจของทุกคนมากแล้ว

เดิมที ตอนที่หลินเป่ยเฉินปรากฏตัวออกมา พวกนางยังคงมีความวิตกกังวลไม่น้อย เพราะทุกคนไม่รู้เลยว่าหลินเป่ยเฉินสามารถหลอมรวมพลังเทพเจ้าจากตำแหน่งเซียนกระบี่ได้สำเร็จหรือไม่ และประตูที่ปรากฏขึ้นในขณะนี้ก็มีความน่ากลัวมากเกินไป พวกนางเกรงว่าหลินเป่ยเฉินจะประมาทคู่ต่อสู้จนสถานการณ์ย่ำแย่ลง

แต่บัดนี้ ดูเหมือนว่าหลินเป่ยเฉินจะหลอมรวมพลังเทพเจ้าได้สำเร็จแล้ว

“น่าสนใจ”

เว่ยหมิงเฉินเฝ้ามององครักษ์ของตนเองถูกเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์เผาไหม้อย่างไม่สะทกสะท้าน มิหนำซ้ำ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขายังแจ่มใสมากกว่าเดิม “นี่คือพลังจากตำแหน่งเซียนกระบี่อย่างนั้นหรือ? มีความแข็งแกร่งถึงขนาดนี้เชียว? พลังทำลายล้างของเจ้าในขณะนี้ นับว่าทำให้ข้าประหลาดใจได้แล้วจริง ๆ”

หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นกระดิกนิ้วเรียกอีกครั้ง “เก่งจริงก็เข้ามา”

ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นเว่ยหมิงเฉิน ก็ไม่มีอะไรให้ต้องพูดคุยอีก

ระหว่างพวกเขามีความแค้นในอดีตสะสมมากมายเกินไป เมื่อเผชิญหน้ากัน ก็ได้เวลาจัดการหนี้แค้นเสียที!

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

Status: Ongoing

หืมมม วิชานี้น่าสนใจดี แชะ ! ติ๊งง คุณได้รับแอพพลิเคชั่นวิชากระบี่ทะลวงจันทร์ ต้องการติดตั้งหรือไม่ ! ด้วยสมาร์ทโฟนในมือของเจ้าแกะดำหลิวเป่ยเฉิน ทำให้เขาสามารถผงาดบนโลกจอมยุทธ์นี้ได้อย่างง่ายดาย…. แต่ข้าไม่เอาหรอก ใครมันจะอยากอยู่โลกแบบนี้กัน YouTube ก็ไม่มี Facebook ก็เข้าไม่ได้ ข้าขอกลับโลกเดิมไปนั่งเล่นเกมในห้องแอร์เย็น ๆ ดีกว่าโว้ยยย !!

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท