ตอนที่ 1,442 พลังอัคคีเทวะที่แท้จริง
พลังกดดันไหลทะลักออกมาจากวิหารเทพีกระบี่ประจำเมือง ครอบคลุมทั่วเมืองหยุนเมิ่งและหลิงเฉินก็สัมผัสได้ถึงมวลพลังเหล่านั้น
แม้แต่ชายชราชุดเขียวที่ยืนอยู่หน้าประตูจวนตระกูลหลิงก็ยังเบิกตาโตขึ้นมา ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ สีหน้าแปรเปลี่ยนไปเมื่อหันหน้ามองไปยังทิศทางของวิหารประจำเมือง
ชินหลันซูเองก็ตกตะลึงไม่น้อย
แต่สิ่งที่นางห่วงใยมากที่สุดก็คืออาการของบุตรสาว
ให้เฉินเอ๋อร์ตื่นมาในภาวะที่โรคกำลังกำเริบเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่ดี
เพราะนั่นจะยิ่งทำให้เด็กสาวเผาผลาญพลังชีวิตมากกว่าเดิม
“เฉินเอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
ผู้เป็นมารดารีบเข้าไปประชิดข้างเตียง แต่นางไม่กล้าสัมผัสตัวบุตรสาว บัดนี้ อาการของเฉินเอ๋อร์กำเริบรุนแรง ต่อให้เป็นผู้มีพลังระดับเซียนมาแตะต้องตัวนาง ก็จะมีสภาพกลายเป็นหุ่นน้ำแข็งไปทันที
โรค ‘นทีประลัย’ ที่หลิงเฉินเป็นอยู่นี้ ความน่ากลัวของมันก็คืออุณหภูมิเย็นจัดจากร่างกายของหลิงเฉินสามารถทำให้สิ่งมีชีวิตที่แตะต้องตัวนางนั้นกลายเป็นน้ำแข็งเสียชีวิตได้ในทันที
แม้แต่ผู้เป็นมารดาก็ไม่กล้าแตะต้องตัวนางอีกแล้ว
“ท่านแม่…”
หลิงเฉินลืมตาขึ้นมาอย่างอ่อนระโหยโรยแรง ไม่ต่างจากเปลวเทียนที่ใกล้ดับวูบ “ลูกรู้สึกได้ เขากลับมาที่เมืองนี้แล้ว ท่านแม่ ลูกยินดีไปกับท่าน แต่ก่อนไป ลูกขอพบเขาอีกสักครั้งได้หรือไม่?”
“หลินเป่ยเฉินเนี่ยนะ?”
ความเศร้าปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชินหลันซู “เขาอยู่ที่ไหน? เหตุไฉนเจ้าถึงต้องสนใจเขามากเพียงนี้? เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่โรคของเจ้ากำเริบขึ้นมาหนักกว่าเดิมเป็นสองเท่า ก็เพราะเจ้าใช้พลังปราณธาตุน้ำแข็งในตัวช่วยเหลือเขา”
ใบหน้าของเด็กสาวขาวซีดไม่มีสีเลือด บนผิวกายมีเกล็ดน้ำแข็งเกาะอยู่บาง ๆ หลิงเฉินยิ้มเล็กน้อยก่อนตอบว่า “ลูกไม่รู้หรอกเจ้าค่ะ… ลูกรู้เพียงแค่ว่า… หากไม่ได้พบเขา ลูกก็คงเสียใจมาก ท่านแม่ อย่างน้อยให้ลูกมีโอกาสได้บอกลาเขาสักครั้งก็ยังดี”
ไม่ทราบเลยว่าความรักเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่มันได้เติบโตฝังรากลึกลงไปในก้นบึ้งหัวใจของหลิงเฉินแล้ว
ชินหลันซูถอนหายใจออกมาด้วยความเป็นห่วง
“เจ้ากับเขาอยู่กันคนละโลก”
เมื่อเห็นสีหน้าขอร้องอ้อนวอนของบุตรสาวผู้ป่วยหนัก ชินหลันซูก็อดใจอ่อนขึ้นมาไม่ได้ “ผู้อาวุโสในตระกูลเรามาแล้ว หากพวกเราออกเดินทางในครั้งนี้ เจ้าก็จะไม่ได้กลับมาที่โลกนี้อีก เจ้าจะไม่ได้กลับมาเจอเขาอีกเลย ยิ่งพบกันก็มีแต่ยิ่งทำให้คิดถึงกันมากขึ้น แล้วเจ้ายังอยากจะพบหน้าเขาอยู่อีกหรือ?”
หลิงเฉินนอนหายใจรวยริน แต่ดวงตากลับเป็นประกายแจ่มใสขึ้นมาอย่างประหลาด “อยากพบเจ้าค่ะ”
“ให้ตายสิ… เฮ้อ”
ชินหลันซูลุกขึ้นยืนอย่างแช่มช้า “ก็ได้ แม่จะไปพาตัวเขามา”
เมื่อบุตรสาวของนางต้องการเช่นนี้ ไม่ว่าจะลำบากใจเพียงใด ชินหลันซูก็ไม่สามารถปฏิเสธได้อีกแล้ว
นางเดินออกมาจากจวนตระกูลหลิงและพบเห็นรถม้าสีขาวที่จอดรออยู่หน้าประตู
ชายชราชุดเขียวและบรรดาผู้ติดตามนั่งรออยู่ในรถม้าคันนั้น เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่พอใจที่ชินหลันซูแต่งงานเข้าสู่ตระกูลหลิง สำหรับในสายตาของพวกเขา การที่นางแต่งงานกับหลิงจุนเซวียนนั้น ย่อมไม่ต่างจากพญาหงส์ฟ้าลดตัวลงมาเกลือกกลั้วอยู่กับไก่ป่าธรรมดาตัวหนึ่ง
“กราบเรียนผู้อาวุโส พวกเรายินดีไปกับท่าน”
ชินหลันซูหยุดยืนอยู่ข้างรถม้าและอธิบายว่า “เพียงแต่ก่อนเดินทาง บุตรสาวของข้าอยากพบใครบางคน เมื่อได้พบกับบุคคลผู้นั้นแล้ว พวกเราจะออกเดินทางกันทันที”
ไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ ดังกลับมาจากรถม้า
ชินหลันซูเปลี่ยนร่างกลายเป็นลำแสงพุ่งไปยังทิศทางของวิหารประจำเมือง
เหลือเวลาอีกไม่ถึงหนึ่งก้านธูป ในเมื่อชินหลันซูตัดสินใจว่าจะให้หลินเป่ยเฉินได้มาพบเจอกับบุตรสาวของตนเอง นางก็ต้องรีบเร่งแล้ว
…
เว่ยหมิงเฉินกำลังจะตาย
กระบี่ในมือหลินเป่ยเฉินแทงเข้าใส่ส้นเท้าของเขา มิหนำซ้ำ ยังโคจรพลังอัคคีเทวะส่งผ่านตัวกระบี่มาอีกด้วย
“นี่ อย่าขัดขืนเลยน่า”
หลินเป่ยเฉินก้มหน้ามองเว่ยหมิงเฉินผู้นอนไฟลุกท่วมตัวดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้นหิน “ไม่ต้องห่วง ข้าจะนำขี้เถ้าของเจ้าไปโปรยลงบ่ออุจจาระให้เอง…”
“สรุปว่าเจ้าคือเจี๋ยนเซียวเหยาแห่งดินแดนทวยเทพจริง ๆ หรือ?”
ร่างกายของเว่ยหมิงเฉินถูกเปลวไฟแผดเผาจนปวดแสบปวดร้อน แม้จะเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส แต่บุรุษหนุ่มก็ยังกัดฟันพูดออกมาด้วยความเคียดแค้นว่า “ไม่ผิดจากที่ข้าเคยคาดเดาเอาไว้จริง ๆ เจ้าเตรียมการทุกอย่างเอาไว้แล้ว แม้ภายนอกเจ้าจะดูโง่เขลา แต่นี่คือแผนการที่เจ้าแอบวางเอาไว้นานแล้วใช่หรือไม่?”
“เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว ข้าก็แค่เป็นมือกระบี่หนุ่มที่ไม่มีอะไรดีเลยนอกจากหน้าตา แล้วทำไมเจ้าถึงต้องบีบบังคับให้ข้าใช้ไม้แข็งเช่นนี้ด้วย”
หลินเป่ยเฉินพูดพร้อมกับเพิ่มพลังเปลวไฟของตนเอง
เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
หลินเป่ยเฉินฝึกวิชาห้าธาตุหลอมวิญญาณ สามารถปลดผนึกพลังอัคคีเทวะได้สำเร็จ เปลวไฟของเขาจึงสามารถเผาไหม้ได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ต่อให้เป็นร่างกายของเทพเจ้าก็ไม่เหลือแม้แต่กระดูก มีประสิทธิภาพมากกว่าเตาฌาปนกิจในชาติภพที่แล้วของหลินเป่ยเฉินหลายต่อหลายเท่า แล้วเหตุไฉนความเร็วในการเผาไหม้ร่างกายของเว่ยหมิงเฉินจึงเชื่องช้าถึงเพียงนี้
“นี่คือพลังอัคคีเทวะที่แท้จริง”
“นี่เจ้าก็ฝึกวิชาวิญญาณหวนคืนมาตุภูมิเหมือนกันสินะ มิน่าเล่า จึงสามารถปลดผนึกพลังอัคคีเทวะที่แท้จริงได้เช่นนี้…ฮ่า ๆๆ เป็นข้าเองที่ประมาทเจ้ามากเกินไป เจ้าเตรียมตัวเอาไว้ดีมากทีเดียว…”
ร่างแยกของเว่ยหมิงเฉินเข้าใจว่าหลินเป่ยเฉินฝึกวิชาชื่อประหลาดนั้น เพื่อปลดผนึกพลังอัคคีเทวะเอาไว้ใช้จัดการกับตนเองโดยเฉพาะ
เว่ยหมิงเฉินเข้าใจว่าหลินเป่ยเฉินรู้ข้อมูลของตนเองเป็นอย่างดี
หลินเป่ยเฉินเพียงยิ้มแย้มออกมาด้วยความมึนงง
เว่ยหมิงเฉินกำลังพูดเพ้อเจ้ออะไรอยู่? …หรือว่าจะถูกเปลวไฟเผาไหม้จนสติแตกไปแล้ว?
“แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นความพยายามที่เปล่าประโยชน์”
“วิชาวิญญาณหวนคืนมาตุภูมิของเจ้า เพียงปลดผนึกพลังอัคคีเทวะได้เท่านั้น แต่ยังไม่สามารถหวนคืนสู่ร่างที่แท้จริงได้สำเร็จ ไม่ว่าเจ้าวางแผนอะไรอยู่ บัดนี้ ก็ไม่มีเวลาเหลืออีกแล้ว”
“ฮ่า ๆๆ เมื่อข้ามาที่เมืองหยุนเมิ่งอีกครั้ง ข้าจะต้องได้ในสิ่งที่ข้าต้องการ และเมื่อไหร่ที่ข้าหลอมรวมวิชาวิญญาณหวนคืนมาตุภูมิเข้ากับวิชาห้าธาตุหลอมวิญญาณได้สำเร็จ เจ้าก็จะต้องพบกับความเจ็บปวดทรมานมากกว่าที่ข้าต้องพบในวันนี้เป็นหมื่น ๆ เท่า”
“ข้าจะสะกดวิญญาณของเจ้าให้มาเผาไหม้อยู่ในตะเกียงอมตะหมื่นปี”
“ฮ่า ๆๆ …อีกไม่นาน จุดจบของพวกเจ้าก็จะมาถึง”
สิ้นเสียงหัวเราะครั้งสุดท้าย พลังในร่างกายเว่ยหมิงเฉินก็สลายหายไป
ตัวคนเผาไหม้ราวก็เป็นท่อนฟืนดำทะมึน
เคร้ง!
วัตถุสีทองคำกระเด็นออกมาจากกองขี้เถ้าสีดำนั้น
“หืม? มีของแถมให้ด้วยเหรอเนี่ย?”
หลินเป่ยเฉินยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
เขาฆ่าเทพเจ้ามาแล้วหลายคน มีเพียงเว่ยหมิงเฉินคนเดียวเท่านั้นที่แจกของแถมเช่นนี้… สมแล้วที่เป็นองค์ราชันย์ของวิหารเทพพงไพร ค่อยรู้สึกหายเหนื่อยหน่อย
เด็กหนุ่มก้มหยิบวัตถุทองคำนั้นขึ้นมา
มันดูเหมือนเป็นคัมภีร์อะไรบางอย่างที่สร้างขึ้นมาจากแผ่นทองคำ
บนแผ่นทองคำเหล่านั้นแกะสลักเป็นลวดลายผู้คนกำลังร่ายรำกระบี่
มีทั้งสิ้นสิบเจ็ดกระบวนท่า
“นี่มัน… คัมภีร์กระบี่สิบเจ็ดคาบสมุทรไม่ใช่หรือไง?”
สิบกระบวนท่าแรกนั้นหลินเป่ยเฉินคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพราะมันเป็นการเคลื่อนไหวเดียวกับคัมภีร์กระบี่สิบเจ็ดคาบสมุทรที่เขาฝึกฝนอยู่นั่นเอง
หลินเป่ยเฉินรีบสะบัดศีรษะและพลิกไปดูหน้าหลัง ๆ
นี่คือคัมภีร์ฉบับสมบูรณ์
นับเป็นสิ่งของที่หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว
หลินเป่ยเฉินคิดอะไรบางอย่างเล็กน้อย ก็นำคัมภีร์ทองคำเล่มนี้เก็บเข้าไว้ในพื้นที่ฝากไฟล์ของแอปสวิ่นเล่ย
เดี๋ยวมีเวลาค่อยลองเปิดดูอย่างละเอียด
ณ จุดนี้ การต่อสู้ได้จบลงโดยสมบูรณ์
กลุ่มเทพอสูรที่เหยียบเท้าก้าวเข้ามาในเมืองหยุนเมิ่ง ได้ถูกกำจัดกวาดล้างไปหมดสิ้น
“ยอดเยี่ยมที่สุด…”
ฮันปู้ฮุยโห่ร้องออกมาด้วยความดีใจ “พี่หลิน ท่านสามารถสังหารองค์ราชันย์ของพวกวิหารเทพพงไพรได้แล้ว นับจากนี้ไปแผ่นดินตงเต้าของพวกเราก็จะกลับมาอยู่ในความสงบสุขอีกครั้ง เมื่อพวกเทพอสูรไม่มีหัวหน้าใหญ่ พวกเราก็ไม่ต้องกลัวอะไรอีก”
นักพรตหญิงชินหุบปีกกระบี่ลงและค่อย ๆ ทิ้งตัวลงมายืนอยู่บนพื้นดิน “เกรงว่าเรื่องราวคงไม่ง่ายดายเช่นนั้น”
หลินเป่ยเฉินยักคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะร้องออกมาเป็นทำนองเพลงว่า “แม้ว่ามันจะไม่ง่ายดาย… แต่ขอแค่หัวใจเรามีความรัก ความรักก็สามารถเอาชนะได้ทุกอย่างขอรับ…”