ตอนที่ 1,445 หัวใจที่ถูกพลัดพรากของชายสองคน
นี่นางสนุกมากนักหรือ?
หลินเป่ยเฉินหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้
อย่าว่าแต่ตอนนี้หลิงเฉินเป็นโรคนทีประลัยขั้นรุนแรง ไม่สามารถสนิทสนมกันอย่างบุรุษสตรีได้เด็ดขาด ถึงทำได้ หลินเป่ยเฉินก็ไม่มีเวลาให้แก่เรื่องนี้อีกแล้ว เพราะนครเจาฮุยยังคงรอให้เขาไปช่วยเหลืออยู่
“เจ้าบอกความลับกับข้าแล้ว ข้าก็จะบอกความลับของข้าให้เจ้ารู้เช่นกัน”
หลินเป่ยเฉินพูดเสียงอ่อนโยน
หลิงเฉินยิ้มกว้างแล้วมองหน้าเขา
“อันที่จริง… ตัวข้าเองก็ไม่ได้มาจากโลกนี้เช่นกัน”
หลินเป่ยเฉินบอกความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของตนเอง
หลิงเฉินไม่ได้มีสีหน้าประหลาดใจสักเท่าไหร่ “ไม่สำคัญหรอกเจ้าค่ะ”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะออกมาแล้ว
เขาคือเด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาที่สุดในใต้หล้า
เมื่อหัวเราะออกมา โลกทั้งใบของหลิงเฉินก็คล้ายกับจะสว่างไสวขึ้นทันที
หลินเป่ยเฉินพูดเน้นย้ำต่อไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ทีนี้พวกเราก็รู้ความลับของกันและกันแล้ว ไม่ว่าหลังจากนี้เจ้ากับข้าจะอยู่ที่ใด พวกเราก็จะไม่มีทางลืมเลือนกันเด็ดขาด ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเราก็จะไม่ทอดทิ้งกัน เจ้ากลับบ้านเกิดของเจ้าไปแล้ว ก็จงฝึกฝนวิชาตามที่ท่านผู้อาวุโสสั่งสอนและจงรอคอยข้าด้วยความอดทน เมื่อข้าเสร็จเรื่องราวของที่นี่แล้ว ข้าจะต้องไปตามหาตัวเจ้าแน่นอน และใครก็ตามที่กล้ารังแกเจ้า ข้าจะไปจัดการมันเอง ข้าจะจับวิญญาณของมันขังอยู่ในตะเกียงอมตะให้ดวงวิญญาณถูกแผดเผาไปอีกร้อยปีพันปี”
เมื่อหลิงเฉินได้รับฟังดังนั้น ดวงตาของนางก็มีน้ำตาคลอเต็มสองเบ้า
นี่คือคำสัญญาระหว่างพวกเขา
“ประเสริฐ ข้าน้อยจะรอคอยท่าน”
เด็กสาวพยักหน้าและให้คำตอบกับเขาด้วยความหนักแน่น
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจยาว ไม่ได้พูดอะไรอีก ก่อนโอบกอดหลิงเฉินผู้มีร่างกายเย็นเฉียบอยู่ในความเงียบงัน
บางครั้ง ความเงียบก็นับเป็นการสื่อสารที่ดีที่สุดแล้ว
กาลเวลาผ่านไป
ช่วงเวลาหนึ่งก้านธูปหมดลง
หลิงเฉินนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงกระซิบบอกว่า “พี่หลิน ท่านเคยไปที่ดินแดนทวยเทพมาแล้วหรือ?”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้า
หลิงเฉินถามอีกครั้งว่า “ถ้าอย่างนั้น ท่านก็คงเคยได้ยินชื่อของท่านมหาเทพบ้างแล้วกระมัง?”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าเป็นครั้งที่สอง
หลิงเฉินกล่าวต่อไป “เว่ยหมิงเฉินคือร่างกำเนิดใหม่ของท่านมหาเทพเจ้าค่ะ”
ว่าไงนะ?
หลินเป่ยเฉินหรี่ตาลง รู้สึกไม่ต่างจากแผ่นดินกำลังเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
เว่ยหมิงเฉินเป็นร่างกำเนิดใหม่ของท่านมหาเทพ?
เรื่องนี้… มันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว
แต่เมื่อลองรวบรวมข้อมูลดูดี ๆ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงบอกว่าท่านมหาเทพตายแล้ว
ขณะนี้ หลิงเฉินกำลังบอกเขาว่าเว่ยหมิงเฉินคือร่างกำเนิดใหม่ของท่านมหาเทพ
แต่มันจะเป็นไปได้จริงหรือ?
ท่านมหาเทพตายในดินแดนทวยเทพ แต่กลับเลือกมาเกิดใหม่เป็นมนุษย์ในแผ่นดินตงเต้าเนี่ยนะ
ไม่ทราบว่าสมองมีปัญหาหรือไม่?
เหตุไฉนจึงละทิ้งการเสวยสุขบนบัลลังก์ทองคำในดินแดนทวยเทพ และเลือกมากำเนิดใหม่ในร่างของเด็กหนุ่มผู้หนึ่งในแผ่นดินตงเต้า มิหนำซ้ำ ยังคิดแย่งชิงคนรักของชาวบ้านอีกด้วย…
ท่านมหาเทพไม่น่าทำเช่นนั้นหรอกกระมัง
ไม่ว่าจะพยายามขบคิดถึงปัญหาข้อนี้สักเท่าไหร่ หลินเป่ยเฉินก็ยังไม่พบคำตอบอยู่ดีว่าเพราะเหตุใด ท่านมหาเทพจึงต้องมากำเนิดใหม่ในร่างของมนุษย์ผู้หนึ่งด้วย
“ทำไมท่านมหาเทพถึงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ?”
ในเมื่อนี่คือข้อสงสัยที่หาคำตอบไม่ได้ หลินเป่ยเฉินจึงต้องสอบถามออกมาอย่างไม่มีทางเลือก
“เพราะว่าท่านมหาเทพอยากจะไปในดินแดนอื่น ๆ เจ้าค่ะ”
หลิงเฉินผู้ซบไหล่หลินเป่ยเฉินกระซิบตอบแผ่วเบา “ตอนที่อยู่ในดินแดนทวยเทพ ท่านมหาเทพตัดสินใจผิดพลาดในเรื่องราวบางอย่าง และนั่นก็ทำให้เขาไม่สามารถเดินทางผ่านประตูระหว่างภพภูมิไปยังดินแดนอื่น ๆ ได้ ด้วยเหตุนี้ ท่านมหาเทพจึงต้องตัดวงจรทุกอย่าง เพื่อจบชีวิตของตนเองและกลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง”
นี่คือคำตอบแบบกว้าง ๆ
แต่กลับมีข้อมูลล้ำค่าอยู่มากมาย
ตอนที่อยู่ในดินแดนทวยเทพ เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงและมารดาของเจ้าอ้วนก็เคยกล่าวถึงดินแดนในภพภูมิอื่นให้หลินเป่ยเฉินรับฟังบ้างพอสมควร และสิ่งหนึ่งที่แน่นอนก็คือ… เทพเจ้าผู้ปลดผนึกวงแหวนหลังศีรษะจะไม่สามารถเดินทางเข้าสู่ประตูระหว่างภพภูมิได้ มิเช่นนั้น ก็จะเกิดอันตรายอย่างใหญ่หลวง
ดังนั้น สิ่งที่หลินเป่ยเฉินกำลังคิดอยู่ก็คือก่อนหน้านี้ ท่านมหาเทพได้กระทำการปลดผนึกวงแหวนเทพเจ้าเรียบร้อยแล้ว
และยิ่งในร่างกายมีพลังศักดิ์สิทธิ์มากเท่าไหร่ อันตรายระหว่างการเดินทางผ่านประตูระหว่างภพภูมิก็จะยิ่งรุนแรงมากเท่านั้น
นี่คือสิ่งที่ขัดขวางไม่ให้ท่านมหาเทพเดินทางไปยังภพภูมิอื่น ๆ ได้
เพราะฉะนั้น ท่านมหาเทพจึงต้องจบชีวิตของตนเอง เพื่อให้ดวงวิญญาณของตนเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของเว่ยหมิงเฉิน จากนั้นจึงรวบรวมพลังทุกอย่างที่สูญเสียไปกลับมา แต่ครั้งนี้ ท่านมหาเทพจะไม่มีทางปลดผนึกวงแหวนเทพเจ้าเด็ดขาด
เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านมหาเทพในร่างของเว่ยหมิงเฉินก็สามารถเดินทางไปยังภพภูมิอื่น ๆ ที่อยู่ห่างไกลได้ตามใจชอบแล้ว
เรื่องราวต้องเป็นเช่นนี้แน่นอน
หลินเป่ยเฉินรู้สึกสมองแจ่มใสขึ้นมาในพริบตา
ปริศนาใหญ่ได้ถูกคลี่คลายลงแล้ว
เพราะแบบนี้เองสินะ เว่ยหมิงเฉินผู้เป็นบุคคลไร้ชื่อเสียงเรียงนามในจักรวรรดิเป่ยไห่ จึงอาศัยช่วงเวลาเพียงไม่นานก็ขึ้นมาเรืองอำนาจได้เทียบเท่ากับองค์จักรพรรดิ มิหนำซ้ำ ยังมีสถานะเป็นองค์ราชันย์แห่งวิหารเทพเจ้าอีกด้วย
ความคิดมากมายนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมาในห้วงคิดของหลินเป่ยเฉิน
เมื่อได้รับทราบข้อมูลเหล่านี้ สิ่งที่เขาสมควรทำจึงไม่ใช่เพียงการช่วยเหลือนครเจาฮุยให้รอดพ้นจากอันตรายเท่านั้น แต่ยังเป็นการจัดระเบียบบรรดาเทพเจ้าครั้งใหญ่อีกด้วย
ไม่ว่าเว่ยหมิงเฉินจะทราบหรือไม่ว่าตัวตนที่แท้จริงของเจี๋ยนเซียวเหยาก็คือหลินเป่ยเฉิน แต่อย่างน้อย หลินเป่ยเฉินจะอยู่นิ่งเฉยต่อไปไม่ได้อีก
แต่ประเด็นสำคัญก็คือ การกลับมากำเนิดใหม่ในร่างของเว่ยหมิงเฉินในครั้งนี้ ไม่ทราบว่าท่านมหาเทพมาพร้อมกับพลังทั้งหมดที่เคยครอบครองอยู่ด้วยหรือไม่?
ครั้งนี้ หลินเป่ยเฉินจำเป็นต้องเตรียมตัวรับมือให้ดีมากที่สุด
เขาจะประมาทไม่ได้เด็ดขาด
ทันใดนั้น ได้ยินเสียงฝีเท้าคนก็ดังขึ้นหน้าประตูห้อง
หมดเวลาแล้ว
ชินหลันซูเคาะประตูก่อนจะเปิดประตูเข้ามา
นางเฝ้ามองเด็กหนุ่มและเด็กสาวนั่งกอดกันอยู่บนเตียง สุดท้ายก็ต้องถอนหายใจและพูดออกมาด้วยเสียงราบเรียบว่า “เฉินเอ๋อร์ หมดเวลาแล้ว พวกเรารีบออกเดินทางกันเถอะ”
ผู้เป็นมารดาสวมใส่ถุงมือไหมสีขาวเพื่อป้องกันคำสาปน้ำแข็ง นางเดินเข้ามาช่วยประคองหลิงเฉินลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ
หลินเป่ยเฉินพูดว่า “ข้าน้อยขอไปส่งนางด้วยคน”
ชินหลันซูรีบส่ายหน้า “อย่าให้ผู้อาวุโสของตระกูลข้าเห็นความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับเฉินเอ๋อร์เลย”
หลินเป่ยเฉินมองหน้านางด้วยความขุ่นเคืองใจ
ชินหลันซูจ้องมองตอบกลับมาพร้อมอธิบายว่า “นี่ก็เพื่อผลดีต่อตัวเฉินเอ๋อร์เอง”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีปัญหาขอรับ”
หลินเป่ยเฉินรับคำโดยไม่ลังเล
ชินหลันซูเดินประคองหลิงเฉินนำไปด้านหน้า หลินเป่ยเฉินเดินตามหลังออกจากห้องใต้หลังคาและมุ่งหน้าตรงไปยังสนามหญ้าหน้าจวนที่พัก
ณ บริเวณหน้าประตูจวน อดีตบุรุษหนุ่มผู้หล่อเหลาและงามสง่าอย่างหลิงจุนเซวียนบัดนี้กำลังนั่งยอง ๆ ประคองไหสุราอย่างหมดสภาพ ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใต้คางเต็มไปด้วยตอหนวดเครา ลักษณะแทบไม่ต่างไปจากคนจรจัด
ชินหลันซูและบุตรสาวเดินผ่านเขาไปโดยไม่หยุดมอง
แม้นางจะทราบว่าผู้เป็นสามีจ้องมองตนเองและบุตรสาวตลอดเวลา แต่ชินหลันซูก็ไม่ได้เหลียวหน้ามองกลับมาหรือสนทนากับเขาเลยสักคำเดียว
รถม้าสีขาวยังคงจอดรออยู่ตรงที่เดิม
ชินหลันซูเปิดประตูรถม้าและช่วยประคองส่งหลิงเฉินก้าวขึ้นไปอย่างแช่มช้า
ประตูรถม้าปิดลงแผ่วเบา
ราวกับเป็นการปิดกั้นโลกทั้งใบ
แล้วรถม้าก็เริ่มเคลื่อนตัวไปข้างหน้า
รถม้าแล่นไปตามท้องถนน ก่อนจะเพิ่มความเร็วขึ้นอย่างไม่รีบร้อน แต่เพียงไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น รถม้าสีขาวก็ลอยขึ้นจากพื้นดินหลอมรวมกับภูเขาหิมะที่อยู่ห่างไกล เกล็ดหิมะโปรยปรายในอากาศ ละอองน้ำแห่งความหนาวเย็นสาดกระจาย… สุดท้าย รถม้าสีขาวคันนั้นก็หายลับไปจากสายตาของพวกเขา…
รถม้าพาสตรีทั้งสองนางจากไป
จากไปพร้อมกับหัวใจของบุรุษหนุ่มต่างวัยทั้งสองคน
หลิงจุนเซวียนลุกขึ้นยืนเหม่ออยู่หน้าประตูจวนตระกูลหลิง เมื่อรถม้าหายลับไปจากสายตาได้ประมาณสิบลมหายใจ เขาก็เงยหน้าระเบิดเสียงหัวเราะใส่ท้องฟ้า “อุ๊วะฮ่า ๆๆ ในที่สุด ข้าก็ได้เป็นอิสระแล้ว ในที่สุด ข้าก็จะได้เป็นบุคคลเสเพลอย่างท่านพ่อสักที จะไม่มีผู้ใดสามารถขัดขวางข้าได้อีกแล้ว ฮ่า ๆๆ …ดีใจเฟ้ยยย!”
หลินเป่ยเฉินยืนมองหลิงจุนเซวียนหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ไม่ทราบเลยว่าตนเองสมควรจะหัวเราะหรือร้องไห้มากกว่ากัน