ตอนที่ 1,451 ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน
ว่าไงนะ?
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อ
สตรีผู้สวมใส่หน้ากากคนนั้นคือพี่สาวเขาเองหรือ?
หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบ
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เขาก็ไม่แปลกใจอีกแล้วที่ตนเองจะรู้สึกคุ้นเคยกับสตรีผู้นั้นชอบกล
แต่ไม่ใช่ว่านางหายสาบสูญไปแล้วหรอกหรือ?
นอกจากมีตำแหน่งสูงส่งแล้ว ขั้นพลังของสตรีผู้สวมใส่หน้ากากแปลกประหลาดคนนั้นยังแข็งแกร่งมากอีกด้วย
นี่เป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลเลย
หรือว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา หลินถินชางจะแกล้งหายตัวไป
หากการหายตัวไปของพี่สาวเป็นเพียงละครฉากหนึ่ง แล้วการหายสาบสูญของบิดาเขาล่ะ?
จวบจนถึงบัดนี้ ยังไม่เคยมีผู้ใดพบเห็นบิดาของหลินเป่ยเฉินแม้แต่เงา แม้แต่ซากศพก็ไม่มีผู้ใดพบเจอ
หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่าพ่อลูกคู่นี้ต้องมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
“ท่านไม่อยากรู้หรือว่านางอยู่ที่ใด?”
อวี่เค่อเห็นหลินเป่ยเฉินนิ่งเงียบไม่พูดคำใด ก็ต้องถามออกมาด้วยความประหลาดใจ
ตอนที่เอ่ยถึงหลินถินชางเมื่อครั้งก่อน หลินเป่ยเฉินก็ไม่ได้มีท่าทีสนใจไยดีสักเท่าไหร่และท่าทีของเขาในขณะนี้ก็ไม่ต่างกัน
น่าแปลก
หลินเป่ยเฉินถามอย่างเสียไม่ได้ว่า “นางอยู่ที่ใด?”
แม้ว่าเขาจะไม่ได้สนิทชิดเชื้อกับพี่สาวสักเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างไรหลินถินชางก็เป็นพี่สาวของเขาอยู่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการต่อสู้ที่เมืองไป๋หยุน นางก็ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเขาหลายครั้ง แสดงว่ายังมีสายสัมพันธ์ของความเป็นพี่น้องหลงเหลืออยู่บ้าง
“นับตั้งแต่ที่กลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางล่มสลาย พี่สาวของท่านก็กลายเป็นผู้ร้ายถูกหมายหัวจากวิหารเทพพงไพร แต่ยังไม่เคยมีผู้ใดล่าหัวของนางได้สำเร็จ แสดงว่านางยังมีชีวิตอยู่ ท่านต้องรีบหานางให้เจอ มิฉะนั้น พี่สาวของท่านจะตกอยู่ในอันตราย มีข่าวลือว่านางเป็นบุคคลที่องค์ราชันย์ของพวกเทพพงไพรต้องการตัวมากทีเดียว ต่อให้ไม่ได้เป็นพี่สาวของท่าน แต่ท่านก็จะปล่อยให้สตรีผู้หนึ่งตกไปอยู่ในกำมือของคนชั่วช้าเช่นนั้นไม่ได้เด็ดขาด”
อวี่เค่อหยุดชะงักเล็กน้อยก่อนกล่าวต่อ “เรื่องราวทั้งหมดนี้ ข้าได้ยินมาจากปากคำของพวกบ่าวรับใช้เทพเจ้ามาอีกทอดหนึ่ง”
กล่าวจบ ความสดใสบนสีหน้าของอวี่เค่อก็จางหายลงไปอย่างรวดเร็ว
ลมหายใจแผ่วเบา ก่อนที่สุดท้ายจะไร้การเคลื่อนไหวโดยสมบูรณ์
องค์หญิงผู้งดงามแห่งจักรวรรดิจี้กวงได้เสียชีวิตลงแล้ว
เมื่อองค์ชายอวี่ผู้เป็นบิดาเห็นบุตรสาวของตนเองเสียชีวิตไปต่อหน้าต่อตา ริมฝีปากของเขาก็สั่นระริก พูดอะไรไม่ออก สีหน้าเศร้าหมอง สุดท้าย องค์ชายหนุ่มก็ยื่นมือขวาออกมาข้างหน้าและส่งมอบป้ายอาญาสิทธิ์ที่แกะสลักเป็นรูปคันธนูมาให้หลินเป่ยเฉิน
หลินเป่ยเฉินค่อย ๆ หลับตาลงขณะที่ลมหายใจขององค์ชายอวี่ดับสิ้นตามผู้เป็นบุตรสาวไป
“นำพวกเขาไปฝังให้สมเกียรติ”
หลินเป่ยเฉินออกคำสั่ง
เขารับป้ายอาญาสิทธิ์มาถือในมือ เมื่อโคจรพลังลมปราณลงไป เด็กหนุ่มก็ได้ทราบถึงที่อยู่ของเคล็ดวิชายิงธนูที่องค์ชายอวี่ได้ซุกซ่อนเอาไว้ ซึ่งนับจากนี้ไป สุดยอดคัมภีร์การยิงธนูวิชานั้นก็จะกลายเป็นของเขาแล้ว
หลินเป่ยเฉินส่งป้ายอาญาสิทธิ์ให้แก่หลิงฉือพร้อมพูดว่า “ส่งคนไปนำคัมภีร์เล่มนั้นมาเถอะ แล้วก็ถ่ายทอดให้นายทหารในกองทัพของพวกเราได้เรียนรู้”
ไม่ใช่ว่าหลินเป่ยเฉินอยากจะแสดงท่าทีอวดดี แต่เคล็ดวิชาการยิงธนูเช่นนี้ ไม่มีประโยชน์สำหรับเขาอีกแล้ว
หลิงฉือเองก็ไม่ได้ปฏิเสธเช่นกัน
ถึงอย่างไร การต่อสู้หลายครั้งที่ผ่านมา ฝ่ายสัมพันธมิตรก็ต้องได้รับความเสียหายใหญ่หลวง เพราะฉะนั้น การได้รับคัมภีร์เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่นายทหารจึงเป็นเรื่องดีเสมอ
เมื่อเห็นว่าทุกอย่างถูกจัดการเรียบร้อย หลินเป่ยเฉินนึกถึงการนัดพบกับนักพรตหญิงชิน ณ บริเวณหลังวิหารประจำเมืองขึ้นมาได้ เขาจึงรีบกระโดดขึ้นไปบนรถม้าทองคำและตะโกนว่า “กลับเมืองหยุนเมิ่ง”
“จี๊ด”
เจ้าหนูอากวงรับคำ ก่อนสะบัดแส้ในมือนำรถม้าเคลื่อนที่ไปข้างหน้า
เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น รถม้าทองคำก็เหาะขึ้นไปในอากาศ มุ่งหน้าไปยังทิศทางที่ตั้งของเมืองหยุนเมิ่ง
“อ้าว?”
เหยียนอิงยังคงมีเรื่องราวอีกมากมายอยากจะพูดคุยกับหลินเป่ยเฉิน แต่อีกฝ่ายกลับหายตัวไปเสียแล้ว
เด็กสาวจึงกำหมัดด้วยความโกรธแค้น
เดิมที หลิงฉือและพรรคพวกก็มีแผนพูดคุยเกี่ยวกับขั้นพลังในปัจจุบันกับหลินเป่ยเฉินเช่นกัน ทุกคนอยากจะทราบว่าหลินเป่ยเฉินแข็งแกร่งอยู่ในระดับใดกันแน่ เพราะความแข็งแกร่งของเด็กหนุ่มผู้นี้จะส่งผลกระทบต่อการวางกลยุทธ์ของฝ่ายสัมพันธมิตรโดยตรง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าน้องเขยในฝันของเขาผู้นี้กลับหลบลี้หนีหน้าไปอย่างรวดเร็วเสียอย่างนั้น
ทุกคนยังไม่ทันได้ตั้งตัวเลยด้วยซ้ำ
พวกเขาได้ยินหลินเป่ยเฉินบอกเพียงแต่ว่ากำลังจะเดินทางกลับไปที่เมืองหยุนเมิ่ง
ในเวลาเดียวกันนี้ เมื่อรถม้าเเล่นมาได้ครึ่งทาง เสียงที่คุ้นหูก็ดังขึ้นในหัวของหลินเป่ยเฉิน
‘โทรศัพท์ตรวจพบการอัปเดตระบบครั้งใหม่ ต้องการอัปเดตเลยหรือไม่เจ้าคะ?’
ย่อมต้องเป็นเสียงของผู้ช่วยส่วนตัวอัจฉริยะ เสี่ยวจี้
หืม?
หลินเป่ยเฉินยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
ให้ตายเถอะ ตอนอยู่บนดินแดนทวยเทพ เขาก็อัปเดตระบบมาแล้วรอบหนึ่ง พอกลับมาถึงจักรวรรดิเป่ยไห่ เขาก็ได้อัปเดตระบบรอบใหม่อีกแล้วหรือ?
เด็กหนุ่มเลือกอัปเดตระบบโดยไม่ลังเล
‘การอัปเดตระบบครั้งนี้ต้องใช้การโอนถ่ายข้อมูล 20 GB…’
‘กรุณาตรวจสอบระดับแบตเตอรี่ของท่านให้พร้อมสำหรับการใช้งาน…’
เสียงที่คุ้นหู เนื้อหาคำเตือนที่คุ้นเคย หลินเป่ยเฉินก็อดบ่นอยู่ในใจไม่ได้ เสี่ยวจี้เป็นผู้ช่วยส่วนตัวอัจฉริยะถึงขั้นนี้ ช่วยคิดหาประโยคใหม่ ๆ มาเตือนเขาบ้างไม่ได้หรือไง? หากเป็นเช่นนี้ต่อไป นักอ่านผู้มีพระคุณคงได้บ่นว่านิยายเรื่องนี้มีแต่น้ำไม่มีเนื้อแล้ว
เมื่อทุกอย่างเตรียมพร้อมเสร็จสรรพ โทรศัพท์ก็เริ่มต้นการอัปเดตระบบโดยทันที
ครั้งนี้ หลินเป่ยเฉินอยากรู้นักว่าเมื่อโทรศัพท์ของเขาผ่านการอัปเดตแล้ว มันจะเกิดความเปลี่ยนแปลงใดและจะมีแอปพลิเคชันใหม่ ๆ อะไรให้เขาได้ใช้งานบ้าง
…
“เกิดอะไรขึ้น?”
“พวกมันหนีอะไร?”
“ข้านึกว่าพวกเราจะตายกันหมดแล้วเสียอีก…”
สองสาวรับใช้เฉียนเหมย เฉียนเจินรวมไปถึงเยว่หงเซียงและกลุ่มเด็กสาวอีกจำนวนหนึ่ง ต่างก็หันมองไปทางข้างหลังซึ่งมีเทพอสูรสี่คนที่เคยไล่ล่าตามติดพวกนางมาอย่างกระชั้นชิดกำลังหลบหนีล่าถอยไป
หลังจากที่ช่วยเหลือเหล่าศิษย์สาวสำนักคฤหาสน์กำยานได้สำเร็จ พวกนางก็ไม่ได้เข้าร่วมกับพวกเซียวปิง แต่ทุกคนยึดตามแผนการเดิมคือนำกลุ่มมือกระบี่หญิงกลับไปที่นครเจาฮุย
คิดไม่ถึงเลยว่าระหว่างทางพวกตนเองกลับถูกค้นพบโดยกลุ่มเทพอสูรทั้งสี่นั้น
บัดนี้ พวกนางอยู่ในสภาพบาดเจ็บ พลังในการต่อสู้ลดน้อยลง ต่อให้มีพวกของเซียวปิงคอยช่วยเหลือ แต่อีกฝ่ายเป็นถึงเทพเจ้าจากเผ่าเทพตะวัน แม้เป็นเทพเจ้าระดับล่าง ก็ยังมีความแข็งแกร่งมากกว่ามนุษย์ทั่วไปหลายต่อหลายเท่า
เยว่หงเซียงพยายามสร้างค่ายอาคมกับดักขึ้นมาหลายครั้ง แต่ก็ยังใช้งานไม่ได้ผล สุดท้ายตำแหน่งของพวกตนเองถูกเปิดเผย เทพอสูรทั้งสี่โอบล้อมเข้ามาจากทั้งสี่ทิศ ค่ายอาคมประตูมิติไม่สามารถใช้งานได้ กลุ่มหญิงสาวติดอยู่กลางวงล้อมด้วยความหมดหวัง บางคนถึงกับชักกระบี่ออกมาคิดฆ่าตัวตาย โชคดีที่สหายข้างกายยังห้ามเอาไว้ได้ทัน…
และสิ่งที่น่าเหลือเชื่อก็เกิดขึ้น
เทพอสูรทั้งสี่มีสีหน้าคล้ายกับได้ยินข่าวที่น่าสยดสยอง ท่าทีของพวกเขาแปรเปลี่ยนไปในพริบตา ก่อนจะรีบหันหลังหลบหนีไปอย่างไร้เหตุผล
“นี่มัน… เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
เฉียนเหมยดึงแขนเสื้อที่พับขึ้นไปกลับลงมา “พวกมันหนีไปทำไม? หรือว่ากลัวรังสีอำมหิตจากตัวข้า จึงได้คิดหนีไปแล้ว?”
ทุกคนพูดอะไรไม่ออก
หลิงไท่ซวียกมือปาดเหงื่อจากใบหน้าที่แก่ชราพลางกล่าวว่า “พวกมันจะหนีไปเพราะอะไรก็ช่างเถอะ พวกเรารีบกลับไปที่นครเจาฮุยกันดีกว่า ยังมีเรื่องราวอีกมากมายต้องรีบจัดการ… เราผู้เฒ่าไม่ทราบเลยว่าการต่อสู้ทางฝั่งนั้นเป็นอย่างไรบ้าง”
เมื่อพูดถึงการต่อสู้ทางฝั่งนั้น หัวใจของทุกคนก็ยิ่งรู้สึกหมดหวังเข้าไปอีก
กองทัพจากวิหารเทพพงไพรโจมตีอย่างหนักหน่วงรุนแรง กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรได้แต่ล่าถอยอย่างต่อเนื่อง
นครเจาฮุยเปรียบเสมือนป้อมปราการหลังสุดท้ายของพวกเขา
ดูเหมือนว่าความพ่ายแพ้ของฝ่ายสัมพันธมิตรกำลังจะมาถึงในอีกไม่ช้าก็เร็ว!
เยว่หงเซียงสูบบุหรี่ สร้างค่ายอาคมขึ้นมาอำพรางสายตาบุคคลภายนอก ก่อนจะพาทุกคนออกเดินทางต่อไปอีกครั้ง
ครึ่งวันต่อมา
ในที่สุด พวกเขาก็กลับมาถึงนครเจาฮุย
แต่สิ่งที่พบเห็นกลับทำให้ทุกคนต้องตกตะลึง
เพราะนายทหารกับชาวเมืองกำลังจัดงานเฉลิมฉลอง
บรรยากาศแห่งความผ่อนคลายปกคลุมทั่วตัวเมือง… นี่คืองานเฉลิมฉลองที่ไม่เคยจัดขึ้นเลยนับตั้งแต่หลุมดำบนท้องฟ้าปรากฏ
“พวกเราชนะแล้ว”
“กองทัพจากวิหารเทพพงไพรถูกทำลายหมดสิ้น”
“เป็นคุณชายหลินเป่ยเฉินปรากฏตัว เขามาถึงในช่วงวิกฤตและสามารถช่วยเหลือทุกคนเอาไว้ได้อีกครั้ง…”
เมื่อได้รับทราบถึงต้นสายปลายเหตุทั้งหมด เฉียนเหมยกับเฉียนเจินก็ยืนน้ำตาไหลอยู่ตรงนั้น
นายท่าน ในที่สุด นายท่านก็กลับมาแล้ว!!
หลังจากเงียบหายไปหลายเดือน พวกนางอดคิดไม่ได้ว่าหรือนายท่านจะลุ่มหลงกับการฝึกวิชามากเกินไป
เมื่อจัดการหาที่พักให้แก่เหล่ามือกระบี่หญิงจากสำนักคฤหาสน์กำยานเสร็จเรียบร้อย สองสาวรับใช้ก็ไปขอร้องให้เยว่หงเซียงและหลิงไท่ซวีผู้ซึ่งกำลังร้อนใจมากกว่าผู้ใดเปิดประตูมิติ เพื่อเดินทางไปสู่เมืองหยุนเมิ่งโดยทันที
หนึ่งก้านธูปต่อมา
ในตำหนักไม้ไผ่ เมืองหยุนเมิ่ง
ทุกคนก็ได้เจอกับหลินเป่ยเฉินซึ่งเพิ่งจะถูกนักพรตหญิงชินปฏิเสธไม่ให้เข้าพบ
“นายท่าน ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน”
“นายท่าน ฮื่อฮื่อฮื่อ…”
สองสาวรับใช้วิ่งเข้าไปสวมกอดหลินเป่ยเฉินไม่ต่างจากหมาป่ารุมทึ้งเหยื่อ เฉียนเจินผู้อ่อนหวานหัวเราะและร้องไห้ออกมาอย่างมีความสุข ส่วนเฉียนเหมยก็โอบกอดผู้เป็นนายท่านแนบแน่น และนางถึงกับเช็ดน้ำมูกลงบนเสื้อคลุมของหลินเป่ยเฉินแล้ว…