ตอนที่ 1,452 ความสุขคูณสอง
“อี๋ เจ้าทำอะไรเนี่ย? สกปรกหมดแล้ว…”
หลินเป่ยเฉินทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงรีบผลักเฉียนเหมยออกไปด้วยความขยะแขยง
เล่นเอาน้ำมูกมาป้ายเสื้อกันขนาดนี้ เป็นใครจะทนได้?
“ข้าไม่สน”
เฉียนเหมยรีบวิ่งกลับเข้ามากอดหลินเป่ยเฉินอีกครั้ง “นายท่าน ข้าจะไม่ปล่อยให้นายท่านทิ้งข้าไปอีกแล้ว บัดนี้ ข้ามีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะแม่ทัพใหญ่ผู้สังหารศัตรูมานับจำนวนไม่ถ้วน ข้าทำตามคำสาบานของตนเองสำเร็จแล้ว… นายท่านเจ้าคะ คืนนี้ข้าจะแต่งงานกับนายท่าน!”
หลินเป่ยเฉินยังไม่ทันมีเวลาได้พูดคำใด เฉียนเจินก็ขยับเข้ามากอดแขนของเขาแน่นไม่ยอมปล่อย อกอวบอิ่มของนางบดเบียดเข้ากับแขนของหลินเป่ยเฉิน พร้อมกันนั้น เฉียนเจินก็กระซิบข้างหูเขาว่า “กราบเรียนนายท่าน… คืนนี้ ข้าน้อยก็จะแต่งงานกับนายท่านเช่นกัน ข้าน้อยจะเป็นของนายท่านตลอดไป”
ในที่สุด วันนี้ก็มาถึงแล้วสินะ
ในที่สุด สาวรับใช้ทั้งสองคนก็เริ่มตะปบกรงเล็บเข้าหานายท่านของพวกนางแล้ว?
หลินเป่ยเฉินเกิดความรู้สึกสับสนมากมายหลายประการ รีบสลัดสาวรับใช้ทั้งสองคนออกไป พร้อมกับกล่าวว่า “พวกเจ้าถอยไปก่อน”
เยว่หงเซียงและหลิงไท่ซวียังคงจ้องมองอยู่
เฉียนเหมยกับเฉียนเจินพูดจาตรงไปตรงมาเกินไปแล้ว มิหนำซ้ำ ยังพูดตรงหน้าเยว่หงเซียงอีกด้วย หากนางมองว่าหลินเป่ยเฉินเป็นพวกนายท่านบ้ากามขึ้นมา แล้วเขายังจะสามารถสู้หน้านางในอนาคตได้อย่างไรอีก?
…
เยว่หงเซียงยังคงยืนอยู่ที่เดิม
ใบหน้าที่มีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่พาดอยู่ครึ่งซีกดูน่ากลัวและน่าขนลุก
นางยิ้มออกมาเล็กน้อย
นับตั้งแต่ที่หน้ากากหลุดออกไปเมื่อครั้งก่อน เยว่หงเซียงก็สามารถเอาชนะปมด้อยของตนเองได้ในที่สุดและนางก็ไม่เคยสวมใส่หน้ากากอีกเลย
เด็กสาวกลายเป็นผู้ที่มั่นใจใน ‘โฉมหน้าที่แท้จริง’ ของตนเอง ดังนั้น เมื่อเยว่หงเซียงปรับตัวได้แล้ว แม้จะมีผู้คนแอบเรียกหาลับหลังว่าเป็นท่านอาจารย์หน้าบาก แต่นางก็ไม่ได้สนใจอีก
เพราะคนรอบตัวส่วนใหญ่ก็คุ้นเคยกับใบหน้าของเยว่หงเซียงแล้วเช่นกัน
และนางก็เข้าใจความรู้สึกของสองสาวรับใช้เป็นอย่างดี
ในระหว่างที่หลินเป่ยเฉินอยู่ในระหว่างการเก็บตัว แผ่นดินตงเต้าก็เกิดความเปลี่ยนแปลงมากมาย ในฐานะที่เป็นขุนศึกชั้นแนวหน้าของฝ่ายสัมพันธมิตร เฉียนเหมยกับเฉียนเจินจึงต้องตกอยู่ในอันตรายนับครั้งไม่ถ้วน
พวกนางเห็นผู้คนล้มตายในทุก ๆ วัน และสิ่งที่ยากลำบากมากไปกว่านั้นก็คือ เฉียนเหมยกับเฉียนเจินย่อมมีความคิดถึงคะนึงหาหลินเป่ยเฉินบวกกับการหล่อหลอมจากสภาพแวดล้อมที่กดดัน นี่ก็ทำให้ความรู้สึกของพวกนางถูกเก็บกดจนไม่ต่างจากกาน้ำที่กำลังเดือดปุดแล้ว
บัดนี้ เมื่อได้มีโอกาสกลับมาพบเจอหลินเป่ยเฉินอีกครั้ง เฉียนเหมยกับเฉียนเจินจึงระบายความรู้สึกจากใจจริงออกมา
ไม่มีเหตุผลที่สาวรับใช้ทั้งสองจะต้องเก็บความรู้สึกอีกต่อไป
เมื่อเยว่หงเซียงยิ้มแย้ม รอยแผลเป็นบนใบหน้าก็บิดเบี้ยว นางแสดงสีหน้าโล่งอกออกมา ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป
เมื่อเห็นว่าหลินเป่ยเฉินกลับมาอย่างปลอดภัยดี ก็ไม่มีอะไรที่เยว่หงเซียงต้องเป็นกังวลอีก
นางจะอยู่รบกวนพวกเขาไปเพื่ออะไร?
เพื่อตัวนางเองอย่างนั้นหรือ?
นั่นคือสิ่งที่เยว่หงเซียงไม่มีสิทธิ์คิดคาดหวัง
ความคิดบางอย่างสมควรถูกเก็บไว้ให้ลึกสุดใจ มิเช่นนั้น นอกจากจะเป็นการทำร้ายความรู้สึกของตนเองแล้ว มันยังจะเป็นการทำร้ายความรู้สึกของผู้อื่นอีกด้วย
“อ้าว?”
เมื่อหลิงไท่ซวีเห็นว่าเยว่หงเซียงกำลังจะเดินหนีไป ชายชราก็รีบกวักมือเรียก “เหตุไฉนจึงไม่อยู่รับชมการแสดงก่อนเล่า”
ทันใดนั้น รอบฝ่าเท้าของชายชราก็มีเส้นอาคมสีเงินเรืองรองขึ้นมา สายตาของหลิงไท่ซวีพร่าไปชั่วขณะ สุดท้าย เขาก็ถูกเคลื่อนย้ายออกมาจากตำหนักไม้ไผ่มาเช่นกัน!
หลิงไท่ซวีหันไปมองค้อนเยว่หงเซียงที่ยืนอยู่ด้านข้างด้วยความไม่พอใจ
เด็กสาวกล่าวตอบกลับมาแผ่วเบาว่า “ระหว่างทางมาที่นี่ ข้าได้ยินว่าคล้ายกับจะเกิดเรื่องบางประการที่จวนตระกูลหลิง เห็นว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคุณหนูหลิงเฉินด้วยเจ้าค่ะ”
หลิงไท่ซวีมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไป ทันใดนั้น ชายชราก็นึกถึงความเป็นไปได้บางอย่างขึ้นมา เขาจึงรีบหมุนตัวและมุ่งหน้าไปสู่จวนตระกูลหลิงทันที
…
พระอาทิตย์ตกดิน ดวงจันทร์ลอยขึ้นมาแทนที่
สายลมโชยพัดแผ่วเบา ป่าไผ่ไหวเอนส่งเสียงดังแกรกกราก
แสงจันทร์สาดกระทบป่าไผ่ เกิดเป็นเงาประหลาดทาบทับอยู่บนพื้นดิน
นับตั้งแต่ที่หลินเป่ยเฉินสร้างชื่อเสียงขึ้นมาในสถานศึกษากระบี่ที่สาม เขาก็กลายเป็นตัวแทนของปาฏิหาริย์และความภาคภูมิใจแห่งจักรวรรดิเป่ยไห่ ตำหนักไม้ไผ่หลังนี้ถูกบูรณะขึ้นมาใหม่และกลายเป็นที่พักส่วนตัวของหลินเป่ยเฉินมาโดยตลอด
ในอดีต ตำหนักไม้ไผ่คือสถานที่รับรองแขกระดับสูงผู้มาเยือนเมืองหยุนเมิ่ง
แต่บัดนี้ เมื่อหลินเป่ยเฉินกลับมาแล้วและเขายังไม่มีที่พักในเมืองหยุนเมิ่ง เด็กหนุ่มจึงกลับมาอาศัยอยู่ที่นี่อีกครั้ง
“นายท่าน ข้าน้อยอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว…”
เฉียนเจินพันผ้าขนหนูสีขาวเปิดประตูก้าวเข้ามาด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ
เรียวขาขาวผ่อง สองเท้าขาวเนียนราวกับหิมะ เล็บเท้าแต้มด้วยชาดสีแดงสด มองดูไปไม่ต่างจากอัญมณีสีแดงล้ำค่า
ผ้าขนหนูขาวที่รัดพันร่างกายแทบจะไม่สามารถปิดบังสองเต้าได้อย่างมิดชิด นอกจากนี้ มันยังขับเน้นให้เห็นถึงช่วงเอวคอดกิ่วชวนสัมผัสลูบไล้ ผมสีดำยาวสลวย หัวไหล่ขาวเนียนมีหยดน้ำเกาะพราวไม่ต่างจากอัญมณีที่กำลังไหลกลิ้งลงมา…
นี่คือภาพของสาวงามที่เพิ่งขึ้นมาจากอ่างอาบน้ำอย่างแท้จริง
หลินเป่ยเฉินดวงตาลุกวาว
แม้สาวรับใช้ทั้งสองจะมีความงดงามเหมือนกัน แต่เสน่ห์ของพวกนางนั้นแตกต่างกันออกไป
เฉียนเจินมีนิสัยอ่อนหวานนุ่มนวล แต่กลับมีทรวดทรงเย้ายวนใจ เมื่อรวมเข้ากับใบหน้าสวยหมดจด จึงออกมาเป็นมหันตภัยต่อหัวใจของบุรุษทุกวัยยิ่งนัก
ในขณะที่เฉียนเหมยมีนิสัยก้าวร้าวรุนแรง บุคลิกลักษณะเป็นตัวแทนของคุณหนูตระกูลใหญ่ เมื่อตัดสินใจทำสิ่งใดแล้วก็ต้องทำสิ่งนั้นให้ได้ ซึ่งสวนทางกับใบหน้าใสซื่อบริสุทธิ์ทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกอยากครอบครองเป็นเจ้าของหัวใจ
สาวรับใช้ทั้งสองคน มีเอกลักษณ์ทั้งสองแบบ
เพียงแต่หลินเป่ยเฉินคิดไม่ถึงเลยว่าเฉียนเจินผู้อ่อนหวานนุ่มนวลจะฝึกฝนวิธียั่วยวนบุรุษมาจนถึงขั้นนี้ ในอดีต เสื้อคลุมและชุดกระโปรงสั้นว่าทำให้นางน่ามองมากแล้ว แต่ก็ยังเทียบไม่ได้เลยกับความเย้ายวนใจในการปกปิดของผ้าขนหนูหนึ่งผืน ไม่ทราบเลยว่านี่เป็นพลังทำลายล้างชนิดใดกัน?
ยังไม่ทันที่หลินเป่ยเฉินจะได้พูดอะไร เฉียนเจินก็เริ่มเปลื้องผ้าขนหนูอย่างเอียงอาย
ความงามสมบูรณ์แบบปรากฏขึ้นในสายตาของหลินเป่ยเฉิน สาวรับใช้ผู้อ่อนหวานหมุนตัวหนึ่งที เปิดเผยถึงเรือนร่างอันไร้ตำหนินั้น
นี่คือแผนการที่นางปรึกษาหารือกับเฉียนเหมยเอาไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ครั้งนี้พวกนางจะต้องจัดการนายท่านให้ได้ ตราบใดที่นายท่านจ้องมอง ก็ไม่มีทางรอดพ้นเสน่ห์ของพวกนางไปได้เด็ดขาด เมื่อมีสาวงามมาเปลือยกายอยู่เบื้องหน้าถึงเพียงนี้ มีผู้ใดบ้างยังสามารถปฏิเสธได้ลงคอ?
ดวงตาของหลินเป่ยเฉินร้อนแรงดั่งเปลวไฟ
สาวน้อย เจ้ากำลังเล่นกับไฟอยู่ รู้ตัวหรือไม่?!
เด็กหนุ่มกำลังจะกระโดดเข้าใส่เฉียนเจิน…
ทันใดนั้น
“นายท่าน ข้ามาแล้ว”
เฉียนเหมยสวมใส่ชุดเกราะสีเงิน กระบี่เล่มใหญ่เหน็บอยู่ข้างเอว ในมือถือค้อนเหล็กเดินเข้ามาอย่างองอาจ
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อ “หงะ… เจ้าทำอะไรของเจ้าเนี่ย?”
เฉียนเหมยพลันยิ้มอย่างผู้ชนะ “นายท่านเคยบอกไม่ใช่หรือว่าเครื่องแบบคือสิ่งที่สามารถปลุกใจได้เป็นอย่างดี?”
หลินเป่ยเฉินกะพริบตาปริบ ๆ
นั่นเขาหมายถึงการปลุกใจให้ฮึกเหิมเวลาอยู่บนหลังม้าต่างหาก ไม่ได้หมายถึงให้นางสวมใส่ชุดเกราะนักรบมายั่วยวนสักหน่อย
เมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายท่านตกตะลึงถึงกับพูดอะไรไม่ออก เฉียนเหมยก็ยิ่งกล่าวด้วยความภูมิใจมากกว่าเดิม “นายท่านชื่นชอบจริง ๆ สินะเจ้าคะ อิอิ ข้าคุยเรื่องนี้กับเฉียนเจินมานานแล้ว ไม่ว่าอย่างไรคืนนี้พวกข้าก็ต้องเป็นของท่านให้ได้ สำหรับนายท่าน นี่จะเป็นประสบการณ์ที่นายท่านไม่มีทางลืมเลือนไปตลอดชีวิตเด็ดขาด…”
ไม่มีทางลืมเลือนไปตลอดชีวิต?
เฉียนเหมยนั่นแหละที่จะต้องจำไปตลอดชีวิตว่าไม่มีผู้ใดคิดยั่วยวนบุรุษด้วยการใส่ชุดนักรบกันหรอก
หลินเป่ยเฉินกำลังจะเขกศีรษะสาวรับใช้ประจำตัวผู้ดื้อรั้น
แต่มือของเขาก็ต้องชะงักค้างอยู่กลางอากาศ
เพราะว่าเฉียนเหมยเริ่มเปลื้องชุดเกราะออกแล้ว
แม่ทัพหญิงผู้มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่เกรียงไกรขณะนี้กำลังปลดชุดเกราะและโยนอาวุธทิ้งทีละชิ้นทะละชิ้น จากนั้นจึงตามด้วยการเปลื้องเสื้อชั้นใน… เผยให้เห็นถึงผิวขาวผ่องอย่างละเมียดละไม
นี่คือภาพที่ทำให้สีหน้าของหลินเป่ยเฉินแปรเปลี่ยนไป
ฮื่อ นี่มัน…
นี่คือการยั่วยวนด้วยชุดเครื่องแบบที่ได้ผลจริง ๆ แฮะ
สงสัยคงไม่ต่างจากการแต่งคอสเพลย์เป็นแอร์โฮสเตส เป็นคุณครู หรือเป็นนางพยาบาลเลยสินะ…
แต่ไม่มีสิ่งใดสามารถเปรียบเทียบกับความตื่นเต้นของ ‘ชุดเกราะแม่ทัพใหญ่’ ได้เลยจริง ๆ
เฉียนเหมยนับว่ารู้ใจบุรุษที่สุดแล้ว
หลินเป่ยเฉินต้องยอมรับเลยว่าสัตว์ร้ายของตนเองได้ถูกปลุกขึ้นมาให้ออกอาละวาดเป็นที่เรียบร้อย
เลือดลมในร่างกายร้อนระอุ
“นายท่านถึงกับตกตะลึงในความงามของแม่ทัพผู้นี้เชียวหรือเจ้าคะ?”
เฉียนเหมยเปลื้องผ้าออกหมดอย่างรวดเร็วและยักคิ้วหลิ่วตายั่วยวนหลินเป่ยเฉินเต็มที่
ร่างระหงขาวเนียนปราศจากราคีคือสิ่งที่สายตาของหลินเป่ยเฉินไม่อาจสลัดหลุดได้อีก นี่คือการผสมผสานที่สมบูรณ์แบบของคำว่า ‘ขาวเนียนและบอบบาง’ เช่นเดียวกับคำว่า ‘บริสุทธิ์ผุดผ่องและความปรารถนา’
แม้สาวรับใช้ทั้งสองนางจะมีท่าทีเขินอาย แต่กระบวนการทั้งหมดนี้พวกนางก็ถูกฝึกสอนมาตั้งแต่เด็ก เฉียนเหมยกับเฉียนเจินมีความรู้ด้านทฤษฎีในการรับใช้บุรุษอย่างเปี่ยมล้น แม้ใบหน้าจะแดงระเรื่อด้วยความเอียงอาย แต่พวกนางก็จูงมือกันค่อย ๆ สืบเท้าเดินเข้ามาหาหลินเป่ยเฉินอย่างแช่มช้า…