ตอนที่ 1,455 เดาใหม่อีกครั้ง
“หลายปีผ่านไปใช้ชีวิตเพียงลำพัง ลมฝนพายุซัดโหมกระหน่ำ ผ่านม่านหยดน้ำตาและความผิดพลั้ง แต่ฉันก็ยังยืนหยัดสู้ต่อไป…” *[1]
นี่คือเพลงที่หลินเป่ยเฉินเคยได้ยินจากสถานีเคทีวีมานับครั้งไม่ถ้วนในชาติภพที่แล้ว ซึ่งบทเพลงอมตะเพลงนี้กำลังกระจายเสียงไปทั่วตำหนักไม้ไผ่ผ่านทางลำโพงบลูทูธ
เยว่หงเซียง มี่หรู่หยานและคนอื่น ๆ แม้จะรู้สึกว่าเนื้อหาในบทเพลงฟังดูแปลกประหลาดพิกล มีหลายคำที่ฟังไม่เข้าใจ แต่บรรยากาศของเสียงเพลงนั้นก็ชวนให้เศร้าซึ้งกินใจเสียเหลือเกิน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อหลินเป่ยเฉินขับร้องเพลงนี้ออกมาผสานไปกับเสียงที่ดังออกมาจากลำโพง อารมณ์ความรู้สึกของทุกคนจึงเกิดความซาบซึ้งมากยิ่งขึ้น
หลินเป่ยเฉินน้ำตาแทบไหลแล้ว
เมื่อทะลุมิติมาอยู่ในโลกใบนี้ เขาก็ต้องใช้ชีวิตเพียงตัวคนเดียว ผ่านพายุลมฝนมานับไม่ถ้วนเช่นกันไม่ใช่หรือ?
และยังมีม่านน้ำตากับความผิดพลาดเหล่านั้นอีก นับตั้งแต่วันแรกที่อยู่ที่นี่ ความปรารถนาเดียวของหลินเป่ยเฉินก็คือการได้กลับคืนสู่โลกใบเก่า แต่ดูเหมือนว่าบัดนี้เขาจะไม่สามารถกลับไปได้เสียแล้ว
หลินเป่ยเฉินกวาดตามองหน้ามิตรสหายของตนเองทีละคน
บรรยากาศช่างคุ้นเคย
นี่คือความรู้สึกเดียวกับงานเลี้ยงฉลองวันปิดภาคเรียน กลุ่มเพื่อน ๆ มารวมตัวกันกินดื่มเฮฮา เพื่อเก็บเกี่ยวความทรงจำแห่งวัยเยาว์ที่คงไม่มีทางหวนคืนกลับมาอีก…
เดิมที เรื่องราวในชาติภพที่แล้วเริ่มเลือนหายไปจากจิตใจของหลินเป่ยเฉินพอสมควร ถึงกับมีหลายเรื่องราวเลือนหายไปจากความทรงจำของเขาแล้ว
ดังนั้น บรรยากาศของงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้จึงนำพาความรู้สึกเก่า ๆ กลับคืนมาอีกครั้ง
มิตรสหายเมื่อพบเจอกันย่อมมีวันแยกย้าย
หลินเป่ยเฉินรู้ดีอยู่แก่ใจว่าด้วยสถานะในปัจจุบันของเขา การเดินทางขึ้นสู่ดินแดนทวยเทพคือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าจะเป็นการเดินทางไปกลับสลับกับการอาศัยอยู่ในจักรวรรดิเป่ยไห่ก็ตาม
แต่มิตรสหายเหล่านี้ก็คงมีปฏิสัมพันธ์กับเขาลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ และนั่นก็ไม่ต่างจากชีวิตของมนุษย์โดยส่วนใหญ่ในโลกใบเก่าของหลินเป่ยเฉิน
คนเราเมื่อเรียนจบมัธยมปลายหรือเรียนจบมหาวิทยาลัย เมื่อแยกย้ายกันไปเริ่มใช้ชีวิตทำงานในโลกของผู้ใหญ่ ทุกคนก็มักจะเลือนหายไปจากชีวิตของกันและกันเสมอ
นี่จึงเป็นเหตุผลที่หลินเป่ยเฉินจัดงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ขึ้นมา
“เพื่อนไม่เคยทิ้งกัน เพื่อนมักจะมีความเข้าใจกันและกันเสมอ…”
หลินเป่ยเฉินร้องเพลงออกมาอย่างเข้าถึงอารมณ์
เสียงพูดคุยหัวเราะเฮฮาจากกลุ่มแขกเหรื่อพลันเงียบลง ทุกคนจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินอย่างตั้งอกตั้งใจ เพราะซาบซึ้งในเนื้อหาบทเพลงและความไพเราะของเสียงดนตรี
บรรยากาศเงียบสงบมากกว่าเคย ในอากาศตลบอบอวลไปด้วยความเศร้าหมอง
มี่หรู่หยาน หวังซินอวี่ โจวเค่อ คังซานเสว่และศิษย์สาวคนอื่น ๆ ต่างก็จ้องมองหลินเป่ยเฉินอยู่ในความเงียบ ดวงตาของพวกนางเป็นประกายระยิบระยับ หลินเป่ยเฉินคือบุรุษให้ฝันของพวกนาง สำหรับเด็กสาวที่มีอายุในช่วงวัยสิบหกสิบเจ็ดปี ผู้ใดบ้างไม่อยากมีคนรักเป็นบุรุษผู้มีชื่อเสียงโด่งดังทั่วใต้หล้า?
แต่ความฝันก็คือความฝัน
เด็กหนุ่มเด็กสาวรับประทานกินดื่ม บัดนี้ ทุกคนล้วนตกอยู่ในอาการเมามาย
แม้อาจจะไม่มีวันตามทันรอยเท้าของหลินเป่ยเฉิน แต่เมื่อพวกเขาผนึกกำลังร่วมมือกัน แม้แต่มนุษย์บนแผ่นดินใหญ่ก็ยังสามารถเป็นมิตรกับชาวทะเลได้แล้ว นี่คือสิ่งสำคัญที่ทุกคนต่างก็ภาคภูมิใจ
ขอเพียงพยายามฝึกฝนฝีมือด้วยความมุ่งมั่นต่อไป บางทีชื่อของวีรบุรุษและวีรสตรีในตำนานแห่งอนาคตอาจจะมีชื่อของพวกเขาอยู่บ้างก็เป็นได้…
งานเลี้ยงดำเนินไปด้วยความสนุกสนาน
แต่ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา
ในที่สุด หลินเป่ยเฉินก็ต้องเดินออกมาส่งแขกทีละคน
มี่หรู่หยานสวมใส่ชุดกระโปรงยาวสีเหลืองอ่อน ยืนอยู่ข้างป่าไผ่เหลียวมองกลับมาที่หลินเป่ยเฉินด้วยแววตาเป็นประกายระยิบระยับ
นางเองก็ถือเป็นหนึ่งคนที่เคยร่วมเป็นร่วมตายมากับหลินเป่ยเฉิน ตอนแรก นางถูกใส่ความว่าเป็นสาวกปีศาจ หากไม่ใช่เพราะว่าหลินเป่ยเฉินใช้ความสามารถของแอปเมจิก คาเมร่าแก้ไขสถานการณ์ เกรงว่าป่านนี้มี่หรู่หยานก็คงไม่มีโอกาสได้มายืนอยู่ตรงนี้อีกแล้ว ดังนั้นนางจึงสนิทสนมกับหลินเป่ยเฉินมากกว่าพวกของหวังซินอวี่ คังซานเสว่และคนอื่น ๆ หลายเท่า
“ไม่ทราบว่าข้ายังพอมีโอกาสหรือไม่?”
มี่หรู่หยานถามออกมายิ้ม ๆ
หลินเป่ยเฉินยิ้มตอบกลับไป “เจ้าลองเดาดูสิ”
มี่หรู่หยานเดาว่า “ข้ายังมีโอกาส”
หลินเป่ยเฉินตอบว่า “เดาใหม่อีกครั้ง”
ดวงตาของมี่หรู่หยานเป็นประกายวาวโรจน์ นางทำหน้าบึ้ง พูดด้วยความขุ่นเคืองใจ “ไม่เดาแล้ว… ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะรอคอยท่านเสมอ”
หลินเป่ยเฉินหยุดชะงักเล็กน้อย ก่อนพูดว่า “สามวันหลังจากนี้ ขอให้เจ้ามาพบข้าที่ตำหนักไม้ไผ่อีกครั้ง”
“อุ๊ย…” ดวงตาของมี่หรู่หยานกลับมามีประกายแห่งความดีใจ นางรีบรับคำอย่างกระตือรือร้น “ข้าจะมา ข้าจะมาแน่นอน”
หลังจากพูดจบ นางก็หมุนตัวพลิ้วกายจากไป
ในที่สุด ตำหนักไม้ไผ่ก็หลงเหลือเยว่หงเซียงอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น
หลินเป่ยเฉินเดินกลับมารินน้ำชาให้ตนเอง ก่อนจะนำโอสถหัวใจพฤกษาออกมาจากพื้นที่เก็บไฟล์ออนไลน์ของแอปสวิ่นเล่ยและกล่าวว่า “นี่คือของขวัญที่ข้าเตรียมเอาไว้ให้กับเจ้าโดยเฉพาะ”
เมื่อโคจรพลังศักดิ์สิทธิ์ลงไป โอสถหัวใจพฤกษาก็มีแสงสีเขียวอ่อนเรืองรองออกมา
แม้เยว่หงเซียงจะไม่รู้เลยว่าของสิ่งนี้คืออะไร แต่นางก็มั่นใจว่ามันต้องเป็นสิ่งของที่มีมูลค่ามากมายมหาศาลแน่นอน
เยว่หงเซียงเงยหน้าขึ้นถามด้วยความประหลาดใจ “มันคืออะไรหรือเจ้าคะ?”
“แค่ของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น”
หลินเป่ยเฉินตอบเสียงเรียบ “ความจริงก่อนหน้านี้ ข้าไม่ได้เก็บตัวหลอมรวมพลังหรอก แต่ข้าเดินทางไปที่ดินแดนทวยเทพตามคำเชิญของเทพีกระบี่ต่างหาก… เอ่อ ข้าใช้เวลาอยู่ที่นั่นนานพอสมควร ก่อนกลับก็เลยซื้อหาของขวัญมาฝากเจ้าน่ะ”
เยว่หงเซียงรับโอสถหัวใจพฤกษาไปถืออย่างไม่เกรงใจ “เอาไว้ใช้ทำอะไรเจ้าคะ?”
“ช่วยบำรุงกำลัง ทำให้เจ้าอายุยืน”
หลินเป่ยเฉินอธิบายสรรพคุณอย่างฉะฉาน “คืนนี้เจ้าไม่ต้องกลับที่พักหรอก อยู่ที่นี่เพื่อหลอมรวมพลังจากของสิ่งนี้ก็พอ ข้าจะคอยปกป้องเจ้าเอง ของสิ่งนี้เรียกว่าโอสถหัวใจพฤกษา มันจะมีประโยชน์ต่อตัวเจ้าเป็นอย่างมาก”
เยว่หงเซียงเงียบงันไปพักใหญ่
หลังจากจ้องมองโอสถหัวใจพฤกษาอยู่นานสองนาน นางก็ค่อย ๆ เงยหน้ามองหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาเคร่งเครียด “มันมีค่ามากใช่หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มตอบกลับไป “ไม่เท่าไหร่หรอก แค่ศิลาบูชาไม่กี่ก้อนเท่านั้น…”
พูดจบ เด็กหนุ่มก็ทำท่าเหมือนกับนึกอะไรได้บางอย่าง จึงรีบกล่าวเสริมว่า “จริงด้วยสิ เสี่ยวเซียงเซียง เจ้าอย่าปฏิเสธของขวัญชิ้นนี้เลยนะ ข้าเตรียมของขวัญให้แก่ทุกคนนั่นแหละ หากผู้อื่นรู้ข่าวว่าเจ้าไม่รับของขวัญจากข้า ซึ่งเป็นถึงเสาหลักของกลุ่มสัมพันธมิตรขนาดนี้ ข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน แล้วอีกอย่างนะ เมื่อเจ้าหลอมรวมพลังเสร็จสิ้น ข้าก็มีเรื่องสำคัญมากที่ต้องรบกวนขอความช่วยเหลือจากเจ้า เสี่ยวเซียงเซียง”
เยว่หงเซียงยิ้มกว้าง
“ขอบคุณท่านมาก”
นางกล่าวด้วยความดีใจ “ข้ายอมรับของขวัญชิ้นนี้แล้ว… อีกอย่าง นี่ไม่ใช่ของขวัญชิ้นแรกที่ท่านมอบให้กับข้าสักหน่อย และข้าไม่เคยปฏิเสธของขวัญจากท่านเลยสักครั้ง”
ก่อนหน้านี้ เยว่หงเซียงได้รับของขวัญจากหลินเป่ยเฉินเป็นบุหรี่และสุราที่มีค่าเสียจนเงินทองซื้อหาไม่ได้
ถึงหลินเป่ยเฉินไม่ยกข้ออ้างเรื่องที่บอกว่าเตรียมของขวัญเอาไว้ให้แก่ทุกคน เยว่หงเซียงก็ไม่ได้มีความคิดที่จะปฏิเสธของขวัญของเขาอยู่แล้ว
หลินเป่ยเฉินยื่นคัมภีร์ที่เป็นคู่มือหลอมรวมพลังจากโอสถหัวใจพฤกษาส่งมอบให้แก่เยว่หงเซียงพลางกำชับว่า “โปรดอ่านให้เข้าใจก่อน หลังจากนั้น เจ้าค่อยเริ่มต้นการหลอมรวมพลัง ข้าจะคอยช่วยเหลือเจ้าเอง”
“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ”
เยว่หงเซียงรับคัมภีร์คู่มือไปอ่านอย่างรวดเร็ว
เพียงไม่นาน เด็กสาวก็เข้าใจทุกขั้นตอน
เมื่ออ่านคู่มือจบ เยว่หงเซียงกับหลินเป่ยเฉินก็เข้าไปในห้องฝึกวิชาและเริ่มต้นความพยายามในการหลอมรวมพลังจากโอสถหัวใจพฤกษา
นี่คือหัวใจของผู้อาวุโสใหญ่จากเผ่าเทพไม้เขียว ซึ่งมีอายุยืนยาวนับพันปี พลังที่อัดแน่นอยู่ในวัตถุรูปทรงหัวใจชิ้นนี้จึงมีมากมายมหาศาล เยว่หงเซียงเริ่มต้นการดูดซับพลังทีละเล็กทีละน้อย เพื่อให้ร่างกายได้มีเวลาปรับตัว
หลินเป่ยเฉินไม่กล้ายื่นมือเข้าไปแทรกแซง ทำได้เพียงคอยรักษาความปลอดภัยอยู่ที่ด้านข้างเท่านั้น
คิดไม่ถึงเลยว่าการหลอมรวมพลังจะดำเนินไปอย่างราบรื่นกว่าที่หลินเป่ยเฉินจินตนาการเอาไว้
ไม่มีอันตรายเกิดขึ้นกับเยว่หงเซียง
นางดูดซับพลังจากโอสถหัวใจพฤกษาทีละเล็กทีละน้อย สุดท้าย มวลพลังทั้งหมดก็ไหลรินเข้าสู่ร่างกายโดยสมบูรณ์
สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นคือความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงในร่างกายของเยว่หงเซียง
[1] เนื้อร้องส่วนหนึ่งจากเพลง 朋友 (เพื่อน) ซึ่งเป็นผลงานการขับร้องโดยศิลปิน โจวฮวาเจี้ยน