ตอนที่ 1,466 ความลับมากมาย
แม้จะรับรู้ได้ถึงความสงสัยของหลินเป่ยเฉิน
แต่นักพรตหญิงชินก็ไม่ได้อธิบายอะไรอีก
หลินเป่ยเฉินไม่ได้กล่าวอะไรต่อ รอให้ยกสุราดื่มไปหมดอีกจอก จึงค่อยถามว่า “คนสนิทของเทพเจ้าหวงที่หักหลังเขาคือผู้ใดขอรับ?”
ริมฝีปากที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยหยดสุราของนักพรตหญิงชินกล่าวตอบมาว่า “เจ้าลองเดาดูสิ”
เป็นเช่นนี้ไม่ถูกต้อง
ก่อนหน้านี้ นักพรตหญิงชินก็บอกเล่าอย่างตรงไปตรงมาอยู่ดี ๆ นี่นา
แล้วทำไมนางถึงได้เริ่มเล่นลิ้นเช่นนี้
หลินเป่ยเฉินคิดอะไรบางอย่างเล็กน้อย สุดท้ายก็ให้คำตอบออกมาว่า “ข้าขอเดาว่าคนสนิทผู้นั้นคือกระบี่กวาดสวรรค์ซวีเซี่ยเกอ”
กระบี่กวาดสวรรค์ซวีเซี่ยเกอไม่ได้มีตำแหน่งเป็นเทพเจ้าใหญ่ แต่เขากลับมีพลังแข็งแกร่งมากพอที่จะสังหารใต้เท้าฉาง นี่แสดงให้เห็นว่าซวีเซี่ยเกอมีคุณสมบัติดีพอที่จะรับตำแหน่งได้เท้าใหญ่ แต่ด้วยเหตุผลบางประการ ซวีเซี่ยเกอจึงไม่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นสู่ตำแหน่งนั้น… หลินเป่ยเฉินเคยได้ยินมาว่าในอดีตซวีเซี่ยเกอมีโอกาสที่จะได้ขึ้นเป็นหนึ่งในห้าใต้เท้าใหญ่ แต่สุดท้ายก็โดนท่านมหาเทพขับไล่ออกมาเสียก่อน
ดูเหมือนว่าในอดีตน่าจะมีความบาดหมางระหว่างท่านมหาเทพกับซวีเซี่ยเกออยู่ไม่น้อย
นักพรตหญิงชินหยุดเล่าเพื่อจ้องมองหลินเป่ยเฉินดื่มสุราให้หมดจอก ก่อนที่ตนเองจะเริ่มดื่มตามไปอีกจอกเช่นกัน “เหล่าซวีเป็นหนึ่งในมิตรแท้ไม่กี่คนของเทพเจ้าหวง”
นั่นไงล่ะ
เดาถูกจริง ๆ ด้วย
เรานี่มันก็ฉลาดเหมือนกันนะเนี่ย
หลินเป่ยเฉินชมเชยตนเองอยู่ในใจ
“แต่ผู้ที่ทรยศเทพเจ้าหวงมีนามว่าใต้เท้าเหลียน ในเมื่อเจ้าเคยขึ้นไปอยู่บนดินแดนทวยเทพมาแล้ว เจ้าน่าจะรู้จักนางกระมัง”
นักพรตหญิงชินให้คำตอบออกมาในที่สุด
มือของหลินเป่ยเฉินที่ถือจอกสุราสั่นเทาเล็กน้อย “ที่แท้ก็เป็นใต้เท้าเหลียนเองหรือ?”
นี่คือสิ่งที่เด็กหนุ่มคิดไม่ถึงจริง ๆ
เพราะในช่วงเวลาที่อาศัยอยู่บนดินแดนทวยเทพ หลินเป่ยเฉินมักจะรู้สึกว่าใต้เท้าเหลียนดูแลตนเองเป็นอย่างดี นางเป็นเทพเจ้าระดับชนชั้นเจ้าชีวิตที่ทรงอำนาจและกล้าหาญ อย่างน้อยระหว่างการแข่งขันคัดเลือกเทพเจ้าหน้าใหม่ ใต้เท้าเหลียนก็สามารถจัดการกับความวุ่นวายทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์แบบ
“ใต้เท้าเหลียนเคยเป็นสหายสนิทกับเทพเจ้าหวงด้วยหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินถาม “ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาคืออะไร? ใช่เป็นคนรักหรือไม่?”
นักพรตหญิงชินส่ายหน้า ตอบว่า “พวกเขานับถือกันดั่งพี่น้อง”
“นับถือกันดั่งพี่น้อง?”
“เพราะใต้เท้าเหลียนก็เป็นบุตรบุญธรรมของท่านมหาเทพเช่นกัน”
“อย่าบอกนะว่าใต้เท้าใหญ่ทั้งห้าแห่งสภาเทพเจ้า ต่างก็เป็นบุตรบุญธรรมของท่านมหาเทพทั้งหมด?”
“ถูกต้องแล้ว”
“หากเป็นเช่นนั้นทำไมใต้เท้าเหลียนถึงต้องหักหลังเทพเจ้าหวงด้วยล่ะขอรับ?”
“เรื่องนั้นเจ้าต้องไปถามนางเอง… แต่ยังมีคนสนิทอีกผู้หนึ่งที่สมรู้ร่วมคิดในแผนการทรยศครั้งนี้”
“เป็นผู้ใด?”
“เป็นเทพีกระบี่”
“หา? อาจารย์กำลังหมายถึง… เทพีกระบี่คนไหนขอรับ?”
“ความจริงก็ทั้งสองคนนั่นแหละ”
“หมายถึงเยว่เว่ยหยางกับวิญญาณที่อยู่ในร่างของนางใช่หรือไม่?”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับนักบวชเยว่… เป็นเทพีกระบี่คนเก่ากับเทพีกระบี่คนที่ครองตำแหน่งอยู่ในปัจจุบันนี้ต่างหาก”
“ว่าไงนะ?”
“เจ้าไม่เข้าใจหรือ? คนที่ติดต่อกับเจ้าตลอดเวลา คนที่เจ้าเรียกว่าเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงไงล่ะ”
“ฮ่า ๆๆ เทพธิดาฝึกหัดผู้นั้น… นางเป็นเพียงคนรับใช้ของเทพีกระบี่ไม่ใช่หรือ?”
“นางกำลังหลอกเจ้าอยู่ต่างหาก”
“นางเป็นเทพีกระบี่จริง ๆ หรือขอรับ?”
“เจ้าเองก็รู้มานานแล้ว ทำไมเจ้าถึงไม่ยอมรับความจริง… ย่อมเป็นนาง”
“ที่แท้เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้นี่เอง… แต่ไม่ทราบเป็นเพราะเหตุใด ข้าถึงปฏิเสธเรื่อยมาว่าเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงไม่มีทางเป็นเทพีกระบี่ แม้จะมีหลักฐานมากมายสามารถอธิบายได้ก็ตาม ว่าแต่ว่า อาจารย์รู้ได้อย่างไรขอรับว่าข้าติดต่อกับเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงอยู่เสมอ?”
“ข้าบอกเล่าให้เจ้าฟังถึงขนาดนี้ เจ้าไม่คิดบ้างหรือว่าข้ารู้เรื่องราวทุกอย่างในดินแดนทวยเทพได้อย่างไร?”
“อาจารย์มีหูตาคอยสอดส่องอยู่ในดินแดนทวยเทพใช่หรือไม่?”
“เป็นสหายเก่าของข้า”
“อาจารย์ช่างร้ายกาจยิ่งนัก… แต่เดี๋ยวก่อนนะขอรับ ท่านกล่าวว่าเทพีกระบี่ทั้งสองคนนั้นมีส่วนรับผิดชอบในการทรยศครั้งนี้ ไม่ทราบว่าเรื่องราวนั้นเป็นอย่างไรกันแน่?”
“คนหนึ่งจัดหาอาวุธและอีกคนส่งมอบอาวุธให้ท่านมหาเทพ นี่ยังไม่เรียกว่าการสมรู้ร่วมคิดอีกหรือ?”
“จริงด้วยสินะขอรับ… ว่าแต่อาวุธชิ้นนั้นคืออะไร?”
“เป็นหอกที่มาจากดินแดนอื่น”
“หอกที่มาจากดินแดนอื่น?”
“ถูกต้อง เทพเจ้าหวงเป็นผู้คนจากดินแดนอื่น ร่างกายของเขาเป็นอมตะ อาวุธธรรมดาจึงไม่สามารถทำอันตรายเขาได้เลย ท่านมหาเทพก็ไม่มีทางเลือกนอกจากแอบวางแผนการจ้างวานเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงให้จัดหาอาวุธมาจากดินแดนอื่น และเทพีกระบี่ก็เป็นคนนำอาวุธนั้นมาส่งมอบให้แก่ท่านมหาเทพ การลอบสังหารเทพเจ้าหวงจึงเกิดขึ้น”
เพล้ง!
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ นักพรตหญิงชินก็มีอารมณ์เดือดดาลขีดสุด นางถึงกับเขวี้ยงจอกสุราตกแตกไปทันที
แต่ในลมหายใจต่อมา หญิงสาวก็ใช้พลังเวทมนตร์รวบรวมเศษหยกเหล่านั้นคืนกลับมาเป็นจอกใบเดิมอีกครั้ง แม้แต่สุราที่กระจายไปบนพื้นก็ถูกรวบรวมกลับคืนมาเช่นกัน
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วใช้ความคิด วางมือลงไปบนโต๊ะ นิ้วมือของเขากระดุกกระดิกราวกับกำลังเล่นเปียโน พยายามย่อยข้อมูลที่ได้รับฟังจากนักพรตหญิงชินอย่างถี่ถ้วนที่สุด
หลังจากหยุดชะงักไปเล็กน้อย เขาก็ถามว่า “เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงเป็นผู้ที่มาจากดินแดนอื่นเช่นกันใช่หรือไม่?”
นักพรตหญิงชินยกจอกสุราหยกขาวในมือขึ้นดื่ม ก่อนจะมองหน้าหลินเป่ยเฉินในความเงียบ
หลินเป่ยเฉินยกสุราดื่มสามจอกติด ๆ กัน
นักพรตหญิงชินเติมสุราใส่จอกหยกขาวทั้งหกใบอีกครั้งและกล่าวว่า “หากไม่ใช่คนจากดินแดนอื่น แล้วนางจะสามารถนำหอกจากดินแดนอื่นเข้ามาฆ่าเทพเจ้าหวงได้อย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินหยุดการเคาะนิ้วของตนเอง ข้อมูลที่กระจัดกระจายอยู่ในสมองเริ่มรวมตัวเป็นรูปเป็นร่าง
ดูเหมือนเขาจะเข้าใจอะไรหลาย ๆ อย่างแล้ว
“อาจารย์รู้ข้อมูลมากมายถึงเพียงนี้ ไม่ทราบว่าอาจารย์เป็นผู้ใดกันแน่?”
หลินเป่ยเฉินตัดสินใจสอบถามอย่างตรงไปตรงมา “หรือความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับเทพเจ้าหวงคืออะไร เป็นพี่น้องที่ท่านมหาเทพรับมาอุปการะเหมือนกันอย่างนั้นหรือ?”
“ย่อมไม่ใช่”
นักพรตหญิงชินให้คำตอบมาเพียงเท่านี้
ทันใดนั้น นี่เป็นเวลาที่หลินเป่ยเฉินได้จ้องมองนักพรตหญิงชินอย่างเงียบงันเพื่อรอคำอธิบายเพิ่มเติมบ้างแล้ว
แต่นักพรตหญิงชินกลับเปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉยว่า “เจ้าเคยมีเพื่อนร่วมสถานศึกษานามว่าไป๋ชินอวิ๋น ไม่ทราบเจ้าจำได้หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินชะงักไปเล็กน้อย “เกิดอะไรขึ้นกับนางหรือขอรับ?”
เด็กสาวตัวเล็กหน้าอกโตเดินทางออกจากมณฑลเฟิงอวี่ไปตั้งแต่ที่พลังของตนเองเลือนหาย จนกระทั่งถึงบัดนี้ก็ไม่เคยติดต่อมาอีกเลย หากเว่ยหมิงเฉินเป็นท่านมหาเทพมาเกิดใหม่ การที่ไป๋ชินอวิ๋นเดินทางไปล้างแค้นเว่ยหมิงเฉินก็เท่ากับเป็นการฆ่าตัวตายแล้ว
“นางยังมีชีวิตอยู่”
นักพรตหญิงชินดื่มสุราจากจอกหยกขาวในมืออีกครั้ง “และมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายยิ่ง”
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
แต่ก็ได้ยินนักพรตหญิงชินกล่าวต่อไป “เพียงแต่นางแปรพักตร์แล้วเท่านั้น”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง ในใจเกิดความรู้สึกอัปมงคลขึ้นมาทันที “ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
“นางแปรพักตร์จากพวกเราไปเข้าร่วมกับเว่ยหมิงเฉิน” นักพรตหญิงชินดื่มสุราต่อไป ก่อนพูดว่า “บัดนี้ นางคือขุนพลศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งภายใต้การบังคับบัญชาของเว่ยหมิงเฉิน เกรงว่านางคงไม่ใช่คนที่เจ้ารู้จักอีกแล้ว”
“ว่าไงนะขอรับ?”
ครั้งนี้ หลินเป่ยเฉินถึงกับต้องอุทานออกมาด้วยความไม่อยากเชื่อ “เป็นไปไม่ได้ เสี่ยวไป๋… นางเกลียดชังเว่ยหมิงเฉินยิ่งกว่าอะไรดี”
นักพรตหญิงชินตอบกลับมาเสียงเรียบ “นางเกลียดชังเว่ยหมิงเฉิน แต่ไม่ได้เกลียดชังท่านมหาเทพ”
หลินเป่ยเฉินรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีชอบกล สอบถามต่อไปว่า “หรือว่าท่านมหาเทพในร่างของเว่ยหมิงเฉินจะล้างสมองทำให้เสี่ยวไป๋ยินดีรับใช้เขาอย่างหน้ามืดตามัว?”
นักพรตหญิงชินส่ายศีรษะ
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วหน้าเครียด
เรื่องนี้เขาต้องถามไป๋ชินอวิ๋นให้รู้ชัดด้วยตนเอง
จากนั้นค่อยฆ่าท่านมหาเทพทิ้งซะ
แต่เมื่อพูดคุยมาถึงตรงนี้ หลินเป่ยเฉินกลับรู้สึกเวียนหัวตาลายขึ้นมาอย่างกะทันหัน