ตอนที่ 1,479 ชิ้นส่วนที่ขาดหายไป
พลังในร่างกายเลือนหายคล้ายกับเม็ดทรายที่ไหลผ่านร่องนิ้วมือ
หลินเป่ยเฉินยืนโงนเงนคล้ายคนเมา
บาดแผลฉกรรจ์ทั่วร่างไป๋ชินอวิ๋นฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว รูกระบี่เลือนหายไปจากผิวสีขาวราวหิมะเสมือนไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน มีเพียงรอยขาดบนชุดมือกระบี่ของนางเท่านั้นที่เป็นหลักฐานยืนยันได้ถึงการถูกโจมตีก่อนหน้านี้
“เจ้า…”
หลินเป่ยเฉินนำหุ่นยนต์หมายเลขหนึ่งออกมาตั้งเป็นองครักษ์ส่วนตัวและกล่าวว่า “นี่เจ้าคิดจะฆ่าคนรักของตนเองหรืออย่างไร?”
ไป๋ชินอวิ๋นจ้องมองหอกขึ้นสนิมที่แทงทะลุหน้าอกฝั่งขวาของหลินเป่ยเฉิน เมื่อเห็นหยดเลือดไหลลงจากปลายหอก เด็กสาวก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
นางเดินสืบเท้าก้าวเข้ามาอย่างแช่มช้า แม้แต่รอยขาดวิ่นบนชุดมือกระบี่ของไป๋ชินอวิ๋นก็หายไปแล้ว นางกล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าให้โอกาสกับเจ้าแล้ว แต่น่าเสียดายที่เจ้าดื้อรั้นมากเกินไป เจ้าคิดว่าชุดเกราะโง่ ๆ ของเจ้าจะสามารถช่วยชีวิตเจ้าได้หรือ? หากมันสามารถช่วยชีวิตผู้คนได้จริง เหตุไฉนเทพเจ้าหวงจึงถูกลอบสังหารได้เล่า?”
หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบ
ไป๋ชินอวิ๋นกล่าวต่อไป “ความลับเกี่ยวกับชุดเกราะอมตะที่เจ้ายังไม่รู้ก็คือ ชุดเกราะที่เจ้าสวมใส่อยู่บัดนี้ มีชิ้นส่วนบางอย่างขาดหายไป”
หลินเป่ยเฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย
มีชิ้นส่วนขาดหายไป?
“ชุดเกราะของเจ้ายังขาดชิ้นส่วนบางอย่าง ซึ่งถือเป็นชิ้นส่วนที่สำคัญมาก หากเจ้าสู้กับองค์ราชันย์ในสภาพนี้ เจ้าก็คงต้องตายอย่างไร้แผ่นดินกลบฝัง” ดวงตาของไป๋ชินอวิ๋นมีแต่ความเย็นชาขณะกล่าวต่อ “ชุดเกราะที่ยังไม่สมบูรณ์ แต่เจ้ากลับยึดถือมันเป็นไพ่เด็ดของตนเอง หากเจ้าไม่ตาย แล้วผู้ใดจะถึงที่ตายอีก?”
ใบหน้าของหลินเป่ยเฉินแข็งค้าง ดวงตาปรากฏความว้าวุ่นใจ
ชุดเกราะอมตะยังไม่สมบูรณ์อีกหรือ?
ไม่น่าเป็นไปได้
เขารู้จักชุดเกราะชุดนี้ดี
ชิ้นส่วนทุกชิ้นสามารถประกอบรวมกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีตรงส่วนไหนขาดหายไปเลย แล้วมันจะไม่สมบูรณ์ได้อย่างไร?
หลินเป่ยเฉินไม่อยากเชื่อ
แต่ก็ต้องยอมรับกับความเป็นจริงที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า
“เอ่อ… เรื่องนี้ไว้ค่อยพูดคุยกันทีหลังดีกว่า เสี่ยวไป๋ เจ้าเป็นคนแทงข้า ช่วยดึงออกไปก่อนได้หรือไม่” เขาชี้มือไปที่ปลายหอกบนหน้าอกฝั่งขวาของตนเอง “หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าคงไม่รอดแน่ ๆ…”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าหอกนี้มีนามว่าอันใด? มันเรียกว่าหอกแห่งโชคชะตา”
ไป๋ชินอวิ๋นยื่นนิ้วมาสัมผัสกับปลายหอก เมื่อนางโคจรพลังเข้ามา โลหิตของหลินเป่ยเฉินพลันหยุดไหล แต่นางก็ยังไม่ได้ดึงหอกออกไปจากร่างกายของเขาอยู่ดี “เมื่อมีหอกเล่มนี้เสียบร่าง พลังยุทธ์ทั้งหมดของเจ้าจะถูกปิดกั้น หากไม่ดึงหอกออกมา เจ้าก็จะเป็นเพียงคนธรรมดาผู้หนึ่งเท่านั้น”
“นี่ หากเจ้าไม่ดึงออกให้ ข้าจะดึงออกเองแล้วนะ”
หลินเป่ยเฉินพลันออกคำสั่งให้หุ่นยนต์หมายเลขหนึ่งดึงหอกออกไปจากด้านหลังของเขา
แต่ทันใดนั้น…
“โอ๊ย เจ็บ เจ็บ เจ็บ เจ็บ… หยุดก่อน”
หลินเป่ยเฉินใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด รีบออกคำสั่งให้หุ่นยนต์หยุดมือโดยทันที
เพราะเพียงด้ามหอกขยับแค่เล็กน้อย หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกเจ็บปวดทรมานอย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน เขารู้สึกราวกับว่าดวงวิญญาณของตนเองกำลังจะแตกสลายอย่างไรอย่างนั้น
“เมื่อถูกหอกเล่มนี้เสียบติดกับร่างกาย หากไม่รู้วิธีจัดการที่ถูกต้อง ก็จะไม่สามารถดึงหอกกลับออกมาได้เด็ดขาด”
ไป๋ชินอวิ๋นถอยหลังกลับไปช้า ๆ “นับจากวันนี้ไป เจ้าจะต้องอยู่ที่นี่ แต่วางใจเถอะ ข้าจะไม่ทำอะไรเจ้าหรอก ข้าจะปล่อยเจ้าออกไปเมื่อเรื่องราวทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว”
“ฝันไปเถอะ”
หลินเป่ยเฉินปฏิเสธเสียงแข็งกระด้าง “ด้วยนามของท่านปู่เจ้า ข้าขอสั่งให้เจ้ารีบปล่อยข้าเดี๋ยวนี้”
ไป๋ชินอวิ๋นหยุดชะงักเล็กน้อย ก่อนตอบรับกลับมาว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าเคยไปอยู่กับชาวเผ่าจันทราขาว แต่หากท่านปู่รู้ว่าข้ากำลังทำอะไรอยู่ ท่านปู่ก็จะต้องเห็นด้วยกับข้าอย่างแน่นอน”
“สรุปว่าเจ้าจะทำเช่นนี้จริง ๆ หรือ?”
“ข้าไม่มีทางเลือก”
“เจ้าจะไม่ดึงออกไปใช่หรือไม่?”
“ย่อมไม่ดึงออกไป”
ไม่ว่าหลินเป่ยเฉินจะพยายามเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไม่เป็นผล
เขารู้สึกโกรธ
ปกติมีแต่เขาคอยทิ่มแทงอาวุธใส่ผู้อื่น มีหรือที่จะถูกผู้อื่นทิ่มแทงอาวุธใส่เช่นนี้?
ช่างน่าหงุดหงิดยิ่งนัก
แต่ดูเหมือนจะไม่มีหนทางอื่นอีกแล้ว
โชคดีที่ยังสามารถใช้งานโทรศัพท์มือถือได้
น่าเสียดายที่ไม่มีแอปพลิเคชันใดสามารถช่วยดึงหอกเล่มนี้ออกไปได้เลย
จังหวะที่หลินเป่ยเฉินกำลังจะลองเรียกคะแนนสงสารจากไป๋ชินอวิ๋นอีกครั้ง ทันใดนั้น เขาก็เห็นแววตาของนางแสดงออกถึงความตกตะลึงสุดขีด
“ข้าบอกเจ้าแล้ว แต่เจ้าไม่เคยเชื่อฟัง”
เสียงเย็นชาที่คุ้นหูดังขึ้น “ทีนี้เจ้าคงรู้แล้วกระมังว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อกรของเว่ยหมิงเฉิน”
หลินเป่ยเฉินหยุดชะงักและยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
นี่คือเสียงของนักพรตหญิงชิน
มือที่ขาวเนียนข้างหนึ่งจับด้ามหอกที่ปักติดอยู่กับแผ่นหลังของหลินเป่ยเฉิน หลังจากนั้น คลื่นพลังก็ไหลเวียนออกมาจากปลายนิ้วซึมเข้าสู่ด้ามหอก
และแล้ว หอกที่มีคราบเลือดแห้งกรังจนเหมือนกับขึ้นสนิมนั้นก็หลุดออกจากร่างของหลินเป่ยเฉินและพุ่งทะยานไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็ว
ไป๋ชินอวิ๋นเบิกตาโตด้วยความตื่นตระหนก
รีบกระโดดหลบ
คมหอกพุ่งเฉียดผ่านข้างใบหู ตัดปอยผมของนางหลุดออกไปกระจุกใหญ่
จนกระทั่งเด็กสาวสามารถควบคุมหอกให้กลับมาอยู่ในมือได้อีกครั้ง หลินเป่ยเฉินกับนักพรตหญิงชินที่ยืนอยู่เบื้องหน้านางก็อันตรธานหายไปแล้ว
เศษหินเศษฝุ่นร่วงกราวลงมาจากด้านบน ม่านพลังที่อยู่ตรงหน้าเกิดช่องว่างเป็นรูปสามเหลี่ยมขนาดใหญ่
ค่ายอาคมที่พิทักษ์รักษาตำหนักหลังนี้ถูกทำลายลงแล้ว
เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไป หลังคาของตำหนักชั้นในก็เกิดช่องว่างขนาดใหญ่เช่นกัน…
“หญิงผู้นี้สามารถสลายค่ายอาคมได้ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่นางสามารถดึงหอกแห่งโชคชะตาออกมาได้อย่างไร?”
ไป๋ชินอวิ๋นขมวดคิ้วด้วยความพิศวงสงสัย
แต่นางไม่ได้ไล่ตามไป
เมื่อหลินเป่ยเฉินถูกหอกแห่งโชคชะตาแทงใส่เข้าไปถึงขนาดนั้น ในอีกหนึ่งหรือสองปีหลังจากนี้ หลินเป่ยเฉินจะไม่มีทางฟื้นฟูพลังยุทธ์ของตนเองกลับมาได้เด็ดขาด ดีไม่ดีพลังยุทธ์ของเขาอาจจะถูกสลายไปตลอดชีวิตเลยก็เป็นได้…
“หวังว่าเจ้าคงจะหยุดมือได้เสียทีนะ มิเช่นนั้น ข้าคงไม่อาจช่วยเจ้าได้อีกแล้ว”
ไป๋ชินอวิ๋นถอนหายใจออกมา
นางก้มหน้ามองหอกที่ถืออยู่ในมือ
ปลายหอกยังคงเปียกชุ่มด้วยเลือดสดใหม่
ไป๋ชินอวิ๋นใช้นิ้วมือลูบไปบนปลายหอก พิจารณาหยดเลือดที่ติดปลายนิ้ว ก้มหน้ามองหยดเลือดที่ไหลนองกองอยู่บนพื้น จากนั้นจึงเริ่มต้นทำความสะอาดคราบเลือดทั้งหมด
…
ณ ดินแดนแห่งตลาดการค้า
ในเวลาเดียวกันนี้
“ปล่อยข้าไปนะ ปล่อยข้าออกไป…”
ไป๋เสี่ยวเซียวเขย่าลูกกรงด้วยสองมือและร่ำร้องออกมาด้วยความโกรธแค้น
“เด็กน้อย เจ้าอย่าได้ตะโกนอีกเลย ไม่มีผู้ใดสนใจเจ้าหรอก…” เสียงของผู้อาวุโสใหญ่ที่ถูกคุมตัวอยู่ในห้องขังข้าง ๆ กันกล่าวออกมา “ใต้เท้าซวีขังเราเอาไว้เช่นนี้ เราคงทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว หนทางเดียวที่จะพาเราออกไปจากที่นี่ได้ ก็คือหาทางติดต่อบุรุษของเจ้า เขามีสถานะเป็นถึงหนึ่งในห้าใต้เท้าใหญ่แห่งสภาเทพเจ้า ใต้เท้าซวีต้องยอมทำตามคำสั่งเขาอย่างแน่นอน”
“ใช่แล้ว เขาต้องช่วยเราได้แน่ ๆ”
“ข้าขอพนันด้วยกระดูกสัตว์อสูรสิบชิ้นเลยว่า เจี๋ยนเซียวเหยาต้องสามารถเอาชนะใต้เท้าซวีได้อย่างไม่มีปัญหา”
ผู้อาวุโสอีกสองท่านที่ถูกจับตัวมาคุมขังพร้อมกับไป๋เสี่ยวเซียวก็พยายามเขย่าลูกกรงและส่งเสียงโวยวายออกมาเช่นกัน
ทุกคนต่างก็ถูกปิดกั้นพลังยุทธ์
ทุกคนต่างก็รู้สึกขมขื่น
เมื่อได้รับตำแหน่งเทพเจ้า ไป๋เสี่ยวเซียวและผู้อาวุโสทั้งสามก็เดินทางกลับมายังดินแดนตลาดการค้าอย่างมีความสุข แต่ปรากฏว่ากลับมาถึงยังไม่มีเวลาได้ดื่มน้ำชาสักถ้วย ใต้เท้าซวีผู้ดูแลดินแดนตลาดการค้าคนปัจจุบันก็สั่งให้นำตัวพวกเขามาคุมขังในคุกใต้ดินเสียอย่างนั้น