ตอนที่ 1,481 แดนสุขาวดี
เสียงระฆังประกาศสงครามจากคฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยนดังกังวานไปทั่วดินแดนทวยเทพ
ทุกคนได้แต่จ้องมองไปยังพื้นที่ตอนกลางของเมืองเยี่ยเฉิง
นี่คือครั้งแรกในระยะเวลาอันยาวนานที่เสียงระฆังประกาศสงครามดังขึ้น
เสียงระฆังดังเป็นจังหวะเร่งเร้า ทำให้หัวใจของผู้รับฟังกระตุกสั่นไหวด้วยความตกตะลึง
“เกิดอะไรขึ้น? กำลังจะเกิดสงครามเทพเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
“หรือว่ามีผู้ใดบุกรุกดินแดนทวยเทพ?”
“ไม่น่าเป็นไปได้ พวกปีศาจไม่มีอำนาจสู้กลับอีกแล้วไม่ใช่หรือ?”
“แย่แล้ว เป็นเช่นนี้ดินแดนทวยเทพได้โกลาหลแน่ ๆ”
การจับกลุ่มพูดคุยกันด้วยความตื่นตระหนกเกิดขึ้นทั่วเมืองเยี่ยเฉิง
เสียงระฆังประกาศสงครามที่ดังขึ้น เป็นเหตุการณ์สำคัญไม่ต่างจากท้องฟ้ากำลังจะถล่ม แผ่นดินกำลังจะทลาย
บนหอคอยทมิฬ ใต้เท้าเหลียนยืนอยู่ข้างหน้าต่าง จ้องมองไปยังทิศทางของคฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยนด้วยแววตาประหลาดใจ “เหตุไฉนเขาจึงกำเริบเสิบสานถึงเพียงนี้? หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป มีหวังได้ถูกฆ่าตายแน่… ฮ่า ๆๆ”
ในวิหารใต้เท้ากั้ว เทพเจ้าหนุ่มร่างกำยำมีสีหน้าไม่แน่ใจ คล้ายกับว่ากำลังตัดสินใจอะไรบางอย่างด้วยความลำบากใจ
ลึกเข้าไปในวิหารอันโดดเดี่ยว เสียงหัวเราะที่เย็นชาดังกังวาน “ฮ่า ๆๆ…”
ในวิหารหลังใหญ่ เทพีผู้เกียจคร้านผงกศีรษะขึ้นมาในห้องที่มืดสลัว เส้นผมของนางเคลื่อนไหวราวกับเป็นสายน้ำตกและนางก็พึมพำออกมาแผ่วเบาว่า “น่ารำคาญเสียจริง เพิ่งจะอยู่กันอย่างสงบสุขได้ไม่ทันไร นี่พวกเขาจะสู้รบกันอีกแล้วหรือ?”
ลึกเข้าไปในถ้ำใต้ดิน เทพเจ้าแห่งเหมืองแร่แสยะยิ้ม ดวงตาร้อนผ่าวด้วยเปลวไฟแห่งความโกรธแค้น บัดนี้ สาวกและลูกสมุนของเขาจำนวนมากได้มารวมตัวกันพร้อมอาวุธครบมือเรียบร้อยแล้ว…
ในอาณาเขตของเผ่าเทพไม้เขียว ต้นไม้ใหญ่ยักษ์ที่สูงเสียดฟ้ามีใบไม้สีเหลืองอ่อนปลิดปลิวลงมา รังสีอํามหิตปกคลุมรอบบริเวณ ส่งผลให้พืชไม้จำนวนมากในรัศมีหลายร้อยลี้ต้องแห้งตายในพริบตา ก่อนที่จะมีเสียงคำรามกึกก้องแผ่นฟ้าว่า “เจี๋ยนเซียวเหยาต้องถูกลงทัณฑ์!”
ในอาณาเขตของเผ่าเทพอัคคี ลาวาจำนวนมากพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า เทพอัคคีผู้ครอบครองโลกใต้ดินตื่นขึ้นมาแล้วและกำลังปลดปล่อยพลังกดดันอย่างหนักหน่วงรุนแรง…
บนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ไพศาล บุรุษผู้หนึ่งชักกระบี่ออกมาจ้องมองนิ่งเฉย คมกระบี่สะท้อนประกายระยิบระยับ และเมื่อเขาลองตวัดกระบี่ ลำแสงกระบี่ก็พุ่งออกไปด้วยความเกรี้ยวกราดราวกับต้องการจะแยกแผ่นฟ้าออกจากกัน
…
ณ คฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยน
สมาชิกคนสำคัญมารวมตัวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
เทพเจ้าเกือบร้อยคน อาทิ หลี่อี้เทียน ฮันลั่วเซวี่ยและสามพี่น้องตระกูลต้วน ย่อมอยู่ในรายชื่อเหล่านี้
เมื่อกวาดตามองดูทั่วดินแดน นี่คือขุมกำลังที่น่าเกรงขาม
ฉู่เหินมีร่างกายสูงใหญ่ ท่อนแขนกำยำ ยืนตระหง่านด้วยความสง่าผ่าเผย ทุกครั้งที่กะพริบตา คลื่นพลังแรงกล้าจะแผ่กระจายไปรอบบริเวณ
หลังเสร็จสิ้นการพูดคุยกับผู้ส่งสาส์นของเผ่าเทพไม้เขียว ฉู่เหินก็กล่าวว่า “นี่คือสงครามที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ พวกเราจำเป็นต้องต่อสู้ ก่อนที่ใต้เท้าเจี๋ยนจะล่าถอยเก็บตัว ท่านได้กล่าวเอาไว้ว่า ‘จงอย่าสร้างปัญหา แต่อย่าหวาดกลัวปัญหาเด็ดขาด’ การยั่วยุจากเผ่าเทพไม้เขียวเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น หากเราไม่เงยหน้าตอบโต้กลับไป พวกเราก็จะต้องถูกกดขี่ข่มเหงไปตลอดกาล… ข้าอยากจะประกาศสงครามกับเผ่าเทพไม้เขียว ไม่ทราบว่าพวกเจ้ามีความคิดเห็นเป็นเช่นใด?”
“เราควรจะสั่งสอนพวกมันมานานแล้ว”
ซือเกินตั๋งถูไม้ถูมือด้วยความตื่นเต้น “ขวานเหล็กของข้ารอคอยที่จะได้ดื่มเลือดพวกมันมานานนัก”
ลู่ปิงเหวินพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง “นับตั้งแต่ที่ได้รับตำแหน่งเทพเจ้า ข้าก็รอคอยที่จะได้มีโอกาสแสดงฝีมือเช่นนี้เอง”
เฉียนหลงยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “สำนักโอสถเป่ยเฉินจะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่… เพียงแต่ข้ามีเรื่องแปลกประหลาดจะแจ้งให้ทราบ ดูเหมือนว่าไม่นานมานี้ จำนวนผู้ป่วยโรคบุปผามรณะจะกลับมาเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน”
กวนรั่วเฟยกล่าว “ใต้เท้าเจี๋ยนย่อมเห็นด้วยกับการตัดสินใจครั้งนี้อย่างแน่นอน”
ทุกคนต่างก็มารวมตัวกัน
หลายคนเป็นเทพเจ้าหน้าใหม่ การทำสงครามในครั้งนี้เป็นเสมือนการพิสูจน์ฝีมือตนเองว่าคู่ควรต่อตำแหน่งที่ได้รับ
สถานการณ์ในดินแดนทวยเทพ ณ ปัจจุบัน เทพเจ้าหน้าเก่าต่างก็เหยียดหยามเทพเจ้าหน้าใหม่ เทพเจ้าหน้าเก่าจำนวนมากไม่เห็นเทพเจ้าหน้าใหม่เหล่านี้อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
ดังนั้น ความเกลียดชังระหว่างเทพเจ้าทั้งสองกลุ่มจึงเริ่มปะทุตัวขึ้นมาในความมืดมิด
หลายวันที่ผ่านมา นอกจากคฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยนจะต้องสูญเสียท่านยายของมู่หลินเซินไปแล้ว เทพเจ้าระดับสูงของพวกเขาอีกสามคนก็ต้องเสียชีวิตเพราะถูกโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัว และยังมีเทพเจ้าอีกเจ็ดคนต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งเบาะแสที่สาวไปถึงตัวมือมีดผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ครั้งนี้ต่างก็ชี้ไปที่กลุ่มเทพสงครามทั้งสี่คนหมดสิ้น
ดวงตาของมู่หลินเซินมีแต่ความเศร้าสลด มือของเขากำเป็นหมัดแน่น
แม้มู่หลินเซินจะมีสถานะเป็นคนของคฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยน แต่บุรุษหนุ่มก็ยังมีความผูกพันกับเผ่าเทพไม้เขียวอยู่ไม่น้อย
ถึงอย่างไรตระกูลของเขาก็ขึ้นตรงต่อเผ่าเทพไม้เขียวมาอย่างยาวนาน
แต่ความตายที่น่าสลดของท่านยายทำให้มู่หลินเซินรู้สึกผิดหวังในเผ่าเทพไม้เขียวเป็นอย่างยิ่ง
หัวใจของเขาร้อนรุ่มด้วยไฟแค้น
ในกลุ่มเทพเจ้าทั้งหมด หลี่อี้เทียนมีสีหน้าสงบสุขุมมากที่สุด นางมองหน้าฉู่เหินและถามว่า “ไม่ทราบว่าการประกาศสงครามในครั้งนี้ เป็นความคิดของท่านหรือของใต้เท้าเจี๋ยนกันแน่?”
ดวงตาของฉู่เหินจับจ้องใบหน้าหลี่อี้เทียนอยู่อึดใจใหญ่
เขาทราบดีว่านักเวทสาวผู้นี้มีความเยือกเย็นและมีเหตุผลมากพอ หลินเป่ยเฉินตั้งความหวังกับนางเอาไว้สูงมาก ดังนั้น หลี่อี้เทียนจึงกระทำเรื่องราวอย่างระมัดระวังเสมอ หากครั้งนี้นางจะตั้งคำถามกับการประกาศสงครามก็ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจอันใด
“นี่คือการตัดสินใจของข้าเอง… แต่ข้าเชื่อว่าหากใต้เท้าเจี๋ยนเผชิญสถานการณ์นี้ด้วยตนเอง ใต้เท้าก็ต้องตัดสินใจเช่นนี้เหมือนกัน หรือไม่แน่ ใต้เท้าอาจจะทำอะไรที่รุนแรงมากกว่านี้ด้วยซ้ำ” ฉู่เหินกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
เมื่อรับฟังมาถึงประโยคนี้ บรรดาเทพเจ้าหน้าใหม่ทุกคนก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
ไม่มีผู้ใดไม่ทราบถึงความดุดันอำมหิตและใจร้อนมุทะลุของเจี๋ยนเซียวเหยา
หากเจี๋ยนเซียวเหยาไม่ได้กำลังเก็บตัวหลอมรวมพลัง ป่านนี้เขาคงบุกโจมตีเผ่าเทพไม้เขียวอย่างถอนรากถอนโคนไปเรียบร้อยแล้ว
ฮันลั่วเซวี่ยเอียงศีรษะมองหน้าหลี่อี้เทียน
เด็กสาวทั้งสองคนเปรียบเสมือนศัตรูโดยกำเนิด พวกนางมักจะจ้องมองกันด้วยความเกลียดชังเสมอ จึงเป็นเรื่องน่าประหลาดที่หลี่อี้เทียนกับฮันลั่วเซวี่ยสามารถอยู่ร่วมวิหารเดียวกันได้อย่างสงบสุขตลอดมา
ทันใดนั้น หลี่อี้เทียนพลันพยักหน้า “ข้าเห็นด้วยกับการประกาศสงคราม”
นางยิ้มเล็กน้อย ฉู่เหินรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเด็กสาวผมทองผู้นี้กำลังซ่อนเร้นความบ้าคลั่งอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ และความบ้าคลั่งนั้นก็รอเวลาที่จะได้ระเบิดออกมา
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หัวใจของฉู่เหินก็กระตุกวูบโดยไม่รู้ตัว
หลี่อี้เทียนกล่าวช้า ๆ ว่า “หากเราไม่ตอบโต้ เราก็ต้องถูกรังแก หากเราตอบโต้ เราก็ต้องถูกรังแกอยู่ดี เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราควรทำก็คือการวางกลยุทธ์เอาชนะศัตรูให้ได้ในเวลาที่สั้นที่สุด… แต่ที่สำคัญก็คือเราแทบไม่มีเวลาเตรียมตัว นอกจากเทพสงครามสี่คนแล้ว หนึ่งในห้าใต้เท้าใหญ่แห่งสภาเทพเจ้าก็น่าจะสนับสนุนพวกเขาอยู่เช่นกัน”
สามพี่น้องตระกูลต้วนและเทพเจ้าหน้าใหม่คนอื่น ๆ ต่างก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วยเมื่อได้ยินคำพูดประโยคนั้น
“ข้ามีแผนการแล้ว…”
เสียงของฉู่เหินหนักแน่นมั่นคงปานเหล็กกล้า “ก่อนที่ใต้เท้าจะเก็บตัวหลอมรวมพลัง ใต้เท้าได้เตรียมทางหนีทีไล่เอาไว้เรียบร้อยแล้ว ต่อให้อีกฝ่ายมีหนึ่งในห้าใต้เท้าใหญ่สนับสนุน พวกเราก็ยังมีหนทางเอาชนะเสมอ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ บรรดาเทพเจ้าหน้าใหม่ก็ฉีกยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
…
ทะเลก้อนเมฆกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
อากาศเบาบาง
มองเห็นแต่ท้องฟ้า ไม่เห็นพื้นดิน
สิ่งเดียวที่สามารถวางเท้าลงไปได้คือก้อนหินทรงกลมขนาดใหญ่เท่ากับห้องพักเล็ก ๆ ห้องหนึ่ง เมื่อก้มหน้ามองลงไป หลินเป่ยเฉินก็จะสามารถมองเห็นเงาสะท้อนใบหน้าอันหล่อเหลาของตนเองอยู่บนพื้นหินอันเงาวับราวกับแผ่นกระจกนั้น
นักพรตหญิงชินยืนอยู่ข้างกาย ผมสีเงินตัดกับเสื้อคลุมสีดำ ดูสวยงามโดดเด่นยิ่งนัก
“ที่รัก… เอ๊ย อาจารย์ขอรับ ที่นี่คือที่ไหน?”
หลินเป่ยเฉินรู้สึกร่างกายเหนื่อยล้า รีบยกมือขึ้นปิดบังหน้าอก เสแสร้งแกล้งพูดด้วยความหวาดกลัว “ชายหญิงอยู่ด้วยกันตามลำพัง ข้าไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะขัดขืนท่านได้อีกแล้ว… ท่านพาข้ามาที่นี่คิดจะทำอะไรกันแน่?”
“ที่นี่คือแดนสุขาวดี”
นักพรตหญิงชินกล่าว “เป็นสถานที่ให้เจ้ารักษาอาการบาดเจ็บ”
แดนสุขาวดี?
ชื่อนี้ฟังดูคุ้นหูชอบกล
หลินเป่ยเฉินนึกได้ว่าหากเป็นในชาติภพที่แล้วของเขา แดนสุขาวดีย่อมหมายถึงสวรรค์
เป็นดินแดนที่มีแต่ความสุข
แต่เมื่อมาอยู่ในโลกวรยุทธ์แห่งนี้ เด็กหนุ่มก็ไม่รู้อีกแล้วว่าที่นี่คือดินแดนอะไรกันแน่