ตอนที่ 1,490 ตะ…ใต้เท้า ท่านกำลังทำอะไร
ในคฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยนขณะนี้ มีเพียงคนสองคนเท่านั้นที่รับทราบว่าการเก็บตัวหลอมรวมพลังของหลินเป่ยเฉินแท้ที่จริงก็คือการเดินทางกลับไปสู่แผ่นดินตงเต้า และสิ่งที่น่าเสียดายมากกว่านั้นก็คือกำไลผลึกแก้วกิเลนไม่สามารถติดต่อกับหลินเป่ยเฉินได้อีกแล้ว
“นักเวทฮัน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
เขาชำเลืองมองอดีตบุตรสาวเจ้าของโรงเตี๊ยมในอ้อมแขนและกล่าวต่อ “อดทนไว้ก่อน พวกเรากำลังรีบกลับไปแล้ว…”
“อย่ากลับไป”
ทันใดนั้น หลี่อี้เทียนผู้หน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ตลอดเวลาพลันพูดออกมาด้วยเสียงที่สั่นเครือ “พวกเรากลับไปไม่ได้แล้ว กลับไปก็มีแต่ตายกับตายเท่านั้น การสังหารเทพไม้เขียวทำให้พวกเราต้องใช้พลังทั้งหมดออกมา ถึงกลับไปตอนนี้ พวกเราก็ช่วยเหลือผู้ใดไม่ได้อยู่ดี”
หากเป็นในอดีต ฉู่เหินคงจะต้องตอบรับกลับไปว่า ‘ต่อให้ต้องตาย ข้าก็จะขอกลับไปตายต่อหน้าสหายของตนเอง’
แต่การต่อสู้ในวันนี้ทำให้ชายวัยกลางคนเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อหลี่อี้เทียนไปโดยสิ้นเชิงและเขาก็รู้สึกเชื่อใจนางมากขึ้น
นี่คือความเชื่อใจที่มีต่อวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ของหลี่อี้เทียน
ในกลุ่มของพวกเขา มีแต่นางเท่านั้นที่สามารถอ่านสถานการณ์ได้ทะลุปรุโปร่งมากที่สุด
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะไปที่ใด?”
ฉู่เหินสอบถาม
หลี่อี้เทียนตอบเสียงสั่น “ไปขอกำลังเสริม”
“กำลังเสริม?”
ฉู่เหินนิ่งเงียบ พยายามนึกถึงชื่อเทพเจ้าคนใหญ่คนโตที่ตนเองรู้จัก “เจ้าหมายความว่าพวกเราควรไปหาใต้เท้ากั้วใช่หรือไม่?”
หลี่อี้เทียนส่ายหน้าตอบกลับมาว่า “คนผู้นี้ไว้ใจไม่ได้ เมื่อธงรบวิหคดำปรากฏออกมา เขาคงไม่ยินดีช่วยเหลือเราอีกต่อไปแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องไปหา… ใต้เท้าเหลียน?”
ฉู่เหินถามออกมาอีกครั้ง
หลี่อี้เทียนยังคงส่ายศีรษะตอบด้วยเสียงที่สั่นเครือ “นาง… ก็อาจจะพึ่งพาไม่ได้เช่นกัน”
ฉู่เหินนิ่งเงียบ
นั่นคือความจริงที่เขาก็รู้ดีอยู่แก่ใจเช่นกัน
แต่คนเรายามตกอยู่ในความหมดหวัง แม้สิ่งที่มีความเป็นไปได้น้อยที่สุด ก็ยังหวังให้โชคเข้าข้างบ้างแล้ว
ทว่า หากไม่ใช่ใต้เท้าใหญ่ทั้งสองคนนี้ ยังจะมีผู้ใดสามารถช่วยแก้ไขสถานการณ์สงครามในวันนี้ได้อีก?
“ตามข้ามาเถอะ”
หลี่อี้เทียนยังคงมีร่างกายสั่นระริกและเสียงที่สั่นเครืออย่างควบคุมไม่ได้ นางหมุนตัวและมุ่งหน้าไปยังทิศทางฝั่งตรงกันข้ามกับที่ ๆ พวกเขากำลังจะมุ่งหน้าไปในตอนแรก
ฉู่เหินประคองฮันลั่วเซวี่ยเดินตามไปพร้อมกับสอบถาม “พวกเรากำลังจะไปที่ใด?”
“เมื่อไปถึงเดี๋ยวท่านก็รู้เอง”
เสียงของหลี่อี้เทียนยิ่งสั่นเครือมากกว่าเดิม “คนผู้นี้เป็นเสมือนไพ่ตายที่ใต้เท้าเจี๋ยนบอกไว้กับข้า ก่อนที่เขาจะเก็บตัวหลอมรวมพลัง เขาบอกว่าหากพวกเราตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤตเช่นนี้ ก็ให้ไปขอความช่วยเหลือจากนางได้ทุกเมื่อ”
ฉู่เหินขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกอึดอัดขัดใจ
หลินเป่ยเฉิน เจ้าเด็กตัวเหม็นผู้นี้ ถึงกับบอกเรื่องไพ่ตายให้แก่หลี่อี้เทียนรับทราบ ทว่ากลับไม่ยอมบอกเรื่องนี้ให้เขาทราบสักคำ
หมอนี่เห็นสตรีดีกว่าเขาอย่างนั้นหรือ?
แต่ทันใดนั้น…
เอ่อ…
ฉู่เหินก็นึกขึ้นมาได้ว่านี่เป็นนิสัยปกติของหลินเป่ยเฉินอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?
เมื่อรวบรวมสติกลับมาได้อีกครั้ง ฉู่เหินก็นำเศษโอสถหัวใจพฤกษาใส่เข้าไปในปากของฮันลั่วเซวี่ย จากนั้นจึงจ้องมองร่างของหลี่อี้เทียนที่เดินนำทางอย่างสั่นเทา แล้วก็อดปลอบโยนด้วยความสงสารไม่ได้ว่า “ไม่เป็นไร เจ้าอย่าเพิ่งกลัวไปเลย…”
“กลัวหรือ?”
เสียงของหลี่อี้เทียนยิ่งสั่นเครือมากไปกว่าเดิม “ข้าไม่ได้กลัวสักหน่อย”
“แต่ตัวเจ้าสั่น เสียงของเจ้าก็ด้วย…”
ฉู่เหินเข้าใจว่าที่หลี่อี้เทียนคิดปฏิเสธเพราะกลัวจะเสียหน้า
แต่ที่ไหนได้ หลี่อี้เทียนกลับหยุดชะงักอย่างกะทันหันและค่อย ๆ หันหน้ามองกลับมา “ข้าไม่ได้กลัว แต่กำลังตื่นเต้นมากเกินไปต่างหาก”
ฉู่เหินเห็นอย่างชัดเจนว่าดวงตาของหลี่อี้เทียนเป็นประกายระยิบระยับด้วยความบ้าคลั่ง
ฉู่เหินหัวใจกระตุกวูบ
แววตาเช่นนี้เขาเคยพบเจอมาก่อน
มันคือแววตาขององค์ชายเจ็ดระหว่างทางที่ถูกส่งตัวกลับมหานครแห่งจักรวรรดิเป่ยไห่ บรรดาองครักษ์ได้นำตัวองค์ชายเจ็ดเข้าไปเที่ยวสนุกในบ่อนพนันแห่งหนึ่งซึ่งได้ชื่อว่าเป็นบ่อนพนันที่ใหญ่ที่สุดในจักรวรรดิ และเมื่อเล่นพนันจนเหลือเงินเพียงก้อนสุดท้าย องค์ชายเจ็ดก็ทุ่มเงินก้อนสุดท้ายนั้นหมดหน้าตักด้วยความหมดหวัง
ซึ่งสีหน้าขององค์ชายในขณะนั้น ก็ไม่ต่างไปจากสีหน้าของหลี่อี้เทียนในขณะนี้
นี่คือสีหน้าของนักพนันผู้พร้อมที่จะทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างในการเดิมพันครั้งสุดท้าย
และโดยส่วนใหญ่แล้ว นักพนันเหล่านี้ก็มักจะถูกพบเป็นศพในท่อระบายน้ำนอกบ่อนพนันในวันต่อมา
แล้วครั้งนี้จะเป็นอย่างไร?
หลี่อี้เทียนจะชนะการเดิมพันจนได้หัวเราะในท้ายที่สุดหรือไม่?
ฉู่เหินประคองร่างฮันลั่วเซวี่ยที่ยังคงอ่อนแรงเดินตามหลี่อี้เทียนไปในระยะใกล้ชิด พร้อมกันนั้นก็ครุ่นคิดอยู่ในใจว่า ‘ไม่ว่าจะต้องทำอย่างไรก็ตาม เขาจะทำทุกอย่างที่สามารถกระทำได้ เพื่อช่วยให้หลี่อี้เทียนชนะการเดิมพันครั้งนี้ให้จงได้!’
…
ดินแดนแห่งตลาดการค้า
ในลานจัตุรัสใหญ่ นักรบเทวะจำนวนมากยังคงมารวมตัวกันอย่างต่อเนื่อง
นักรบเทวะแห่งดินแดนตลาดการค้ายืนเรียงแถวยาวเหยียด สีหน้ามุ่งมั่นเคร่งเครียดและเมื่อพวกเขาเดินเข้ามายืนประจำตำแหน่งในลานจัตุรัส ทุกคนก็ไม่เคยได้มีโอกาสกลับออกมาอีกเลย
การบูชายัญยังคงดำเนินต่อไป
ใต้เท้าซวียืนถือไม้คฑาอยู่ในมือ ดวงตาจ้องมองไปยังแท่นบูชาเก้าชั้นที่ตั้งอยู่บนรูปปั้นเทพีแห่งตลาดการค้าขนาดใหญ่ยักษ์ การบูชายัญผ่านไปแล้วหนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืน ตั้งแต่ช่วงเอวลงไปของตัวรูปปั้นกลายเป็นสีแดงสดน่าขนลุก…
ยังคงมีนักรบเทวะจำนวน 6,561 คนเข้ามาสละชีวิตของตนเองอย่างต่อเนื่อง…
คนกลุ่มใหม่ที่เดินเข้ามาไม่ต่างจากแมงเม่าบินเข้ากองไฟ ต่อให้เห็นว่ากลุ่มคนก่อนหน้านี้ของตนเองต้องเสียชีวิตไปต่อหน้าต่อตา พวกเขาก็ไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย
บัดนี้ เมื่อครึ่งหนึ่งของตัวรูปปั้นได้เปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน บรรดานักรบที่เข้าพิธีบูชายัญก็ไม่ต้องตัดมือของตนเองทิ้งอีกต่อไป ขอเพียงพวกเขาเข้ามายืนประจำตำแหน่ง โลหิตในร่างกายก็จะถูกดูดซึมออกไปผ่านทางรูขุมขนโดยทันที…
จำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
การบูชายัญใช้เวลาครั้งละไม่ถึงสิบลมหายใจ โลหิตในร่างของผู้ถูกบูชายัญก็จะถูกดูดออกไปจนหมดสิ้น และร่างของกลุ่มคนเหล่านั้นก็จะแหลกสลายกลายเป็นฝุ่นผงไปต่อหน้าต่อตา…
โลหิตที่ถูกดูดออกมาจะไหลผ่านไปตามกิ่งก้านสาขาของแท่นบูชาเก้าชั้น ไหลเวียนต้านทานแรงโน้มถ่วงของโลกขึ้นไปสู่ด้านบนสุดของแท่นบูชา ก่อนจะไหลย้อนลงสู่ด้านในตัวรูปปั้นเทพีแห่งตลาดการค้า…
วนเวียนอยู่เช่นนี้
นักรบเทวะต้องตายเป็นจำนวนมหาศาล
เด็กสาวเท้าเปล่าในชุดเสื้อคลุมสีดำลอยตัวขึ้นไปในอากาศ จ้องมองการบูชายัญทั้งหมดด้วยความสนใจ
“เชื่องช้ามากเกินไป”
นางมองอัตราความเร็วในการเพิ่มสีแดงบนตัวรูปปั้นเทพีแห่งดินแดนตลาดการค้า ก่อนกล่าวด้วยความไม่พอใจ “ตามข้อตกลงของเรา ท่านจะต้องบูชายัญโลหิตเพื่อฟื้นคืนพลังแก่รูปปั้นตัวนี้ให้ได้ในสองวัน บัดนี้ครบกำหนดสองวันแล้ว แต่พลังกลับฟื้นคืนได้เพียงครึ่งเดียว หากเชื่องช้าเช่นนี้ต่อไป อย่าคิดว่าพวกท่านจะหนีหายนะรอดพ้น”
ใต้เท้าซวีกล่าวตอบเสียงเรียบ “แต่ข้าทำตามที่ผู้ส่งสาส์นสั่งเอาไว้ทุกประการแล้ว”
เด็กสาวเท้าเปล่าผู้สวมใส่เสื้อคลุมสีดำสะกิดปลายเท้าของตนเองเล็กน้อยและร่างของนางก็เคลื่อนไหวในอากาศได้อย่างคล่องแคล่วราวกับเป็นมัจฉาที่กำลังแหวกว่ายอยู่ในมหาสมุทร “เรายังต้องการโลหิตมากกว่านี้ เรายังต้องการพลังที่แข็งแกร่งมากกว่านี้… หากข้าจำไม่ผิด ท่านมีลูกสมุนที่เพิ่งกลับมาจากเมืองเยี่ยเฉิงไม่ใช่หรือ? เห็นว่าพวกเขาเคยเข้าร่วมการแข่งขันค้นหาเทพเจ้าหน้าใหม่ด้วยนี่ ในตัวคงมีโลหิตและพลังแข็งแกร่งอยู่ไม่น้อย เหตุไฉนจึงไม่นำตัวพวกเขาออกมาบูชายัญเล่า?”
ใต้เท้าซวีนิ่งเงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าและกล่าวว่า “ไม่มีปัญหา”
หลังจากนั้น หญิงชราก็สั่งให้คนไปนำตัวพวกของไป๋เสี่ยวเซียวออกมาจากคุกใต้ดินและพานักโทษทั้งสี่คนนั้นมาที่ลานจัตุรัส
สายตาของเด็กสาวเท้าเปล่าจ้องมองไป๋เสี่ยวเซียวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า คล้ายกับว่านางได้ค้นพบอะไรบางอย่าง ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย มุมปากยกตัวเป็นรอยยิ้ม แววตาเป็นประกายระยิบระยับด้วยความเย้ยหยัน
“ตะ…ใต้เท้า ท่านกำลังทำอะไร?”
เมื่อเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในลานจัตุรัสหน้าวิหาร ไป๋เสี่ยวเซียวก็ระเบิดเสียงคำรามออกมาด้วยความโกรธแค้น แทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่ตนเองพบเห็น