ตอนที่ 1,497 ความผิดหกกระทง
ผ้าคาดเอวผืนนั้นปักลวดลายก้อนเมฆสีเงินพลิ้วไหว นอกจากนี้ยังมีกลิ่นหอมกรุ่นติดจมูก แต่ทันใดนั้น แสงสีเงินสาดประกายวูบ ผ้าคาดเอวที่ถืออยู่ในมือของหลินเป่ยเฉินกลับแปรเปลี่ยนเป็นเสื้อเกราะอ่อนตัวหนึ่งในพริบตา
“โอ๊ะ นี่มัน…”
หลินเป่ยเฉินก้มหน้ามองด้วยความเหลือเชื่อ
นักพรตหญิงชินพูดเสียงเรียบ “ชิ้นส่วนที่ขาดหายไปของชุดเกราะอมตะ”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโต ก่อนจะเข้าใจถึงความเป็นจริง
ไม่ต้องสงสัยอีกแล้วว่าเพราะเหตุใดชุดเกราะอมตะของเขาจึงถูกหอกแห่งโชคชะตาแทงทะลุเข้ามาได้ และในภายหลัง ไป๋ชินอวิ๋นก็เป็นผู้บอกหลินเป่ยเฉินเองว่าชุดเกราะอมตะของเขานั้นยังมีชิ้นส่วนที่ขาดหายไป
ชิ้นส่วนสุดท้ายที่ขาดหายไปก็คือผ้าคาดเอวผืนนี้นี่เอง
มันสามารถเปลี่ยนรูปทรงกลายเป็นชุดเกราะชั้นในที่เข้าได้กับผู้สวมใส่ทุกเพศทุกวัย
นับว่าไม่ใช่ของธรรมดาจริง ๆ
“พี่ชิน ชุดเกราะอมตะที่มีชิ้นส่วนสมบูรณ์ จะสามารถต้านทานการโจมตีของหอกแห่งโชคชะตาได้หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินสอบถาม
นี่คือคำถามที่สำคัญมาก
“ย่อมได้”
นักพรตหญิงชินตอบด้วยสีหน้ามั่นใจ
จากนั้นจึงนำมาสู่อีกหนึ่งคำถามสำคัญของหลินเป่ยเฉิน
“แล้วทำไมเทพเจ้าหวงถึงถูกหอกแห่งโชคชะตาฆ่าตายล่ะขอรับ?”
เด็กหนุ่มถามออกมาอีกครั้ง
ในดวงตาที่สวยงามของนักพรตหญิงชินพลันทอประกายดุร้าย ก่อนกล่าวช้า ๆ ว่า “เพราะชุดเกราะที่เขาสวมใส่ในวันนั้นมีชิ้นส่วนที่ขาดหายไป ซึ่งก็คือผ้าคาดเอวผืนนี้”
อ้อ อย่างนี้นี่เอง
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
แต่เดี๋ยวก่อนนะ?
เขานึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงถามว่า “ในตอนนั้น ผ้าคาดเอวผืนนี้เป็นพี่ชินสวมใส่อยู่ใช่หรือไม่?”
นักพรตหญิงชินพยักหน้า
เชี่ย
หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบ
หรือว่าผ้าคาดเอวผืนนี้จะเป็นของรักแทนใจระหว่างนักพรตหญิงชินกับเทพเจ้าหวง?
ไม่งั้นเทพเจ้าหวงจะมอบสิ่งของสำคัญนี้ให้แก่ผู้อื่นทำไม?
ปมรักรอยอดีตครั้งนี้ทำให้หลินเป่ยเฉินรู้สึกหมองเศร้าขึ้นมาเล็กน้อย
เด็กหนุ่มคิดไม่ถึงเลยว่าตนเองกำลังจะมาแย่งคนรักของเทพเจ้าที่ตายไปแล้วนานปี… ให้ตายสิ ทำไมเขาถึงรู้สึกแย่อย่างนี้นะ
“รีบสลายความคิดสกปรกของเจ้าทิ้งไปซะ”
นักพรตหญิงชินพูดด้วยสีหน้าบึ้งตึง “เทพเจ้าหวงเป็นสุภาพบุรุษผู้สูงส่ง เขาดูแลพี่น้องของตนเองเป็นอย่างดีเสมอ ตอนนั้นข้าได้รับบาดเจ็บสาหัสระหว่างการสำรวจพื้นที่รกร้าง เขาก็เลยให้ข้ายืมผ้าคาดเอวผืนนี้เพื่อรักษาบาดแผล…”
หลินเป่ยเฉินทั้งรู้สึกเสียใจและโกรธเคือง
นักพรตหญิงชินกำลังแก้ตัวแทนเทพเจ้าหวง
นักพรตหญิงชินถอนหายใจออกมาเล็กน้อยและกล่าวต่อ “เมื่อมาคิดดูตอนนี้ ที่ข้าได้รับบาดเจ็บสาหัสในขณะนั้น เกรงว่าคงเป็นฝีมือของท่านมหาเทพอีกเช่นกัน… ข้าให้ความเคารพเทพเจ้าหวงเสมือนเป็นพี่ชายแท้ ๆ เจ้าอย่าได้คิดอะไรที่สกปรกเช่นนั้นอีก”
เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกโล่งใจมากขึ้น
“พี่ชิน ท่านวางใจเถอะ เดี๋ยวข้าจะแก้แค้นให้เอง”
หลินเป่ยเฉินยกมือตบหน้าอก พูดด้วยความมั่นใจ “ข้าหลินเป่ยเฉินทำตามคำสัญญาเสมอ ครั้งนี้ข้าจะต้องจัดการท่านมหาเทพให้ได้ ต่อให้เขาขอร้องอ้อนวอน ข้าก็จะไม่ใจอ่อนเด็ดขาด…”
พูดมาถึงตรงนี้ เด็กหนุ่มก็ลดเสียงลงเล็กน้อย “แต่ข้ารู้สึกว่าพลังปราณธาตุทั้งห้าในร่างกายยังหลอมรวมไม่สมดุลสักเท่าไหร่ ไม่ทราบว่าพี่ชินพอจะช่วยหลอมรวมพลังให้ข้าอีกสักครั้งได้หรือไม่ พวกเรารีบมา…”
นักพรตหญิงชินลอยตัวอยู่เหนือมหาสมุทรก้อนเมฆ ผมสีเงินปลิวไสว สีหน้าเอือมระอา พยายามข่มอารมณ์เต็มที่ในการไม่ชักกระบี่ออกมา และนางก็ยกมือนวดขมับด้วยความปวดหัว “นี่ผ่านมาได้สี่วันแล้ว รีบจัดการเรื่องราวอื่นให้เสร็จก่อนเถอะ”
หลินเป่ยเฉินยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
ถ้าจัดการเรื่องราวอื่นเสร็จเรียบร้อย งั้นก็หมายความว่า…
มีความหวังแล้วสิ!
ทั้งสองคนลอยตัวออกมาจากก้อนหินสีดำนั้น
ก้อนเมฆแตกกระจายในวงกว้าง
หลินเป่ยเฉินลอยตัวอยู่ในอากาศและเมื่อหันหน้ามองไปข้างหลังอีกครั้ง เขาก็พบว่าก้อนหินสีดำทมิฬกับมหาสมุทรก้อนเมฆทั้งหลายได้สลายหายตัวไปแล้ว พื้นที่รอบบริเวณมีแต่ท้องฟ้ามืดมิดแสนว่างเปล่า…
ราวกับว่าก้อนหินยักษ์ก้อนนั้นกับมหาสมุทรก้อนเมฆไม่เคยดำรงอยู่มาก่อน
หืม เดี๋ยวก่อนนะ?
ท้องฟ้าที่มืดมิด?
ตอนนี้เนี่ยนะ?
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตสำรวจมองรอบบริเวณและอุทานออกมาว่า “เชี่ย ที่นี่มีเครื่องยิงแสงเลเซอร์ด้วยเหรอเนี่ย?”
นี่เขาไม่ได้กลับมาสู่โลกแห่งวรยุทธ์หรืออย่างไร?
รอบกายของหลินเป่ยเฉินในขณะนี้มีแต่ลำแสงสีเงินพุ่งขึ้นมาจากพื้นดิน ลำแสงเหล่านั้นถูกยิงใส่ท้องฟ้า โดดเด่นสะดุดตาท่ามกลางความมืดมิดเป็นอย่างยิ่ง
ภาพที่เห็นทำให้หลินเป่ยเฉินนึกถึงภาพยนตร์เรื่องปฏิบัติการฝ่าสุริยะขึ้นมาทันที
หลังจากนั้น เขาก็สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังที่ดูดกลืนชีวิตจากรอบทิศทาง
เมื่อมองรอบตัว
หลินเป่ยเฉินก็พบว่ามีแต่ทะเลทรายกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
พายุหมุนจำนวนมากดูดกลืนสิ่งมีชีวิตบนพื้นดินเปลี่ยนถ่ายเป็นพลังงานขึ้นสู่ท้องฟ้า… ในอากาศลอยว่อนด้วยเศษกระดูกขนาดใหญ่ยักษ์ โดยส่วนใหญ่ชิ้นกระดูกเหล่านั้นก็เป็นของสัตว์อสูรผู้น่าเกรงขาม…
“เหตุไฉนสภาพแวดล้อมของแดนสุขาวดีจึงย่ำแย่ถึงเพียงนี้?”
หลินเป่ยเฉินตกตะลึงแล้วจริง ๆ
ใบหน้าขาวผ่องของนักพรตหญิงชินแสดงความเคร่งเครียดออกมา
“เดิมทีสภาพแวดล้อมของแดนสุขาวดีเป็นป่าที่เต็มไปด้วยปราณบริสุทธิ์ นอกจากนั้นยังเคยมีภูเขาแม่น้ำกว้างใหญ่มหาศาล” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธแค้น “แต่บัดนี้มีใครบางคนเปิดใช้งานค่ายอาคมบูชายัญทั่วแผ่นดินตงเต้า… และนั่นก็ส่งผลกระทบถึงที่นี่เช่นกัน”
“ค่ายอาคมบูชายัญทั่วแผ่นดิน?”
หลินเป่ยเฉินรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย “เจ้านั่นเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร ในฐานะที่ข้าเป็นบุรุษหนุ่มผู้หล่อเหลาที่สุดแห่งแผ่นดินตงเต้า ข้าจะไม่ยอมให้มันทำสำเร็จแน่นอน ดูเหมือนพวกเราคงต้องออกเดินทางกันแล้ว รีบไปกันเถอะขอรับ”
แล้วเด็กหนุ่มก็นำรถม้าทองคำออกมา
…
ดินแดนทวยเทพ
ลานจัตุรัสหน้าคฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยน
“ใต้เท้าเหลียน…”
การปรากฏตัวของเทพธิดาสาวผู้เป็นโฉมงามอันดับหนึ่งแห่งดินแดนทวยเทพในครั้งนี้มีการเปลี่ยนรูปลักษณ์เล็กน้อย นางจึงดูอ่อนเยาว์ลงมากกว่าเดิม ผู้คนจำนวนมากยามแรกเห็นจึงเข้าใจว่าเป็นเด็กสาวผู้หนึ่ง
ใต้เท้าเหลียนได้สร้างชื่อเสียงยิ่งใหญ่เกรียงไกรในเมืองเยี่ยเฉิงมาเป็นเวลาหลายร้อยปี นางเป็นผู้ดูแลและควบคุมเหตุการณ์ครั้งสำคัญมานับไม่ถ้วน จึงสามารถออกคำสั่งต่อเทพเจ้าทั้งมวลได้ตามใจปรารถนา
ทุก ๆ การกระทำและทุก ๆ คำสั่งของใต้เท้าเหลียน คือสิ่งที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อดินแดนทวยเทพ
ในหัวใจของผู้คนจำนวนมาก ใต้เท้าเหลียนคือนายเหนือหัวที่แท้จริง
บัดนี้ นางได้ปรากฏตัวออกมาแล้ว
เฉียนหลงและพรรคพวกหัวใจตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม
การต่อสู้ที่ผ่านไปอย่างดุเดือดเลือดพล่านก่อนหน้านี้ ใต้เท้าเหลียนไม่ได้แสดงตัวออกมายุติการสู้รบ นี่แสดงให้เห็นว่านางประสงค์ให้สงครามดำเนินต่อไป
และบัดนี้ เมื่อสี่เทพสงครามพ่ายแพ้ ใต้เท้าเหลียนก็ถึงกับปรากฏตัวออกมา
ในมือของนางถือธงรบวิหคดำ อันเป็นสัญลักษณ์ที่ทำลายความหวังในหัวใจของเฉียนหลง ลู่ปิงเหวินและคุณชายผู้สูงศักดิ์คนอื่น ๆ พังทลายลงหมดสิ้น
เพราะใต้เท้าใหญ่ซึ่งเป็นผู้ปกครองดินแดนทวยเทพในขณะนี้ เลือกที่จะยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับคฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยน
บัดนี้ พวกเขาได้พบเจอกับวิกฤตการณ์ที่แท้จริงแล้ว
“จากข้อมูลการสืบสวนก่อนหน้านี้ เจี๋ยนเซียวเหยาผู้นำคฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยนมีชื่อจริงว่าหลินเป่ยเฉิน เขาเป็นมนุษย์ที่หลบหนีขึ้นมาจากแผ่นดินตงเต้า และได้กระทำการขโมยตำแหน่งเทพเจ้าไปโดยมิชอบ ถือเป็นการทำผิดกฎทวยเทพอย่างร้ายแรง นับเป็นบาปที่ให้อภัยไม่ได้เด็ดขาด นี่คือความผิดกระทงแรกของเขา”
“วิหารต้องห้ามถูกทำลาย ตำแหน่งเทพเจ้าในนั้นถูกขโมย ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นฝีมือของหลินเป่ยเฉินก่อกวนความสงบ ยุยงปลุกปั่นให้เกิดความแตกแยก นี่คือความผิดกระทงที่สอง”
“นอกจากนี้ หลินเป่ยเฉินยังได้สังหารเทพเจ้าระดับสามัญในพื้นที่เขตสองและพื้นที่เขตสามอีกเป็นจำนวนมาก ซ้ำยังแอบลักลอบเข้าไปล่าสัตว์อสูรในหุบผาอเวจี และยังปลดปล่อยสัตว์อสูรเหล่านั้นให้ออกมาอาละวาดในเมืองเยี่ยเฉิง นับเป็นความผิดกระทงที่สาม”
“หลินเป่ยเฉินร่วมมือกับปีศาจจากภพภูมิอื่น ขโมยสมบัติของท่านมหาเทพและฆ่าเทพเจ้าระดับสูงไปอีกหกสิบเจ็ดคน ถือเป็นความผิดกระทงที่สี่”
“มิหนำซ้ำ หลินเป่ยเฉินยังลักลอบฝึกวิชาห้าธาตุหลอมวิญญาณซึ่งเป็นคัมภีร์ต้องห้ามของเหล่าเทพพงไพร ถือเป็นความผิดกระทงที่ห้า”
“และข้อสุดท้าย หลินเป่ยเฉินพยายามลอบสังหารท่านมหาเทพขณะที่ท่านกำลังเก็บตัวหลอมรวมพลัง ถือเป็นความผิดกระทงที่หก”
เสียงของใต้เท้าเหลียนดังกังวานสะเทือนแผ่นฟ้าสะท้านแผ่นดิน ม่านพลังในอากาศสั่นไหว ราวกับว่ากำลังพยักหน้าเห็นด้วยกับบทลงทัณฑ์แก่คนบาปผู้ทำผิดเกินให้อภัย
“ด้วยนามแห่งท่านมหาเทพ ข้าขอประกาศการลงทัณฑ์…”
ใต้เท้าเหลียนลอยตัวอยู่บนท้องฟ้า ธงรบวิหคดำในมือโบกสะบัด เส้นผมยาวสลวยปลิวไสว จิตสังหารแรงกล้าแผ่ออกมาจากร่างกาย ประกาศบทลงทัณฑ์ด้วยน้ำเสียงดุดัน “ประหารชีวิตจอมมารหลินเป่ยเฉิน เผาไหม้ดวงวิญญาณให้ดับสูญ และผู้คนที่เกี่ยวข้องกับคฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยนก็จะต้องถูกประหารชีวิตทั้งหมด ห้ามไม่ให้มีผู้ใดเหลือรอดแม้แต่คนเดียว!”