ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 368 ค่ำคืนฟ้าปลอดโปร่ง-3

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 368 ค่ำคืนฟ้าปลอดโปร่ง-3

เหวินฉีเหวินยังดื่มสุราไม่หมดชาม

สุรานี้ทำมาจากเผือกเผา

แห้งฝืดเสียยิ่งกว่ากระไร

ดื่มเข้าปากแต่กลืนยากยิ่งนัก

อย่างน้อยสำหรับเหวินฉีเหวินบุตรคนโตแห่งจวนผู้ควบคุมรัฐก็รู้สึกเช่นนี้

แต่เมื่อเขาหันกลับไปมองชิงเสวี่ยชิง

พบว่านางดื่มเป็นชามที่สองแล้ว

เหวินฉีเหวินมองชามสุราของตน หัวเราะพลางส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา

จากนั้นกระดกดื่มสุราที่เหลือในอึกเดียว

ท้องนภาในยามนี้กำลังแยกออก

เสมือนกับลายมือของมนุษย์และวงปีของต้นไม้ที่เติบโตในที่ร่ม

ครั้นดื่มสุราแสบร้อนลงท้อง เหวินฉีเหวินพลันรู้สึกร้อนผ่าวเล็กน้อย

บริเวณขมับเต้นตุบๆ

ทว่าสายตาที่เขามองชิงเสวี่ยชิงนั้นอ่อนโยนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

ราวกับผ้ากำมะหยี่ที่ผลิตจากทางใต้

วางไว้ใต้แสงจันทร์และสามารถส่องแสงประกายได้จริงๆ

แต่ต่อให้แสงจันทร์จะสว่างเพียงใด ก็ไม่อาจสั่นคลอนการแสดงออกและความรู้สึกของเหวินฉีเหวินที่มีต่อชิงเสวี่ยชิงได้

ทั้งชีวิตมนุษย์ก็เป็นเช่นนี้

มักจะมีดอกไม้ไฟที่ควรค่าแก่การหยุดชมเป็นเวลานาน

แต่อย่างไรดอกไม้ไฟก็ไม่อาจคงอยู่ตลอดไป

เมื่อผ่านพ้นช่วงเวลาตื่นเต้นไปแล้ว บนม่านนภาก็จะเหลือเพียงความว่างเปล่า

แต่ชะตากรรมถูกลิขิตไว้แล้ว

ควรมีกี่หนทางและเป็นหนทางใด

ไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงมันได้

ชิงเสวี่ยชิงก็เป็นเคราะห์ของเหวินฉีเหวิน

เคราะห์รัก

ทว่าเขาในยามนี้พลันพบว่าแววตาของชิงเสวี่ยชิงเริ่มเอ่อล้นความเศร้าสร้อยออกมาเล็กน้อย

เขาไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใด

การดื่มสุราเป็นเรื่องที่เบิกบานใจจึงจะถูก

แม้ว่าจะดื่มสุราเพราะไม่มีความสุขก็ตามที

แต่ก็จะกลายเป็นความสุขขึ้นมาในที่สุด

ไม่เช่นนั้นสุรายังจะมีความหมายใด

แม้เหวินฉีเหวินจะดื่มสุราไม่มาก

แต่เขาก็เข้าใจตรรกะนี้ดี

ทั้งยังเคยเห็นคนเช่นนี้มาก่อน

ในโลกนี้มีเรื่องราวที่น่าเศร้าและวิตกกังวลมากมายเกินไป

เหวินทิงไป๋บิดาของเขาก็เคยดื่มหน้าป้ายวิญญาณของมารดาในช่วงดึกดื่นหลายต่อหลายครั้งเพียงลำพัง

แรกเริ่มมักจะอึดอัดใจ

ครั้นดื่มไปเรื่อยๆ น้ำตาก็เริ่มไหลริน

แต่สุดท้ายก็ผล็อยหลับไปพร้อมกับรอยยิ้ม

มองไปข้างหน้าจนสุดตรอกซอย

ดอกไม้ตรงนั้นบานสะพรั่งอย่างโอหังยิ่งนัก

ไม่มีผู้ใดใส่ใจดอกไม้ป่าริมถนน

ฉะนั้นพวกมันจึงเติบโตอย่างอิสระ

แต่กลับเหมือนวสันต์ฤดูยิ่งกว่าดอกไม้ในสวนเสียอีก

เดิมทีวสันต์ฤดูก็ควรจะอิสระเสรีเช่นนี้

เหวินฉีเหวินพิงกำแพงแล้วนั่งลง

เอื้อมมือไปด้านข้าง

ทว่าไม่ทันระวังนิ้วเผลอไปทิ่มหญ้าป่ามีหนามเข้า

กลิ่นอาหารหอมฉุยจากหอสุราที่อยู่ไกลออกไปลอยอบอวลในอากาศ

แต่ไม่อาจกลบกลิ่นสุราในตรอกซอยนี้ได้

กลิ่นหอมและดอกไม้ป่าเหล่านั้นในสายตาของเหวินฉีเหวินเอาแน่เอานอนไม่ได้ เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่

ชั่วขณะหนึ่ง เขารู้สึกว่าทุกสิ่งช่างเหลือเชื่อยิ่งนัก

เหมือนว่าตนไม่ได้อยู่ในหัวเมืองรัฐหง

แต่อยู่ลึกลงไปในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยอย่างสิ้นเชิง

แรงงานผู้หนึ่งดื่มสุราจนเกลี้ยงและนำชามวางไว้บนโต๊ะ

จากนั้นเข็นเกวียนพร้อมตะโกนขอทางและออกจากตรอกนี้ไปราวกับสายลม

เขารีบร้อนออกไปมาก

กระทั่งยังพัดใยสีขาวของดอกผู่กงอิง (ดอกแดนดิไลออน) ริมถนนปลิวว่อนอีกต่างหาก

ใยสีขาวนี้ร่วงหล่นลงพื้นอย่างเงียบเชียบราวกับหิมะ

แต่มีบางส่วนที่ซุกซนตกลงบนเส้นผมของชิงเสวี่ยชิง

เหวินฉีเหวินเอื้อมมือไปหยิบมันออกจากผมของนาง

ชิงเสวี่ยชิงรู้สึกถึงสัมผัสจึงหันไปมองเขา

เหวินฉีเหวินหยิบใยสีขาวมาไว้กลางฝ่ามือ

เป่าเข้าใบหน้าของชิงเสวี่ยชิง

ชิงเสวี่ยชิงครางเบาๆ พลางหรี่ตาลง

ขนตายาวเป็นแพกะพริบปิดลงมา

บดบังแววตาสุกสกาวคู่นั้นของนาง

วสันต์ฤดูปีนี้ดูเหมือนจะแตกต่างออกไปเพราะตรอกเล็กๆ และสุราชามนี้

จู่ๆ เหวินฉีเหวินก็อยากจะเขียนบางอย่าง

นอกจากการฝึกดาบแล้ว

เขาก็ชื่นชอบวรรณกรรมมากเช่นกัน

แม้ว่าเขาจะไม่เคยให้ผู้อื่นเห็นมันก็ตาม

แต่อักษรของเขาทั้งเป็นระเบียบและชัดเจน

เฉกเช่นเดียวกับความรู้สึกทะนุถนอม รักและเอ็นดูที่มีต่อชิงเสวี่ยชิง

ในเรื่องเล่าของเขาไม่มีการต่อสู้และความตาย

ไม่มีความทุกข์และสัมพันธ์ชู้สาว

ทุกสิ่งล้วนสงบสุขและรวมเป็นหนึ่ง

น่าเสียดายที่สิ่งเหล่านี้อยู่ได้แต่บนกระดาษและพู่กันเท่านั้น

ตราบใดที่ยังอยู่บนโลกมนุษย์นี้

การต่อสู้แย่งชิงเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

เหวินฉีเหวินรู้หน้าที่ตนเอง และข้าใจความหวังของบิดาที่มีต่อเขา

แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้หยุดเขาจากการรังเกียจสิ่งเหล่านี้

เขาฝึกดาบ เพียงเพื่อปกป้องคนที่เขาห่วงใย

เขาเขียนเรื่องราวก็เพื่อคงความแจ่มชัดท่ามกลางแสงสีเสียงดังอึกทึกโครมนี้ไว้

ให้ตนเองสามารถเข้าไปหลบซ่อนได้ทุกเมื่อ

อันที่จริงก็เหมือนกับคนหนุ่มสาวทางเหนือทุกคน

ยามที่ลมเหนือพัดมาและพายุทรายฟุ้งตลบทั่วนภา ใบหน้าของเหวินฉีเหวินก็ทิ้งรอยลึกไว้

แต่ก่อน ยามที่เขาออกไปข้างนอกทุกครั้งล้วนพกผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมไปด้วย

ไม่ได้เอาไว้ใช้เอง ทว่าเตรียมไว้ให้ชิงเสวี่ยชิงต่างหาก

เพียงแต่ว่าเป็นเรื่องบังเอิญทุกครั้งไป

สีผ้าไหมเช็ดหน้าของเหวินฉีเหวินมักจะเหมือนสีกระโปรงที่ชิงเสวี่ยชิงสวมใส่อยู่เสมอ

…………

“พี่เหวิน ท่านดูสิ! พายุมาแล้ว!”

จู่ๆ ชิงเสวี่ยชิงก็ลุกพรวดพลางชี้ท้องนภาไกลๆ แล้วกล่าว

ยิ้มกว้างโดยไม่รู้ตัวเหมือนยามที่ยังเป็นเด็ก

เขาไม่ได้เห็นชิงเสวี่ยชิงแย้มยิ้มสบายๆ เช่นนี้มานานมากทีเดียว

นับตั้งแต่นางเติบใหญ่ ก็มักจะฝืนยิ้มอยู่เสมอ

ราวกับเป็นเพียงนิสัยประเภทหนึ่ง

ไม่รู้ว่ายามนี้เป็นเพราะความมึนเมาจากสุราหรือผ่อนคลายจากการออกจากจวนชิงกันแน่

ในที่สุดชิงเสวี่ยชิงก็ยิ้มกว้างราวกับแต่ก่อนก็ไม่ปาน

“ใช่ พายุมาแล้ว…ไม่แน่ว่าค่ำกว่านี้ฝนจะตก!”

เหวินฉีเหวินกล่าว

เพราะตามสายลมมานั้น เขามองเห็นเมฆดำมืดทั้งผืน

เมฆดำผืนนี้ปกคลุมแสงอาทิตย์อัสดงทางทิศตะวันตกไปมากกว่าครึ่งเห็นจะได้

คล้ายกับอสูรร้ายกำลังกัดกิน เขมือบกลืนเหยื่อของตน

แต่ไม่ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของเหวินฉีเหวินเลยแม้แต่น้อย

ตรงกันข้ามกลับผ่อนคลายมากขึ้น

เพราะคนที่รักมากที่สุดอยู่ข้างกายเขา ทั้งยังดื่มสุราในตรอกเล็กๆ กับเขาอีกด้วย

แม้ว่าฝนนี้จะสะเทือนฟ้าดินแล้วจะอย่างไรเล่า

แม้ว่าชามสุราในมือจะไม่ใหญ่นัก

แต่การดื่มจอกแล้วจอกเล่า ก็สามารถดื่มได้ตลอดวสันต์และสารทฤดู

แม้ว่าดาบของเขาจะไม่เร็วพอและยังไม่รุนแรงพอก็ตาม

แต่ด้วยร่างกายที่กำยำสมส่วนของเขา ก็เพียงพอที่จะทำให้ชิงเสวี่ยชิงปลอดภัยแล้ว

“พี่เหวิน ตอนนี้ข้ามีความสุขมาก!”

ชิงเสวี่ยชิงกล่าว

“ข้าดูออก”

เหวินฉีเหวินยิ้มพลางลูบหัวนาง

ทว่าไม่ทันระวังทำให้เส้นผมดำขลับนุ่มสลวยไปเกี่ยวต่างหูของนางเข้า

เหวินฉีเหวินดึงเส้นผมออกจากช่องว่างในต่างหูอย่างระมัดระวัง

กลัวจะทำให้ชิงเสวี่ยชิงเจ็บเข้า

“แล้วตอนนี้พี่เหวินมีความสุขหรือไม่”

ชิงเสวี่ยชิงเอ่ยถาม

“ข้าไม่มีความสุข”

เหวินฉีเหวินกล่าว

ชิงเสวี่ยชิงตกใจยิ่งนัก

แต่นางเห็นรอยยิ้มสุขใจบนใบหน้าของเหวินฉีเหวิน

“ท่านเศร้ามากหรือ คนที่เศร้าไม่มีทางยิ้มออก พี่เหวินท่านอย่าได้หลอกข้าเชียว!”

ชิงเสวี่ยชิงกล่าวพลางเบ้ปาก

“เช่นนั้นเจ้าลองเดาดูสิว่าไฉนข้าจึงเศร้า”

เหวินฉีเหวินกล่าว

“หากท่านดื่มสุราเป็นเพื่อนข้าอีกชาม ข้าก็จะเดา!”

ชิงเสวี่ยชิงกล่าวพลางยกชามเปล่าในมือขึ้น

นางดื่มสุราที่ทั้งเข้มข้นและแห้งเฝื่อนจนเกลี้ยงไปสองชามแล้ว

เดิมเหวินฉีเหวินนึกว่าชิงเสวี่ยชิงอ้อนเขา จากนั้นขอร้องให้ตนพูดออกมาตรงๆ

คิดไม่ถึงว่าชิงเสวี่ยชิงจะมีข้อแม้

“ได้! แต่หลังจากข้าดื่มแล้ว เจ้าจะต้องเดานะ! ห้ามขี้โกงอีก!”

เหวินฉีเหวินยื่นชามสุราให้ชิงเสวี่ยชิงแล้วเอ่ย

นางยิ้มไม่กล่าววาจา

เสียงกระดิ่งดังขึ้นชั่วครู่

สั่งสุราสองชามจากยายเฒ่าผู้นั้นอีกครั้ง

เหวินฉีเหวินหยิบชามสุรามาดื่มทันที

เขาดื่มเก่งมากเพียงใด แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ

แต่เขารู้ว่าเหวินทิงไป๋บิดาของตนเคยได้ฉายาว่าเซียนสุราแห่งรัฐหง

ด้วยการอนุมานเช่นนี้แล้ว ความสามารถการดื่มของเขาก็ไม่น่าจะแย่

แต่ยามนี้จะดื่มสิ่งใด ดื่มมากน้อยเท่าใดก็ไม่สำคัญอีกต่อไป

ต่อให้ชิงเสวี่ยชิงจะขอให้เขาดื่มสิ่งปฏิกูลสักชาม เหวินฉีเหวินก็จะดื่มมันลงไปโดยไม่กังขา

เขาเพียงอยากลองฟังว่าชิงเสวี่ยชิงจะเดาความคิดของตนว่าอย่างไร

“เพราะพี่เหวินรู้สึกว่าโอกาสเช่นนี้หายากเกินไปจริงๆ…ครั้งต่อไปที่เป็นเช่นนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเมื่อใดอีก ข้าเดาถูกหรือไม่เล่า”

ชิงเสวี่ยชิงก้มหน้าจ้องชามสุราแล้วกล่าว

แต่น้ำเสียงยังแฝงไปด้วยความซุกซนขี้เล่น

“เฮ้อ…”

เหวินฉีเหวินถอนหายใจและพยักหน้าอย่างเชื่องช้า

ชิงเสวี่ยชิงพูดความคิดในใจของเขาออกมาจนหมดเปลือก

“พี่เหวินยังจำเรื่องที่ท่านแม่รับปากไว้ได้หรือไม่”

ชิงเสวี่ยชิงยืดตัวตรง ตบไหล่เหวินฉีเหวินแล้วกล่าว

“น้าจงรับปากเรื่องใดหรือ”

เหวินฉีเหวินยังไม่ได้สติกลับมาในทันที

“ซื่อบื้อ! ท่านแม่ข้ารับปากว่าเมื่อท่านไปเหมืองแร่คราวนี้ให้ข้าตามไปพร้อมกับท่านด้วย”

ชิงเสวี่ยชิงกล่าว

เหวินฉีเหวินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

ในที่สุดก็เข้าใจความหมายในคำพูดจึงยิ้มร่าอย่างมีความสุขขึ้นมา

“ตอนนี้ไม่เศร้าแล้วกระมัง”

ชิงเสวี่ยชิงกล่าว

“ไม่เลยสักนิด!”

เหวินฉีเหวินกล่าวอย่างเบิกบานใจ

ครั้นมองชามสุราของตน จู่ๆ ก็อยากจะดื่มสามจอกลงโทษตนเอง

เดิมคิดว่าโอกาสเช่นนี้มีเพียงไม่กี่ครั้งต่อปี

แต่กลับลืมไปแล้วว่าอีกไม่นานทั้งสองก็จะไปเหมืองแร่ที่ชายแดนรัฐหงด้วยกัน

ตลอดทางอยู่ด้วยกันทั้งเช้าเย็น

โอกาสเช่นนี้จะน้อยลงไปได้อย่างไร

“แต่เมื่อเสร็จเรื่องแล้ว พี่เหวินก็จะต้องเศร้าอีกแน่นอน!”

ชิงเสวี่ยชิงแลบลิ้นและจงใจกล่าว

“เช่นนั้นพวกเราก็เดินทางช้าๆ ค่อยๆ ทำธุระ หลังจากกลับมาแล้ว ข้า…”

เหวินฉีเหวินกล่าว

ทว่ากลืนประโยคครึ่งหลังกลับไปทั้งอย่างนั้น

“หลังจากกลับมาแล้วอย่างไรเจ้าคะ”

ชิงเสวี่ยชิงถามอย่างไม่เข้าใจ

“หลังจากกลับมาแล้ว พวกเราค่อยมาดื่มสุราที่นี่กันอีกครั้ง!”

เหวินฉีเหวินขยิบตาแล้วกล่าว

“ฮ่าๆ ได้สิ! พี่เหวินคำไหนคำนั้น!”

ชิงเสวี่ยชิงยื่นนิ้วก้อยออกมาแล้วกล่าว

“คำไหนคำนั้น!”

เหวินฉีเหวินเกี่ยวก้อยสัญญากับนาง

อ่านน้อยลง

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท