บทที่ 818-2 ความตายทางสังคม (2)

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 818 ความตายทางสังคม (2)

ถึงลี่น่าจะไม่รู้เรื่อง แต่นางก็เหมือนฉู่ไฉ่เวยที่เป็นคนง่ายๆ และไม่กลัวอะไรทั้งนั้น

ทุกคนในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ตอบโต้ในลักษณะเดียวกัน คือถอยไปข้างหลังสองสามก้าวพร้อมกัน ราวกับว่าพวกเขากำลังหลีกเลี่ยงสงครามระหว่างงูกับแมงป่อง

เหมียวโหย่วฟางย่อตัวลงและครุ่นคิดอยู่คนเดียว ‘โอ้ เง็กเซียน เหตุใดลิงที่ควรตายไปแล้วจึงมาอยู่ที่นี่?’

‘ลิงตัวนี้มีที่มาอย่างไร?’

มู่หนานจือขมวดคิ้ว คาดเดาตัวตนของลิงอย่างคร่าวๆ

นางไม่เคยเห็นผู้พิทักษ์หยวนมาก่อน แต่นางรู้ว่ามีตัวเช่นนี้อยู่จากปากของไป๋จี ตามข้อมูลของไป๋จี มันเป็นลิงที่น่าสนใจมาก แต่นางลืมไปแล้วว่าเหตุใดมันถึงน่าสนใจ

แต่นางคาดเดาไปแล้วว่ามันน่าจะเป็นลิงตัวนี้

ยังมีคนที่ไม่รู้จักผู้พิทักษ์หยวนอยู่อีก ได้แก่ อารองสวี่ อาสะใภ้ จีไป๋ฉิง พี่น้องตระกูลสวี่ อาซูหลัว หวางซือมู่ จงหลี ฮว๋ายชิ่ง ลี่น่าและพี่น้องจากหอคณิกา

“ลิงมาแล้ว…”

ไป๋จีเงยหน้าขึ้นมองจักรพรรดินีแล้วพูดอะไรบางอย่างเสียงแผ่วเบา

“ไม่เป็นไร เจ้าอาณาจักรของเราอยู่ที่นี่แล้ว ไม่มีใครทำอะไรกับเผ่าพันธุ์ปีศาจของพวกเราในอาณาจักรหมื่นปีศาจได้” จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางยิ้มมุมปากและส่งกระแสจิตบอก

นางคาดหวังว่างานวิวาห์ของสวี่หนิงเยี่ยนจะมีเหล่าปีศาจมาเต้นระบำรำฟ้อนกันอย่างดุเดือด ซึ่งน่าสนใจมาก นางเลยยืมร่างของเย่จีมาเพื่อร่วมสนุก

เมื่อเห็นผู้พิทักษ์หยวนปรากฏตัว นางก็รู้ว่านี่คือกระบวนท่าสังหารของสวี่หนิงเยี่ยน แต่ไม่สำคัญหรอก นางมาที่นี่เพื่อร่วมสนุก นางไม่สนหรอกว่าใครต้องอับอาย

‘ลิงตัวนี้มีที่มาอย่างไร ดูเหมือนพวกเจ้าจะกลัวมันมาก’

อาซูหลัวส่งกระแสจิตถึงสมาชิกพรรคฟ้าดิน

ผลงานในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตระกูลของผู้พิทักษ์หยวนเป็นเพียงเชื้อสายเผ่าพันธุ์ปีศาจที่ไม่โดดเด่น พวกเขาย่อมไม่อยู่ในสายตาของอาซูหลัวผู้สง่างาม

หลังจากเขากลับคืนสู่บัลลังก์แล้ว เขาก็ไม่เคยติดต่อกับผู้พิทักษ์หยวนเลยสักครั้ง

สมาชิกพรรคฟ้าดินแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินและไม่บอกอะไรเขา

ในหมู่สมาชิกพรรคฟ้าดินนั้น ฮว๋ายชิ่งไม่เคยรับมือกับลิงมาก่อน นางเองก็สับสนพอๆ กับอาซูหลัว

สวี่ชีอันพาซุนเสวียนจีกับผู้พิทักษ์หยวนไปยังที่นั่งของพวกเขา แล้วเอ่ยถามหลี่หลิงซู่ด้วยรอยยิ้ม

“คำถามของเจ้าคืออะไร?

หลังจากพูดจบ เขาก็มองไปยังผู้พิทักษ์หยวนและดวงตาสีฟ้าของผู้พิทักษ์หยวนก็ตรวจสอบหลี่หลิงซู่ทันที

ทันใดนั้น หลี่หลิงซู่ก็นึกถึงความกลัวตอนถูกผู้พิทักษ์หยวนครอบงำและความละอายใจที่ต้องเล่าอดีตอันน่าอับอายในที่สาธารณะ

เขาหรี่ตาลง หยุดคิดและเลิกคิดทุกสิ่งทุกอย่าง

มนต์สะกดของลิงตัวนี้ทรงพลังมากจนสามารถมองทะลุแม้แต่ระดับเหนือมนุษย์ ตอนนี้เทพบุตรอยู่ขั้นสี่และไม่ว่าจะคิดอะไรก็จะถูกบันทึกไว้

ถ้าเขาเป็นสวี่หนิงเยี่ยน ตอนนี้ ความคิดเรื่อง ‘การแก้แค้น’ จะผุดขึ้นมาในใจอย่างไม่อาจควบคุมได้และไม่สามารถซ่อนเรื่องนี้จากผู้พิทักษ์หยวนได้

แต่เขาไม่เต็มใจที่จะละทิ้งโอกาสนี้ เทพบุตรกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงที่ลืมไม่ลง

“ระหว่างท่านราชครูกับหลินอัน เจ้ารักคนไหน เจ้าเลือกได้เพียงคนเดียวเท่านั้น”

ระหว่างกระบวนการนี้ เขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อควบคุมความคิดตัวเองและพูดอีกครั้ง “สวี่หนิงเยี่ยนเป็นน้องชายต่างแม่ของข้า”

ทุกคนหันไปมองสวี่ชีอัน รวมถึงวีรสตรีสองคนด้วย

แต่สวี่ชีอันไม่ตอบ เขามองไปที่ผู้พิทักษ์หยวน

ผู้พิทักษ์หยวนพูดโดยไม่แสดงอารมณ์

“หัวใจของเทพบุตรบอกข้าว่า สวี่หนิงเยี่ยนเป็นน้องชายต่างมารดาของเขา”

‘ฟู่’…หลี่หลิงซู่รู้สึกโล่งใจ

“พี่น้องต่างแม่เชียวรึ? ลูกพี่ เพื่อจะได้ไม่ต้องเผยความในใจของเขาต่อหน้าลิง เขาไร้ยางอายได้ขนาดนี้เชียวรึ? ไม่ดีแล้ว! เลิกคิดอะไรบ้าๆ ได้แล้ว” หลี่เมี่ยวเจินบ่นถึงลูกพี่โดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อนึกถึงพลังเหนือธรรมชาติของผู้พิทักษ์หยวนได้ ก็เลิกคิดทันที

แต่ครู่ต่อมา นางก็ได้ยินผู้พิทักษ์หยวนที่กำลังจ้องมองนางพูดออกมาช้าๆ

“พี่น้องต่างแม่เชียวรึ? ลูกพี่ เพื่อจะได้ไม่ต้องเผยความในใจของเขาต่อหน้าลิง เขาไร้ยางอายได้ขนาดนี้เชียวรึ? ไม่ดีแล้ว! เลิกคิดอะไรบ้าๆ ได้แล้ว”

มังกรหมอบทำหน้าตาเขินอาย ส่วนหงส์เพลิงวัยกระเตาะก็เปลี่ยนจากหน้าสีชมพูระเรื่อมาเป็นสีแดง

จู่ๆ ผู้พิทักษ์หยวนก็หันไปมองหลินอันแล้วพูดว่า

“ยัยคนน่าชังฮว๋ายชิ่ง นังราชครูแล้วยังหลี่เมี่ยวเจินผู้นี้อีก พวกนางต้องอยากก่อเรื่องในวันวิวาห์ของข้าแน่ แล้วอย่างไรล่ะ? สุนัขรับใช้เป็นของข้าแล้ว ไม่มีใครเอาไปจากข้าได้”

หลินอันที่นั่งตัวตรงและกำลังสงวนท่าที จู่ๆ ก็ตัวแข็งทื่อและมองผู้พิทักษ์หยวนอย่างไม่เชื่อสายตา ไม่กี่วินาทีต่อมา ใบหน้ารูปไข่กลมๆ ของนางก็แดงก่ำเหมือนห้อเลือด ทว่าดวงตาของนางกลับขุ่นมัว

ท่านราชครูกับหลี่เมี่ยวเจินหันไปจ้องมองหลินอัน ในขณะที่ฮว๋ายชิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยดวงตามึนงงสงสัย

บรรดาผู้ที่รู้ถึงพลังเหนือธรรมชาติของผู้พิทักษ์หยวนต่างหันไปจ้องมองหลินอันด้วยความสงสาร

“ฮ่าฮ่าฮ่า ฆ้องเงินสวี่ยิงธนูปักเท้าตัวเองแล้ว เขาลืมไปแล้วหรือว่าไม่สามารถควบคุมการอ่านใจของผู้พิทักษ์หยวนได้ ตอนนี้เจ้าสาวไม่มีหน้าไปพบใครแล้ว…”

เหมียวโหย่วฟางเกือบหัวเราะออกมาดังๆ แต่แล้วเขาก็เห็นผู้พิทักษ์หยวนเอียงคอมองดูเขา และพูดช้าๆ

“เหมียวโหย่วฟาง หัวใจของเจ้าบอกข้าว่า: ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฆ้องเงินสวี่ยิงธนูปักเท้าตัวเอง เขาลืมไปหรือว่า ไม่สามารถควบคุมการอ่านใจของผู้พิทักษ์หยวนได้? ตอนนี้เจ้าสาวไม่มีหน้าไปพบใครแล้ว”

ผู้พิทักษ์หยวนเปิดเผยเนื้อหาการอ่านใจต่อหน้าสาธารณชน

‘เหตุใดทุกคนถึงอยากอ่านใจข้านักนะ?’…รอยยิ้มของเหมียวโหย่วฟางมลายหายไปช้าๆ เมื่อพบว่าทุกคนจ้องมองเขาด้วยสายตาประหลาดใจระคนสงสาร

พอหันไปมองฆ้องเงินสวี่อีกครั้ง ก็เห็นแววตาเย็นเยียบราวใบมีด

“ข้า…ข้าต้องขอตัวกลับก่อน…” เหมียวโหย่วฟางก้มศีรษะลง เขาตกใจยิ่งนัก

สวี่หลิงเยวี่ยออกจะประหลาดใจ ‘ลิงตัวนี้อ่านใจได้รึนี่? เช่นนั้นเมื่อครู่คงเป็นใจจริงของหลินอัน ฮ่า ช่างโง่เขลานัก นางคิดว่าคนที่สนใจพี่ใหญ่มีเพียงท่านราชครู ฝ่าบาทกับหลี่เมี่ยวเจินเท่านั้นรึ?’

‘ตอนอยู่บ้าน ป้ามู่ก็ยังหน้าด้านคิดถึงพี่ใหญ่อย่างไร้ยางอาย แล้วยังมีจงหลีที่ชอบแกล้งทำเป็นอ่อนแอน่าสงสารอีก ข้าไม่เชื่อว่านางจะไม่คิดชื่นชมพี่ใหญ่ของข้า ลี่น่ากับฉู่ไฉ่เวยที่รู้จักแต่เรื่องกินไม่มีสมองคิดอย่างอื่นก็ยังน่าวางใจกว่าเลย แม้องค์หญิงหลินอันจะใจแคบเกินไปแต่ยังรับมือได้ง่าย… เดี๋ยวนะ ลิงอ่านใจได้ ข้า…ข้า…ข้าไม่ได้คิดอะไรเลย…’

ใบหน้างดงามของสวี่หลิงเยวี่ยซีดเผือดลง นางจ้องไปที่ผู้พิทักษ์หยวนที่อยู่ใกล้ๆ

ผู้พิทักษ์หยวนพยักหน้าให้นาง ราวกับจะบอกว่า…ข้าจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวัง

“หัวใจของสตรีนางนี้บอกข้าว่า . . .”

หลังจากที่ผู้พิทักษ์หยวนพูดจบ ในห้องวิวาห์ก็มีแต่ความเงียบงัน

ทุกคนหันไปมองสวี่หลิงเยวี่ย รวมถึงตัวหลินอัน ลี่น่าและฉู่ไฉ่เวยผู้มีจิตใจเรียบง่ายที่ถูกสวี่หลิงเยวี่ย ‘ดูถูก’ ด้วย

มีเพียงสวี่หลิงอินเท่านั้นที่ยังคงกินถั่วลิสงและเกลือกกลิ้งไปมาอย่างมีความสุข

ใบหน้าซีดเซียวของสวี่หลิงเยวี่ยค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง หูของนางแดงแจ๋ ริมฝีปากของนางสั่นระริก นางพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเทาว่า

“ข้า…ข้าไม่สบาย ข้าจะกลับห้องไปพักผ่อนก่อน”

นางก้มหน้างุดแล้วเดินจากไป

ก่อนที่ผู้พิทักษ์หยวนจะอ้าปากพูดอะไร ฮว๋ายชิ่งก็มีปฏิกิริยาเกือบจะเหมือนกับสวี่หลิงเยวี่ย นางรู้แล้วว่านี่คือลิงที่สามารถอ่านใจคนได้ แต่นางก็คิดขึ้นได้โดยไม่รู้ตัว

‘สวี่หนิงเยี่ยนอยากใช้ลิงตัวนี้เพื่อขัดขวางสถานการณ์ตอนนี้รึ? เขาทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อวิวาห์กับหลินอัน ไม่แปลกใจเลยที่ลั่วอวี้เหิงหยุดพูดทันทีที่ลิงตัวนี้เข้ามาถึง ดูเหมือนว่านางจะประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่มาแล้ว’

‘อย่างไรเสีย พวกเขาก็เป็นเซียนครองพิภพ พวกเขาทั้งคู่ได้วิวาห์กับคู่รักใหม่ แต่นางก็ไม่ได้สร้างความยุ่งยากอะไรมากนัก ความสามารถในการต่อสู้ของนางยังไม่ดีเท่าเด็กหญิงตัวเล็กๆ อย่างสวี่หลิงเยวี่ยเลยด้วยซ้ำ…’

‘อ๊ะ’…ฮว๋ายชิ่งใจตกไปถึงตาตุ่ม

ผู้พิทักษ์หยวนมองดูฮว๋ายชิ่งเหมือนเขากำลังจะทุบขวด

“หัวใจของฝ่าบาทบอกข้าว่า…”

จากนั้น ทุกคนก็จ้องมองฮว๋ายชิ่งด้วยความสงสาร แต่ไม่ใช่ลั่วอวี้เหิง สายตาของท่านราชครูเย็นชาราวกับน้ำค้างแข็ง

“ฝ่าบาทยังมิได้ประทับบนบัลลังก์อย่างมั่นคง ทรงคิดที่จะสละราชบัลลังก์เพื่อเห็นแก่ผู้ที่สมควรหรือไม่?”

“…”

ฮว๋ายชิ่งหายใจเข้าลึกๆ มองผู้พิทักษ์หยวนอย่างลึกซึ้งแล้วเดินจากไป

‘นี่คือลูกสาวของข้ารึ? นี่คือหลิงเยวี่ยหรือนี่?’ นี่เป็นความคิดเดียวที่หลงเหลืออยู่ในใจของอาสะใภ้กับอารอง

ในเวลานี้ ผู้พิทักษ์หยวนมองไปที่จีไป๋ฉิง ดวงตาสีฟ้าของเขามองทะลุเข้าไปในใจผู้คน

“หัวใจสตรีบอกข้าก่อนแล้ว ข้ารู้มานานแล้วว่าคนที่รับมือได้ยากที่สุดในครอบครัวนี้คือหลิงเยวี่ย นางบอกว่าจริงๆ แล้วมู่หนานจือชื่นชมหนิงเยี่ยน ผู้หญิงคนนี้แม้จะอายุเท่าข้า แต่ก็ยังสนใจลูกชายของข้า ช่างน่ารังเกียจจริงๆ!”

จีไป๋ฉิงเซด้วยความตกใจ เขินอายและใจสั่น แต่ใบหน้ายังฝืนยิ้มอยู่

“ข้าเหนื่อยแล้ว ข้าจะกลับห้องไปพักผ่อนก่อน”

สวี่หยวนซวงดึงน้องชายของเขาและติดตามมารดาของเขาไปด้วยสีหน้าตกตะลึง

“พวกเราก็ขอตัวก่อนเหมือนกัน”

พวกเขาไม่มีฐานตบะที่แข็งแกร่งจนสามารถบังคับความคิดของตัวเองได้ พวกเขามักคิดอะไรฟุ้งซ่านโดยไม่รู้ตัวอยู่เสมอ

มู่หนานจือกัดฟันแล้วพูดว่า

“ข้าก็จะกลับห้องแล้ว!”

นางกลัวว่าจะไม่สามารถควบคุมคำพูดสาปแช่งและถ้อยคำหมิ่นเหม่ในใจได้ ซึ่งนี่มีแต่จะทำให้นางเสียหน้าหนักขึ้น

‘เหตุใดหลิงเยวี่ยจึงจัดการได้ยากที่สุดในตระกูลสวี่ เห็นได้ชัดว่านายหญิงของตระกูลเป็นคนที่โหดเหี้ยม เจ้าเล่ห์และเก่งในเรื่องกลอุบาย’…หวางซือมู่คิดเรื่องนี้จากจิตใต้สำนึก

จากนั้นร่างกายบอบบางของนางก็สั่นสะท้านและพูดจาตะกุกตะกัก

“ขะ…ข้าไม่ได้พูดอะไร ข้าไม่ได้พูดอะไรเลย”

ทุกคนอดไม่ได้ที่จะมองไปยังคุณหนูใหญ่หวาง แล้วมองไปที่ผู้พิทักษ์หยวน…นางพูดอะไรรึ?

ดวงตาของผู้พิทักษ์หยวนเป็นสีฟ้าและชัดเจน เขาพูดทวนความคิดของหวางซือมู่อย่างไม่อินังขังขอบสิ่งใด

อาสะใภ้ตกตะลึงและมองดูลูกสะใภ้ในอนาคตด้วยความไม่เชื่อ เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวดีกับนางมาก

‘มันจบแล้ว’…หวางซือมู่เหลือบมองสวี่เอ้อร์หลางอย่างสิ้นหวัง ปิดหน้าร้องไห้แล้ววิ่งออกจากห้องวิวาห์

‘เวรกรรมจริงๆ’…สวี่เอ้อร์หลางวิ่งตามออกไป

‘ดูเหมือนลิงตัวนี้จะบำเพ็ญพลังจิตของเขาแล้ว การมองทะลุมนุษย์ที่อ่อนแอเหล่านี้ย่อมไม่ใช่ปัญหา แต่ในฐานะที่ข้าอยู่ขั้นสอง เขาไม่สามารถมองทะลุข้าได้’…ดวงตาของอาซูหลัวสว่างราวกับไฟ เขาเดาได้แล้วว่าผู้พิทักษ์หยวนบำเพ็ญอยู่ที่สำนักพุทธ

เขายิ้มมุมปากและพบว่ามันน่าสนใจมาก เมื่อเขามองไปที่สมาชิกพรรคฟ้าดิน อยู่ๆ เขาก็นึกถึงความเงียบของคนพวกนั้น

‘เมื่อกี้ที่พวกนั้นไม่บอกข้าเพราะพวกเขาอยากให้ลิงอ่านใจข้า ป้องกันไม่ให้ข้าลงจากเวที โอ้ นอกจากหมายเลขหกเหิงหย่วนที่ถูกสำนักพุทธล้างสมองแล้วในพรรคฟ้าดินไม่มีคนดีอยู่เลยรึ เขาเข้าใจข้าเพียงเล็กน้อย อาจเป็นเพียงร่องรอยพลังจิต คิดว่านี่จะทำให้ข้าสะดุดรึ? ไร้เดียงสาจริงๆ’…ขณะที่ความคิดของเขาสั่นไหว อาซูหลัวก็เหลือบมองดวงตาสีฟ้าของผู้พิทักษ์หยวนที่จ้องมองมาที่เขา

ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินลิงพูดว่า

“ดูเหมือนลิงตัวนี้จะบำเพ็ญพลังจิตของเขาแล้ว การมองทะลุมนุษย์ที่อ่อนแอเหล่านี้ย่อมไม่ใช่ปัญหา แต่ในฐานะที่ข้าอยู่ขั้นสอง เขาไม่สามารถมองทะลุข้าได้…”

หลังจากท่องจบ ก็เห็นสีหน้าหม่นหมองของอาซูหลัว ผู้พิทักษ์หยวนกลับมีสีหน้ามุ่งมั่น ราวกับว่าเขาได้ตระหนักถึงการเสียสละอย่างกล้าหาญแล้วเมื่อก้าวเข้าไปในห้องวิวาห์

อาซูหลัวจากไปอย่างเงียบเชียบ

ในเวลานี้ ทุกคนในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ได้ถอยกลับไปที่ห้องด้านนอก ประสานมือคารวะแล้วพูดว่า

“ฆ้องเงินสวี่ ข้าขอตัวกลับก่อน ไม่ต้องส่ง!”

เมื่อเกิดเรื่องไม่คาดฝัน ผู้คนกลุ่มหนึ่งก็รีบแยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็ว

‘จะเสียหน้าไม่ได้’…จูกว่างเสี้ยวกับซ่งถิงเฟิงรีบติดตามสมาชิกกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ไป รีบหนีไปด้วยความตื่นตระหนกก่อนที่ลิงจะมองมาที่พวกเขา

ด้วยใบหน้าถมึงทึง อาสะใภ้ก็อุ้มเสี่ยวโต้วติงขึ้นมาจากเตียงแล้วจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ

ในตอนนี้อารองหนีไปนานแล้ว เขากลัวว่าจะอดไม่ได้ ต้องคิดถึงวิธีใช้ส้มเขียวหวานที่ถูกต้อง

ดังนั้นจึงไม่เหมาะที่จะอยู่ที่นี่นานๆ

‘ห้องวิวาห์สร้างปัญหา ข้าไม่รู้ว่ามีกี่คนที่ไม่สามารถอยู่ได้ สวี่หนิงเยี่ยนสังหารศัตรูไปหนึ่งพันคนและประสบความสูญเสียแปดร้อยครั้ง…หลังจากคืนนี้ ผู้พิทักษ์หยวนไม่อาจอยู่รอดได้อีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงควรหนีกลับไปยังชายแดนตอนใต้’…ฉู่หยวนเจิ่นกับนักบวชเต๋าจินเหลียนยกขวดสุราขึ้นดื่มแล้วจับมือกันเดินจากไป

ในชั่วพริบตา ห้องวิวาห์ที่มีชีวิตชีวากลับว่างเปล่า เหลือเพียงหลี่หลิงซู่ หยางเชียนฮ่วน กับจิ้งจอกที่อุ้มไป๋จีนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้

นอกจากนั้นก็มี ซุนเสวียนจีกับผู้พิทักษ์หยวน รวมถึงหลินอันที่นั่งอยู่ข้างเตียงและยังไม่รอดพ้นจากความตายทางสังคม

พี่ซุนอ้าปากค้างแล้วมองไปยังผู้พิทักษ์หยวน

ผู้พิทักษ์หยวนก้มหัวลง

“ข้าก็ว่าจะหนีไปก่อน แต่ข้าโดนพี่ซุนจับกลับมา…”

ซุนเสวียนจีพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

เพราะเหตุนี้จึงบอกได้ว่าเหตุใดจึงมาช้า…สวี่ชีอันตบไหล่ผู้พิทักษ์หยวน ขณะหยิบดาบไท่ผิงใต้โต๊ะจี้ไปที่เอวลิงและพูดด้วยความสบายใจว่า

“ไม่ต้องกังวลหรอก ฆ้องเงินผู้นี้จะปกป้องเจ้าอย่างดีแน่นอน”

จากนั้น สวี่ชีอันก็มองไปทางหยางเชียนฮ่วนกับหลี่หลิงซู่ แล้วพูดจาพลางแย้มยิ้มน่าหวาดกลัว

“แล้วทั้งสองคนจะเอาอย่างไรต่อ?”

“…”

ไม่มีถ้อยคำใดหลุดออกมาจากปากหลี่หลิงซู่กับหยางเชียนฮ่วน

……………………………………….

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท