ตอนที่ 764 ใครบ้างจะไม่โกรธ
หัวหน้าตระกูลจงจ้องมองฉินหลิวซีด้วยสายตาเคร่งขรึม ดวงตาชราคู่หนึ่งที่มีรอยเหี่ยวย่นวาวโรจน์ นี่คือชายชราผู้ผ่านความยากลำบากมานับไม่ถ้วน แม้กระทั่งเคยสังหารคน
การที่เขาเผยให้เห็นสายตาเช่นนี้ แสดงว่ามีเจตนาโหดเหี้ยม เดิมทีคิดว่าฉินหลิวซีจะหลบเลี่ยงด้วยความตื่นตระหนก แต่คิดไม่ถึงว่านางจะสบตากับเขาโดยตรง ไม่หลบหลีก ดวงตาทั้งสองข้างสุกสว่าง ราวกับสามารถเข้าใจทุกอย่างได้
“ตระกูลจงของพวกเรามีท่านอาจารย์ที่รู้จักอยู่แล้ว ไม่กล้ารบกวนเจ้าอาวาสน้อยท่านนี้หรอก” หัวหน้าตระกูลจงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
เจ้าอาวาสน้อย ก็น้อยสมชื่อจริงๆ มองดูแล้วไม่ถึงยี่สิบปีด้วยซ้ำ แต่ท่าทางกลับไม่ธรรมดาเป็นอย่างมาก
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในช่วงนี้ หัวหน้าตระกูลจงก็ค่อนข้างกังวลอยู่บ้าง
ฉินหลิวซีลดสายตาลง เอ่ยเสียงเรียบ “ท่านหัวหน้าตระกูลต้องคิดให้รอบคอบ บางสิ่งเลี้ยงไปเลี้ยงมาจนกินจุ ให้เท่าไหร่ก็ไม่อิ่มแล้ว เมื่อถึงเวลานั้น คนของพวกท่าน…”
“อวดดี!” หัวหน้าตระกูลจงขัดจังหวะสนทนาของนางด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด เอ่ย “คนอย่างเจ้าเหตุใดจึงได้ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านเช่นนี้!”
ฉินหมิงฉุนตกใจ เมื่อเห็นตาเฒ่าผู้นั้นตำหนิพี่สาวคนโตของตัวเอง ก็สีหน้ามืดครึ้ม กล่าวกับจงจิ้นซื่อว่า “สหายจง ข้าแนะนำพี่หญิงใหญ่ของข้าให้เจ้าด้วยเจตนาดี นั่งรถม้ามาครึ่งวัน กระแทกจนเจ็บก้นไปหมดแล้ว พวกเราไม่ได้มาที่นี่เพื่อถูกตำหนิ ในเมื่อไม่ต้องการความช่วยเหลือจากพี่หญิงใหญ่ของข้า เช่นนั้นพวกเราก็ไม่ขอรบกวนแล้ว พี่หญิงใหญ่ พวกเราไปกันเถิดขอรับ”
จงจิ้นซื่อหน้าซีด เอ่ยอย่างอึดอัด “ไม่ใช่นะ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น นี่…”
ฉินหลิวซียกมือขึ้น เอ่ย “ผู้ศรัทธาจงไม่จำเป็นต้องเอ่ยแล้ว ข้าเข้าใจ เป็นพวกข้าที่ยุ่งเรื่องชาวบ้านจริงๆ ทุกสิ่งล้วนถูกสวรรค์กำหนดไว้แล้ว การฝืนเข้าไปยุ่งนั้น เป็นข้าที่ไม่ถูก ไม่ควรยุ่งเรื่องของคนอื่น ขอตัวก่อน”
เหอะ!
ใครบ้างจะไม่โกรธ!
นางหันหลังกลับ เรียกเด็กๆ ให้ออกจากเรือนหลังนี้ทันที
พวกเขาบอกว่าจะไปก็ไปในทันที เพียงพริบตาก็ไม่เห็นคนแล้ว
จงจิ้นซื่อมองไปยังหัวหน้าตระกูลจง ขมวดคิ้วพลางเอ่ย “ท่านพ่อ ท่านปิดบังอะไรอยู่กันแน่ ท่านเจ้าอาวาสน้อยผู้นั้นยังบอกอีกว่าพลังชีวิตของลูกหลานในตระกูลของพวกเรากำลังหายไป เป็นเพราะเหตุใด หรือว่าพวกเราก็เหมือนกับเหล่าสือชีที่เสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุ?”
หัวหน้าตระกูลจงสีหน้าซีด
จงจิ้นซื่อกลับไม่สนใจเขา รีบวิ่งตามคนออกไป ไหนเลยจะปล่อยให้ฉินหลิวซีและคนอื่นๆ กลับไปเช่นนี้ได้
เมื่อเหล่าจงเห็นว่าทุกคนออกไปหมดแล้ว ก็เลิกคิ้วพลางเอ่ยอย่างเศร้าใจว่า “ท่านหัวหน้าตระกูล สิ่งที่นักพรตหญิงเมื่อครู่กล่าวก็มีเหตุผล เกรงว่าพวกเราจะเลี้ยงจนกินจุ ท่านดูเมื่อก่อนสิ เพียงแค่เอาอายุขัยไปเล็กน้อย แต่ตอนนี้กลับเอาไปแม้กระทั่งชีวิต ซ้ำยังมีพลังชีวิตอีก นานวันเข้า ตระกูลจงของพวกเราจะถูกมันกินจนหมดหรือไม่ ท่านหัวหน้าตระกูล คนไม่เหลือแล้ว ต่อให้ร่ำรวยมากมายแค่ไหนแล้วจะมีประโยชน์อะไรขอรับ”
หัวหน้าตระกูลจงเผยอปาก สีหน้าค่อนข้างหงุดหงิด
อีกด้านหนึ่ง จงจิ้นซื่อได้ตามฉินหลิวซีและคนอื่นๆ ทันแล้ว กล่าวคำพูดดีๆ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เมื่อเห็นว่าสีหน้าของฉินหลิวซีสดใสขึ้นแล้ว จึงถามว่าที่นางเอ่ยเมื่อครู่นี้หมายความว่าอย่างไร
ฉินหลิวซีหันกลับมา มองไปยังวิหารที่อยู่กลางทางขึ้นไปบนภูเขาแห่งนั้น สายตาเคร่งขรึมก่อนจะเอ่ย “สวรรค์นั้นยุติธรรม หากพวกเจ้าเอาอะไรไป ย่อมต้องหาสิ่งอื่นทดแทนกลับคืนมา ข้าเห็นว่าตระกูลจงของพวกเจ้าร่ำรวยมหาศาล เดิมทีคิดว่าเพราะทำกิจการได้ดี แต่เมื่อเห็นบุรุษในตระกูลของพวกเจ้าทยอยสูญเสียพลังชีวิตก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจ จนกระทั่งเจ้าบอกว่าพวกเจ้าบูชากิมเซียมซู…”
“เดี๋ยวก่อน พลังชีวิตนี้คืออะไรหรือ”
พลังชีวิตก็คือพลังงานชีวิต เป็นแก่นแท้ของลมปราณ หากสูญเสียไป ร่างกายก็จะค่อยๆ อ่อนแอลง และเมื่อพลังงานชีวิตหมดลงแล้วก็จะเสียชีวิต” ฉินหลิวซีเอ่ยต่อ “คนเรามีไฟสามดวง พลังงานชีวิตและแก่นแท้ของลมปราณก็เกี่ยวข้องกับไฟทั้งสามดวง หากไฟอ่อนแอก็จะดวงตกได้ง่าย โชคลาภก็จะอ่อนแอลง ความโชคร้ายก็จะเข้ามา และเมื่อไฟดับสนิท พลังชีวิตก็จะหมดสิ้น”
เมื่อจงจิ้นซื่อฟังเข้าใจแล้ว สีหน้าพลันซีดลง “เช่นนั้นเจ้าหมายความว่าพลังงานชีวิตของข้ากำลังค่อยๆ หมดลงหรือ”
“เป็นเช่นนั้นไม่ผิด เมื่อครู่ข้ามองดูมาตลอดทาง ไม่เพียงแต่เจ้า บุรุษในตระกูลเจ้าหลายคนก็เป็นเช่นนี้ เจ้าลองคิดดูว่า เจ้าบอกว่าเมื่อสองเดือนก่อนคนในตระกูลเสียชีวิตไป เป็นการอ่อนแอก่อนแล้วค่อยเสียชีวิตหรือไม่ แล้วคนในตระกูลเมื่อสิบปีที่ผ่านมานี้ ก็เป็นเช่นนี้หรือไม่”
จงจิ้นซื่อเอ่ยตอบ “เนื่องจากปกติข้าศึกษาตำราอยู่ที่สำนักศึกษาเป็นส่วนใหญ่ จึงไม่ค่อยได้พบเจอพวกเขา แต่ฟังจากที่ภรรยาเล่ามา พวกเขาเริ่มจากค่อยๆ อ่อนแอลงจริงๆ แล้วจู่ๆ ก็จากไปในขณะที่กำลังหลับ และสิบปีที่ผ่านมานี้ คนในตระกูลที่อ่อนแอไร้เรี่ยวแรง ล้วนเป็นคนที่อายุเยอะมากแล้ว อายุหกสิบปีก็นับว่าจากไปด้วยดี จึงไม่ได้คิดอะไรมาก มีเพียงเด็กหนุ่มสองสามคนนี้ที่ดึงดูดความสงสัยขึ้นมา” เขาหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย “หรือว่าสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับที่พวกเราบูชากิมเซียมซู”
ฉินหลิวซียิ้มใบหน้านิ่งพลางเอ่ย “ข้ายังไม่ได้เห็นวิหารแห่งนั้น เพียงแต่คาดเดาเท่านั้น ความจริงแล้วหากผู้ศรัทธาจงอยากรู้ความจริง ไม่สู้ไปถามบิดาดู คิดว่าเขาคงจะรู้ดีอยู่แก่ใจ อย่างไรเสียวิหารแห่งนี้เขาก็เป็นสร้างไม่ใช่หรือ”
จงจิ้นซื่อสีหน้ามืดครึ้ม
ฉินหลิวซีหยุดลงเมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ไม่พูดอะไรไปมากกว่านี้อีก เอ่ย “เช่นนั้นพวกเราก็ขอตัวก่อน”
“เดี๋ยวก่อน ท่านเจ้าอาวาสน้อย ไหนๆ ก็มาแล้ว ท่านช่วยข้าดูความลึกลับที่ซ่อนอยู่ในเรื่องนี้ด้วยเถิด” จงจิ้นซื่อรีบรั้งนางไว้ กล่าวว่า “ตระกูลจงของพวกเรา มีจำนวนคนทั้งหมดสามร้อยกว่าคน จะปล่อยให้ตายไปโดยไม่ทราบสาเหตุไม่ได้”
“ข้าไม่ยุ่งเรื่องชาวบ้าน”
จงจิ้นซื่อ “หากควรยุ่งก็ต้องยุ่ง การมาเสียเที่ยวไม่ใช่เรื่องดี เห็นแก่หน้าของน้องชายท่าน ช่วยข้าด้วยเถิด”
เขามองไปยังฉินหมิงฉุนอย่างอ้อนวอน
ฉินหมิงฉุนยังคงโกรธอยู่เล็กน้อย เอ่ยด้วยใบหน้าบูดบึ้งว่า “เห็นแก่หน้าข้าก็ไม่มีประโยชน์ เป็นนายท่านตระกูลสหายจงที่ไม่เห็นแก่หน้าพี่หญิงใหญ่ข้า เขาบอกแล้วว่าไม่ให้พวกเรายุ่งเรื่องชาวบ้าน หากพวกเรายังเข้าไปยุ่ง จะไม่เท่ากับว่าหน้าไม่อายจริงๆ หรือ”
เขาโกรธแล้วจริงๆ และในใจยังรู้สึกผิดต่อพี่หญิงใหญ่อยู่เล็กน้อย อย่างไรเสียพี่หญิงใหญ่ก็ตามมาโดยไม่กล่าวอะไรสักคำ แต่ดูตาเฒ่าผู้นั้นเอ่ยเถิด ช่างน่าโมโหนัก
คิดว่าโกรธไม่เป็นหรือ ซ้ำยังต้องไปเสนอหน้าแก้ปัญหาให้เขาอีกหรือ
ฉินหลิวซีเหลือบมองน้องชายที่เรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเองด้วยความขบขัน การศึกษาเล่าเรียนก้าวหน้าแล้วจริงๆ ดูคำพูดคำจานั่นเถิด
“ใช่ๆๆ เป็นตาเฒ่าของพวกเราที่ไร้มารยาท ข้าขอโทษพวกเจ้าแทนตาเฒ่าด้วย” จงจิ้นซื่อถอยหลังหนึ่งก้าว โค้งคำนับพวกเขาอย่างตั้งใจ
ฉินหลิวซีเอ่ย “ท่านผู้ศรัทธาไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ทุกเรื่องได้ถูกกำหนดไว้แล้ว…”
จงจิ้นซื่อหยิบตั๋วเงินหนึ่งใบออกมาจากแขนเสื้อแล้วยัดใส่มือนาง ยิ้มพลางเอ่ยว่า “นี่คือคำขอโทษเล็กๆ น้อยๆ หวังว่าท่านเจ้าอาวาสน้อยจะไม่ถือสาคนธรรมดาอย่างพวกเรา”
ฉินหลิวซีก้มลงมอง มูลค่าหนึ่งพันตำลึง
คำขอโทษนี้ช่างหยาบคายและเผด็จการเสียจริง
แต่นางชอบเป็นอย่างมาก!
แต่ว่าไม่ควรยุ่งเรื่องชาวบ้านก็ยังคงต้องรักษาไว้ เขาไม่ได้เชิญ เหตุใดจะต้องเป็นคนเสนอ
“ที่บ้านไม่ได้เชิญ ข้ายุ่งเรื่องชาวบ้านมากไปคงไม่ดี” ฉินหลิวซียื่นตั๋วเงินกลับคืนไป
เถิงเจาเงยหน้าขึ้น จากนั้นก็ลดสายตาลง หากนางไม่แสดงสีหน้าเจ็บปวดออกมา เขาก็คงเชื่อคำพูดนี้ไปแล้ว
จงจิ้นซื่อไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร มองฉินหมิงฉุนด้วยท่าทางหน้าสงสาร
เมื่อฉินหมิงฉุนเห็นดังนั้นก็ทนไม่ได้เล็กน้อย แต่คิดได้ว่าสหายร่วมชั้นก็คือสหายร่วมชั้น พี่หญิงใหญ่จึงจะเป็นคนของตัวเอง ศักดิ์ศรีนั้นสำคัญมาก
“ท่านอาจารย์ โปรดรอก่อน”
หลายคนจึงหันกลับไปมอง เห็นเพียงหัวหน้าตระกูลจงสีหน้าซีดขาววิ่งมาอย่างทุลักทุเล คุกเข่าลงตรงหน้าฉินหลิวซีอย่างแรง “ท่านอาจารย์ ขอท่านโปรดช่วยตระกูลจงของข้าด้วยเถิด”