คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 765 กิมเซียมซูขโมยพลังชีวิต

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 765 กิมเซียมซูขโมยพลังชีวิต

ไม่ใช่ว่าหัวหน้าตระกูลจงจะไม่มีความหยิ่งในศักดิ์ศรี ในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็รีบรุดวิ่งออกมา ทั้งคุกเข่าทั้งโขกศีรษะคำนับเชิญฉินหลิวซีกลับไป เพราะเป็นเรื่องเร่งด่วนจริงๆ เนื่องจากมีบางอย่างเกิดขึ้นกับเหลนชายคนโตเชื้อสายหลักคนสำคัญของเขา

จงปั๋วเหวินผู้นี้ก็เป็นหลานชายของจงจิ้นซื่อเช่นกัน ปีนี้เขาอายุเพียงแปดขวบ แต่กลับรู้หนังสือ ฉลาด มีไหวพริบ เป็นเด็กที่โดดเด่นที่สุดในตระกูลจง และรู้ตำรายิ่งกว่าท่านปู่ของเขา แม้แต่ท่านอาจารย์ในสำนักศึกษาก็ยังชมว่าเขาหัวไว ฉลาดมาแต่กำเนิด

และอีกเหตุผลหนึ่งที่หัวหน้าตระกูลจงให้ความสำคัญกับเหลนชายคนโตผู้นี้ไม่เพียงเพราะเขาเรียนหนังสือเก่ง และเป็นเชื้อสายหลักเท่านั้น ในวันที่เขาเกิด บนท้องฟ้ามีแสงเรืองรอง ซึ่งทำให้เขาที่เชื่อเรื่องฮวงจุ้ยยิ่งเชื่อมั่นมากขึ้นว่าเหลนชายคนนี้จะเป็นผู้นำตระกูลจงในภายภาคหน้า

แต่ตอนนี้จู่ๆ ว่าที่ผู้นำคนนี้ก็ล้มลง ลมหายใจรวยริน สิ่งนี้ทำให้หัวหน้าตระกูลจงไม่กล้าปิดบังอะไรอีก รีบออกไปคุกเข่าขอร้องให้ฉินหลิวซีช่วยเขาทันที

เมื่อเทียบกับเหลนชายคนโตคนสำคัญผู้นี้ ศักดิ์ศรีไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

ฉินหลิวซีตระหนักรู้ได้ “ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา เข้าใจแล้ว!”

หัวหน้าตระกูลจงหน้าม่วงคล้ำ ลำบากใจเล็กน้อย

จงจิ้นซื่อกังวลจนน้ำลายแทบจะฟูมปาก เร่งเร้าให้ฉินหลิวซีรีบเดินเร็วขึ้น นั่นคือหลานชายแท้ๆ ของเขาเชียวนะ หลานชายที่มีค่ามากกว่าตัวเขาเอง

อยู่ดีๆ จู่ๆ ก็ล้มลง ไม่เท่ากับเอาชีวิตเขาไปหรอกหรือ

กลุ่มคนรีบไปที่เรือนเล็กของจงปั๋วเหวิน มีคนมุงอยู่ไม่น้อย ข้างในยังมีเสียงร้องไห้ดังออกมา ซ้ำยังตะโกนด่าว่าเหตุใดหมอยังไม่มาเสียที

จงจิ้นซื่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “มีอะไรก็ไปทำ อย่ามาเกะกะอยู่ที่นี่”

คนที่มุงดูต่างแยกย้ายกันไปราวกับนกแตกรัง

จงจิ้นซื่อนำฉินหลิวซีเข้าไปก่อนจะไล่ทุกคนที่อยู่ในห้องออกมา พวกเขามาหยุดที่หน้าเตียงของเด็ก มีสตรีที่สวมชุดสีฤดูใบไม้ร่วงผู้หนึ่งกำลังร้องไห้คร่ำครวญอยู่ข้างเตียง

“หากเกิดอะไรขึ้นกับเหวินเอ๋อร์ ข้าก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว”

หญิงวัยกลางคนที่สวมชุดสีแดงเข้มอีกหนึ่งคนก็ปาดน้ำตาเช่นกัน เห็นจงจิ้นซื่อราวกับเห็นที่พึ่งทางใจ ลุกขึ้นยืนพลางเอ่ยทั้งน้ำตาว่า “นายท่าน ท่านกลับมาทันเวลาพอดี เสี่ยวเหวินเขา…ฮือๆ”

“หยุดร้องไห้ได้แล้ว เจ้าพาสะใภ้เฉิงหลบไปก่อน ให้ท่านเจ้าอาวาสน้อยช่วยดู” จงจิ้นซื่อส่งสัญญาณให้นางกับลูกสะใภ้หลบไป จากนั้นก็มองไปยังฉินหลิวซี “ท่านเจ้าอาวาสน้อย ท่านช่วยตรวจดูหน่อยเถิด”

ฉินหลิวซีได้เดินไปที่ข้างเตียงแล้ว เด็กที่นอนอยู่บนเตียงหน้าเขียว สูญเสียพลังชีวิตอย่างรวดเร็ว ไฟสามดวง ดวงหนึ่งบนไหล่ซ้ายดับลงแล้ว ดวงหนึ่งบนไหล่ขวากำลังจะมอดดับ และดวงไฟบนศีรษะก็อ่อนแรงมาก

“ไฟหยางบนไหล่ซ้ายดับลงแล้ว เขาไปไหนมา” ฉินหลิวซีถามพลางหยิบชาดแดงมาวาดยันต์ลงบนหน้าผากของจงปั๋วเหวิน ที่ไหล่ขวาก็เช่นกัน เพื่อรักษาไม่ให้กลุ่มไฟหยางทั้งสองดับลง

จงจิ้นซื่อมองไปยังลูกสะใภ้ “ลูกไปเล่นที่ไหนมา”

“วันนี้เป็นวันเกิดของเสี่ยวเหวิน พวกหูจื่อก็เลยขึ้นเขาไปกับเขา ใครจะไปรู้ว่าจู่ๆ เขาก็เป็นลม เป็นพวกหูจื่อที่แบกเขาลงมา” สะใภ้เฉิงเอ่ยพลางร้องไห้

หัวหน้าตระกูลจงกล่าวด้วยสีหน้าเจ็บปวดว่า “ไปที่วิหารมา”

ตอนนี้จงจิ้นซื่อรู้แล้วว่าสิ่งที่เรียกว่าวิหารนั้นมีบางอย่างแปลกๆ ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลามาตำหนิบิดา จึงมองไปยังฉินหลิวซี ถามว่า “ท่านเจ้าอาวาสน้อย ท่านบอกว่าไฟหยางดับแล้ว หมายความว่า?”

“ไป่ฮุ่ยรวมกันอยู่ในเตาเผา หยินทั้งสามพาดผ่านไหล่ซ้าย หยางทั้งสามพาดผ่านไหลขวา สิ่งเหล่านี้คือไฟหยางสามดวงของคน ไป่ฮุ่ยหรือไฟบนศีรษะเรียกว่าไฟเสวียนซา หากคนยังมีชีวิตอยู่จะไม่มีวันดับ ไฟนี้สำคัญเป็นอย่างมาก เมื่อดับลง ชีวิตนี้ก็จะจบลง ส่วนไฟหยางสามดวงด้านขวามือคือไฟจี๋ซา ควบคุมการอยู่รวมกันของหยินหยาง เรียกอีกอย่างว่าไฟอู๋หมิง ส่องสว่างที่ส่วนขวาของร่างกายของคน ไฟหยินสามดวงทางด้านซ้ายคือไฟนิ่งซา ขจัดกิเลสตัณหา ตรงข้ามกับไฟอู๋หมิง ส่องสว่างด้านซ้ายของร่างกาย เรียกอีกอย่างว่าไฟหยาง ควบคุมความแข็งแรงหรืออ่อนแอของพลังหยาง พลังหยางอ่อนแอ เสียสตินำไปสู่ความบ้าคลั่ง ในกรณีที่รุนแรง เมื่อเสียสติจะทำลายสมองจนสูญเสียการรับรู้ ไฟหยางของเด็กคนนี้ดับลงแล้ว จึงได้หลับใหลหมดสติ”

“อะไรนะ” สะใภ้เฉิงค่อยๆ ทรุดลง

สะใภ้หลิว ภรรยาของจงจิ้นซื่อถูกร่างของลูกสะใภ้เอนใส่ เกือบจะล้มลงกับพื้น แต่ก็ยังมองดูหลานชายพลางน้ำตาไหล

เถิงเจาหยิบขวดน้ำมันยาออกมาจากตะกร้าด้านหลัง เอาไว้ใต้จมูกของสะใภ้เฉิง จากนั้นก็กดจุดเหนือกลางริมฝีปากของนาง ทันทีที่สะใภ้เฉิงตื่นขึ้นมาก็ร้องไห้คร่ำครวญ เขารีบเอ่ย “อย่าพึ่งรีบร้อง ฟังก่อนเถิดว่าอาจารย์ข้าว่าอย่างไร”

สะใภ้เฉิงรีบเอามือปิดปาก กลัวว่าตัวเองจะส่งเสียงร้องไห้ออกมา

“ท่านพ่อ กิมเซียมซูคร่าชีวิตหมายความว่าอย่างไร” สะใภ้หลิวและคนอื่นๆ มองหัวหน้าตระกูลจงด้วยความสับสน หมายถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ตระกูลของพวกนางบูชาอยู่หรือ

ฉินหลิวซีจับชีพจรให้จงปั๋วเหวิน จากนั้นก็เปิดเปลือกตาของเขาดู

พรึ่บ

ไฟบนไหล่ขวาของเขาดับลงต่อหน้าต่อตานางทั้งอย่างนั้น

ฉินหลิวซีหัวเราะด้วยความโกรธ ช่างตั้งใจแน่วแน่เสียจริง กล้าขโมยพลังชีวิตของเด็กคนนี้ต่อหน้านาง

นางเอาเข็มเงินออกมา ปิดผนึกจุดสำคัญต่างๆ อย่างเช่นจุดกุ่ยกงและจุดกุ่ยซินของจงปั๋วเหวิน จากนั้นก็เพิ่มยันต์อักขระบนใบหน้าของเขา ถามว่า “แปดอักษรเวลาตกฟากของเด็กคนนี้คืออะไร”

หัวหน้าตระกูลจงรีบบอกเสาทั้งสี่และแปดตัวอักษร

ฉินหลิวซีนับข้อนิ้วทำนาย จากนั้นก็มองดูใบหน้าของเด็กคนนั้นที่ซีดเซียวขึ้นเรื่อยๆ เอ่ย “ดาวเหวินฉวี่[1]ลงมายังโลกมนุษย์ ไม่แปลกใจเลยที่ต้องการจะเอาพลังชีวิตของเขา วันนี้ดาวเหวินฉวี่อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง ตำแหน่งของหน้าที่การงานเจริญรุ่งเรือง ขโมยพลังชีวิตของเขาเทียบเท่ากับขโมยโชคลาภของเขา มันอยากจะกลับไปเป็นเซียน ช่างเลอะเลือนเสียจริง!”

ทุกคนได้ฟังดังนั้นก็มึนงงไปหมด

เซียนอะไรกัน เจ้ากำลังพูดถึงเทพนิยายอะไรเหล่านั้นอยู่หรือ

ฉินหลิวซีไม่ได้อธิบายอะไรมากนัก เพียงเอ่ย “ไปทักทายสิ่งที่พวกท่านบูชากันเถิด ข้าจะอธิบายระหว่างทางเดิน อีกอย่างเด็กคนนี้ตกใจจนสลบไป เกรงว่าจะมีดวงจิตดวงหนึ่งตกอยู่บริเวณใกล้กับวิหาร ต้องหากลับคืนมา”

อะไรนะ สูญเสียดวงจิต?

หัวหน้าตระกูลจงเจ็บปวดใจเป็นที่สุด ทั้งหมดเป็นความผิดของเขา เป็นเขาที่โลภมากเพราะความไม่รู้ จึงได้ทำให้เหลนชายต้องมาทนทุกข์ทรมานเช่นนี้

ฉินหลิวซีเอ่ยกับเถิงเจา “เจ้าอยู่เฝ้าไฟบนศีรษะของเขาดวงนี้ อย่าให้มันดับ อยู่สวดบทสวดเทพเจ้าจินกวงอย่างต่อเนื่องให้เขาฟังอยู่ที่นี่เถิด”

เถิงเจารับปาก วั่งชวนก็ถูกทิ้งไว้ที่นี่เช่นกัน

ที่แท้ตอนที่เขาอายุห้าสิบปี ได้บังเอิญพบกับกิมเซียมซูตัวหนึ่งที่สามารถพูดภาษาคนได้ในป่าแห่งหนึ่ง มันอ้างว่าตัวเองเป็นกิมเซียมซูสัตว์ศักดิ์สิทธิ์โบราณในตำนาน สามารถเรียกความมั่งคั่งร่ำรวยเงินทอง ตราบใดที่เขาสร้างวิหารบูชามันก็จะนำความมั่งคั่งมาสู่ตระกูลของเขาอย่างไม่สิ้นสุด

ตอนแรกหัวหน้าตระกูลจงก็ไม่เชื่อ แต่กิมเซียมซูแสดงฤทธิ์ให้เขาเห็นเล็กน้อย เรียกทรัพย์ได้จริงๆ เขาจึงทำตามคำขอร้องของมัน เชิญมันมาที่ตระกูล จากนั้นก็สร้างวิหาร เคารพบูชา และเต็มใจที่จะรับใช้อย่างจงรักภักดี ไม่เพียงแต่ในช่วงเทศกาลวันหยุดเท่านั้น แต่ยังไปบูชาทุกวัน

หลังจากที่บูชากิมเซียมซู ตระกูลจงของพวกเขาก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นมากจริงๆ ทำกิจการอะไรก็มั่นคงไม่ขาดทุน ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น

“ของบูชาคงไม่ใช่แค่เครื่องเซ่นไหว้ธรรมดาหรอกกระมัง” ฉินหลิวซีกล่าวอย่างมีนัยยะ

หัวหน้าตระกูลจงยิ้มอย่างลำบากใจ เอ่ยตอบ “ใช่แล้ว เครื่องบูชาที่มันต้องการคืออายุขัยของบุรุษตระกูลข้า ทุกคนจะถูกเอาไปสิบปี บางคนก็เป็นยี่สิบปี”

“ท่านพ่อ?” จงจิ้นซื่อตกใจ

ดังนั้นลูกพี่ลูกน้องในตระกูลของพวกเขาจึงมีไม่กี่คนที่มีอายุเกินหกสิบปี มีเพียงท่านพ่อ

“ในเมื่อต้องการอายุขัย เหตุใดท่านอายุเจ็ดสิบปีแล้ว แต่คนอื่นๆ …” ไม่รู้ว่าจงจิ้นซื่อนึกอะไรได้ สีหน้าซีดเซียว

[1] ดาวเหวินฉวี่ คือ ชื่อของดวงดาวอันดับที่สี่ในกลุ่มดาวกระบวยใหญ่ (กลุ่มดาวจระเข้) เชื่อว่าเป็นดวงดาวแห่งการศึกษา สติปัญญา ศาสตร์ต่างๆ

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท