บทที่ 309 ปรารถนาจะกลืนกินข้ารึ? ฝันไปเถิด!
กลีบดอกบัวเพลิงที่ถูกปลดปล่อยออกมา บัดนี้กลับผลิบานอีกครั้ง เมื่อใดไม่อาจล่วงรู้ เหนือเกสรดอกบัวนั้น ปรากฏผลบัวสีแดงทองลอยเด่นอยู่
หรือว่า… ดอกบัวเพลิงใกล้สิ้นแล้ว จึงปรารถนาจะทิ้งเมล็ดพันธุ์สืบทอดไว้?
ในใจของผู้อาวุโสคงอันหรือเจ้าอาวาสของพุทธวิหารนั้นเต็มไปด้วยความโศกเศร้า พวกเขาไม่อาจช่วยดอกบัวเพลิงออกมาจากเปลวเพลิงพิสดารได้…
หากรู้เช่นนี้ น่าจะวานให้เจ้าอาวาสองค์ก่อนมาช่วยเหลือ แต่…
เปลวเพลิงสีม่วงพิสดารคิดว่าดอกบัวเพลิงนั้นยอมแพ้แล้ว มันยิ่งดีอกดีใจ เพิ่มไฟเข้าไปอีก สุมเข้าไป! เผามันให้ตายไปเลย!
พอเผามันจนมอดไหม้แล้ว ค่อยดูดกลืนพลังชีวิตมนุษย์ที่นี่ให้หมดสิ้น ที่นี่มีผู้บำเพ็ญมากมาย เมื่อดูดกลืนได้แล้ว มันจะกลายร่างเป็นมนุษย์ได้แน่นอน!
ครั้นถึงเวลานั้นค่อยเผาโลกผู้บำเพ็ญเซียนให้วอดวาย แล้วที่นี่จะเป็นโลกของข้าแต่เพียงผู้เดียว!
ทว่าเปลวเพลิงม่วงที่หลงระเริงอยู่ในจินตนาการของตน กลับไม่ทันสังเกตว่าเมล็ดบัวน้อย ๆ ที่ดอกบัวเพลิงกำลังเลี้ยงดูอยู่นั้น ได้ก่อเกิดกลีบดอกเล็กจิ๋วขึ้นมาหนึ่งกลีบ สองกลีบ สามกลีบ…
กลีบดอกนั้นมีสีทองอร่ามแซมแดง ต่างจากดอกบัวเพลิงสีม่วงที่ดูดกลืนเปลวเพลิงม่วงเข้าไป นอกจากรูปทรงที่เหมือนกันแล้ว ส่วนอื่นล้วนแตกต่างโดยสิ้นเชิง!
“แฝดของดอกบัวเพลิงงั้นรึ?”
ครู่หนึ่งขุนเขาอันเงียบสงัดพลันสั่นสะเทือน ราวกับว่าแม้แต่สวรรค์เองยังเห็นด้วยกับคำทำนายอันศักดิ์สิทธิ์ของศิษย์ทั้งสอง
มิเช่นนั้น เหตุใดแฝดของดอกบัวเพลิงถึงบังเกิดขึ้นพร้อมกันเช่นนี้?
แต่ไหนแต่ไรมา ดอกบัวเพลิงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น และจะผลิดอกออกผลเพียงครั้งเดียวก่อนจะร่วงโรยไป ทว่าบัดนี้ ดอกบัวเพลิงสีม่วงกลับไม่มีทีท่าว่าจะโรยรา แถมยังคงเบ่งบานงดงามยิ่งขึ้น!
ไม่เพียงเท่านั้น กลีบดอกสีทองอร่ามที่ประดับอยู่บนดอกบัวเพลิงสีม่วงก็ค่อย ๆ ผลิบานออกมา เผยให้เห็นประกายแสงสีแดงเพลิงอันร้อนแรงอยู่ภายใน บัดนี้ดอกบัวเพลิงอีกหนึ่งดอกได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว!
และไม่รู้ว่าเมื่อใด รากของดอกบัวเพลิงสีม่วงได้ยึดเกาะกับเปลวเพลิงม่วงอย่างแน่นหนา ส่วนดอกบัวเพลิงสีทองก็ได้เกาะไว้ด้วยเช่นกัน
ดอกบัวเพลิงสีทองดูดซับพลังจากเปลวเพลิงพิสดารราวกับเป็นอาหารชั้นเลิศ
เปลวเพลิงพิสดารเริ่มอ่อนแอลงเรื่อย ๆ แม้แต่การดูดซับพลังชีวิตและพลังวิญญาณขั้นพื้นฐานยังเป็นไปอย่างยากลำบาก
“คิดจะกลืนกินข้ารึ ฝันไปเถอะ!”
เปลวเพลิงพิสดารตัดสินใจสละบางส่วนของแก่นแท้ที่ถูกยึดครองไว้ แล้วหันหลังเตรียมหนีไป มันเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า แต่ดอกบัวเพลิงสีม่วงกลับรวดเร็วยิ่งกว่า
เมื่อปะทะกันคราใด เปลวเพลิงม่วงกลับห่อหุ้มเพลิงพิสดารไว้ได้ทุกครั้งไป!
อุณหภูมิโดยรอบลดลง เปลวเพลิงม่วงมอบแก่นแท้บางส่วนให้กับดอกบัวเพลิงสีทองในมือเจ้าอาวาส จากนั้นจึงหุบกลีบ และลอยละล่องผ่านผู้คนไปหยุดอยู่ตรงหน้าโม่จวินเจ๋อ
เมื่อโม่จวินเจ๋อยื่นมือออกไป เปลวเพลิงม่วงก็หายวับไปในมือของเขา
“นี่ไม่ใช่สิ่งที่เสี่ยวเยว่ต้องการหรือ? ไยเจ้าถึงมาชิงตัดหน้าเล่า!”
นัยน์ตาของเล่อเหอเบิกกว้าง ยกมือขึ้นราวกับจะลูบหัวศิษย์รักของตนสักหน่อย
“ท่านอาจารย์ ข้าเพียงแต่ช่วยนางดูแลชั่วคราว” โม่จวินเจ๋อเองไม่เข้าใจเช่นกันว่าเหตุใดเปลวเพลิงม่วงจึงเลือกเขา คิดแล้วคิดอีกก็ไม่เข้าใจ…
หรือเป็นเพราะครั้งหนึ่งเขาเคยได้หยดโลหิตของหลิงเยว่มาจาก หุบเขาโบราณตะวันตก เปลวเพลิงม่วงจึงเป็นเช่นนี้?
“รีบนำกลับไปให้นางเถิด ข้าจะกลับดินแดนตะวันตกแล้ว”
“ข้าไปเอง ท่านกลับไปเฝ้าสำนักเถิด ภายในสำนักขาดผู้บำเพ็ญขอบเขตฝ่าทัณฑ์สวรรค์ไม่ได้”
เย่ซูเอ่ยจบ ก็หายวับไปทันที
เล่อเหอได้แต่ “…”
โลกภายนอกช่างกว้างใหญ่ ให้เขาอยู่ในม่านพลังสังหารสิบแปดชั้น ยังดีเสียกว่าการกลับไปที่สำนักเสียอีก!
เขาไม่กลับไปหรอก!
เล่อเหอได้แต่บ่นอยู่ในใจ แต่สุดท้ายก็จำใจเดินทางกลับสำนักหลานเทียน เพราะภายในสำนักยังมีบุคคลที่น่าหวาดกลัวกว่าเพลิงพิสดารอยู่ จึงมิอาจประมาทได้
ส่วนชิงยวนและสยงฉีเลวี่ย รวมถึงอดีตอาจารย์ใหญ่สำนักกลั่นโอสถเหอตงและนักกลั่นโอสถอาวุโสก็มิได้เลือกที่จะกลับดินแดนตะวันตกในทันที แต่ตั้งใจที่จะคุ้มกันโม่จวินเจ๋อเป็นการส่วนตัว เหตุเพราะเขายังมีทั้งดอกบัวเพลิงและเปลวเพลิงพิสดารอยู่กับตัว
เจ้าอาวาสคงอันมองดอกบัวเพลิงสีทองอร่ามที่กำลังเติบโตขึ้นในมือ สุดท้ายก็เลือกตามชิงยวนกับคนอื่น ๆ ไป
เมื่อครู่ที่ต่อสู้กับเปลวเพลิงพิสดาร พลังของศิษย์ส่วนใหญ่ถูกดูดกลืนไปจนหมด ระดับการบำเพ็ญก็ลดลง ควรพาไปพักฟื้นที่เมืองฮั่วหยางก่อน แล้วค่อยแจ้งให้อดีตเจ้าอาวาสมารับ จากนั้นค่อยกลับพุทธวิหาร…
พวกเขาเดินทางกลับมาโดยสวัสดิภาพ ระหว่างทางที่โม่จวินเจ๋อย่างกรายเข้าสู่เมืองฮั่วหยาง และได้พบกับเสียมู่ที่มีใบหน้าปูดบวม รอยยิ้มมุมปากของอีกฝ่ายพลันกระตุกโดยไม่รู้ตัว
เขาถูกซ้อมปางตายเช่นนี้แล้วยังไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจในเพลิงพิสดารอีกหรือ?
อดีตอาจารย์ใหญ่ขวางเสียมู่เอาไว้ แน่นอนว่าท่านย่อมรู้ดีถึงสาเหตุที่เขายังคงดื้อรั้นเช่นนี้
เป็นเพราะบุตรสาวที่รักยิ่งของอีกฝ่ายมีแก่นปราณอัคคี เคล็ดวิชา ที่นางฝึกปรือมานั้นคล้ายคลึงกับเพลิงพิสดารยิ่งนัก หากนางกลั่นเพลิงพิสดารได้ มิเพียงแต่ระดับการบำเพ็ญที่ติดขัดมานานปีจะทะลวงผ่านได้เท่านั้น แม้แต่เคล็ดวิชาของนางยังจะก้าวกระโดดไปอีกขั้นด้วย!
หึ! แม้แต่ตัวอดีตอาจารย์ใหญ่เองยังไม่มีเปลวเพลิงพิสดารด้วยซ้ำ แล้วนางจะหวังได้อย่างไร?
สายตาที่อดีตอาจารย์ใหญ่มองอีกฝ่ายนั้นเยียบเย็นขึ้นทุกขณะ
เมื่ออีกฝ่ายรู้สึกถึงอันตราย จึงรีบวิ่งออกจากเมืองฮั่วหยางไปโดยไม่หันกลับมามอง ทว่าเพียงชั่วครู่ เขาก็แอบย่องกลับมา แต่เมื่อเห็นอดีตอาจารย์ใหญ่ยังคงยืนรออยู่ที่เดิม เขาจึงรีบเผ่นหนีไปอีกครั้ง
แม้ว่าเขาจะสู้อดีตอาจารย์ใหญ่ได้ แต่เขาก็ไม่ชอบใช้กำลัง
โม่จวินเจ๋อนำดอกบัวเพลิงสีม่วงมาถึงหน้าประตูห้องบำเพ็ญของหลิงเยว่ ยังไม่ทันที่เขาจะเคาะประตู ดอกบัวเพลิงสีม่วงก็เผาประตูไม้เป็นรูโหว่ขนาดใหญ่และบุกเข้าไปในห้องเสียแล้ว
ชิงยวนและสยงฉีเลวี่ยที่ยืนอยู่หน้าประตู “…”
“รีบร้อนเช่นนี้เลย?”
ประตูไม้ที่ถูกเจาะจนเป็นรูขนาดใหญ่ถูกเปิดออก โดยมีร่างของหลิงเยว่กำลังคลานออกมา
ถูกแล้ว! นางคลานออกมาจริง ๆ!
“ท่านอาจารย์ ท่านมีโอสถฟื้นปราณหรือไม่เจ้าค่ะ ช่วยมอบให้ข้าทั้งหมดเลยเถิด…”
หลิงเยว่เงยหน้าขึ้น ทำเอาสามคนที่ยืนอยู่หน้าประตูตกใจ หากมิใช่หัวใจแข็งแกร่งพอ พวกเขาคงร้องกรี๊ดออกมาแล้ว
“เหตุใดเจ้าจึงเป็นเช่นนี้ได้?”
โม่จวินเจ๋อก้าวเข้ามาประคองหลิงเยว่ขึ้นและป้อนโอสถฟื้นปราณ ให้กับนางหลายเม็ด
มิใช่ว่าหลิงเยว่กำลังเก็บตัวบำเพ็ญเพื่อปรุงโอสถปราบมารหรอกหรือ?
ชิงยวนมอบโอสถฟื้นปราณทั้งหมดที่มี รวมถึงโอสถอื่น ๆ ให้กับหลิงเยว่
“เช่นนั้นรึ เกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร?”
“ดอกบัวเพลิงช่างกินจุเสียจริง”
โอสถฟื้นปราณขั้นเทพสิบกว่าเม็ดยังไม่เพียงพอสำหรับดอกบัวเพลิงสองดอก รู้อย่างนี้แล้วไม่น่าเร่งให้เมล็ดบัวอีกดอกเบ่งบานมาช่วยเลย หากอาศัยดอกบัวเพลิงสีม่วงเพียงดอกเดียว แม้จะยากลำบากสักหน่อย แต่อย่างน้อยก็ไม่น่าจะลงเอยเช่นนี้
“ท่านอาจารย์ ท่านยังมีหินวิญญาณอยู่หรือไม่?”
หลิงเยว่เอ่ยถามอย่างไม่ละอายใจ สายตาพลันเหลือบมองไปยังสยงฉีเลวี่ยที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ไม่ไกล
“ท่านผู้นำสยง ข้าขอยืมหินวิญญาณสักหน่อยเถิด”
สยงฉีเลวี่ยและชิงยวนได้ยินดังนั้นต่างพูดไม่ออก นางช่างกล้าจริง ๆ ครั้งนั้นที่เมืองฝู่ซาง เพียงสุราปราบมารอย่างเดียว นางก็กอบโกยหินวิญญาณไปได้เป็นกองแล้ว ไยถึงยังไม่เพียงพอเล่า?
“เจ้า…”
ชิงยวนอยากเอ่ยถามหลิงเยว่เหลือเกินว่า หินวิญญาณมากมายเช่นนั้น นางเอาไปทำอันใดกันแน่? ทว่าสุดท้ายก็มิได้เอ่ยปาก เพียงแต่มอบหินวิญญาณให้กับนางไป
หลังจากมอบให้หลิงเยว่แล้ว นางก็หันไปมองสยงฉีเลวี่ย
เมื่อถูกสามสายตาจับจ้อง สยงฉีเลวี่ยจึงค่อย ๆ ควักหินวิญญาณออกมา พวกเขาไม่รู้หรือว่ายอดเขาบ่มเพาะกายายากจนขนาดไหน
นางยังกล้ามามาหยิบยืมหินวิญญาณจากข้าอีก!
“ของเจ้าเล่า? ข้าได้ยินนางพูดว่าท่านอาจารย์เล่อเหอก็มาด้วย”
เมื่อถูกถามเช่นนั้น โม่จวินเจ๋อได้แต่ “…”
นางรู้ได้อย่างไรว่าข้าขออะไรกับท่านอาจารย์?
คงจะเป็นดอกบัวเพลิงที่คอยบอกหลิงเยว่อยู่เป็นแน่!
พอโม่จวินเจ๋อเริ่มจะมีเงินเก็บบ้าง ตอนนี้กลับต้องกลายเป็นยาจกอีกแล้ว!
ดูท่าเขาต้องเก็บตัวบำเพ็ญ เพื่อสร้างยันต์และโล่ป้องกันออกมาเสียหน่อย ก่อนหน้านี้… เขาไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะต้องทำสิ่งเหล่านี้ เพื่อหาหินวิญญาณมาเลี้ยงชีพ!