ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 310 สูบหินวิญญาณจนหยดสุดท้าย

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 310 สูบหินวิญญาณจนหยดสุดท้าย

มิใช่แค่โม่จวินเจ๋อ ชิงยวนและสยงฉีเลวี่ยเท่านั้น แม้แต่สหายร่วมสำนักผู้อื่นที่เพิ่งได้รับหินวิญญาณจากครอบครัวมายังถูกสูบจนหมดตัวเช่นกัน

“ข้าคิดว่าศิษย์น้องหลิงจะปฏิเสธเสียอีก” ก่อนจะมาถึง ลู่เป่ยเหยียนได้เตรียมคำพูดเกลี้ยกล่อมหลิวเยว่ไว้มากมาย แต่น่าเสียดายที่เขากังวลไปเอง เมื่อรู้ว่าเป็นหินวิญญาณ ดวงตาของหลิวเยว่กลับเป็นประกายวาววับพร้อมรับหินวิญญาณไว้ในทันที

เมื่อนางกล่าวขอบคุณแล้วมองหินวิญญาณในมือ เห็นทีคงยังไม่พอ…

หินวิญญาณเกือบสี่แสนล้าน นางยังดูถูกว่าน้อยเกินไป ลู่เป่ยเหยียนที่มีชีวิตมาสามสิบปี เขาเพิ่งจะเคยเห็นหินวิญญาณมากมายแบบนี้เป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ!

“เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว หากเป็นศาสตราวุธ ศิษย์น้องหลิงคงไม่รับแน่ แต่ถ้าเป็นหินวิญญาณ นางไม่เคยปฏิเสธ…” ว่านอวี้เฟิงเหลือบมองฮวนฮวนที่ยืนอยู่ข้างกาย แม้แต่หินวิญญาณระดับกลางหลายร้อยก้อนในตัวฮวนฮวนยังถูกกวาดไปจนหมด

ตอนนี้เด็กน้อยกำลังรู้สึกเสียใจยิ่งนัก

ผู่ตานคาดเดาว่าหากตอนนี้แม้แต่แมลงตัวหนึ่งบินผ่าน…

ขณะที่เขาคิดเช่นนั้น หัวหน้าตะขาบมรกตก็ตรงเข้ามาหาด้วยท่าทางองอาจราวกับไม่เกรงกลัวผู้ใด

ขณะที่หลิวเยว่กำลังค้นหาร่างของหู่พั่ว ดวงตาของนางพลันเป็นประกาย วิ่งเข้าไปจับข้อมือของหัวหน้าตะขาบมรกตทันที

“เจ้ายังมีหินวิญญาณเหลืออยู่หรือไม่ ข้าขอยืมหน่อย!”

หัวหน้าตะขาบมรกตสะบัดมือหลิวเยว่ “ข้าจะไปมีหินวิ…”

เมื่อสบตากับหลิงเยว่ หัวหน้าตะขาบมรกตจึงจำใจยื่นหินวิญญาณที่สะสมมาให้ อย่างไรเสียหินวิญญาณพวกนี้ต้องเอาไปซื้อยาแปลงร่างอยู่แล้ว จะให้ช้าหรือเร็วก็ต้องให้อยู่ดี…

“พวกเจ้าไปได้แล้ว ข้าจะเก็บตัวบำเพ็ญอีกสักหน่อย พวกเจ้ารีบไปเตรียมตัวเถอะ รอข้าออกมาแล้วพวกเราจะได้ออกไปตามหาเปลวเพลิงพิสดารกัน”

สหายทั้งหลายได้ยินดังนั้นก็กลับมามีชีวิตชีวา พากันยืนเรียงแถวส่งหลิงเยว่เข้าห้องบำเพ็ญด้วยแววตาปลื้มปีติ จากนั้นพวกเขาจึงแยกย้ายกันไปบำเพ็ญ

ส่วนชิงยวนกับสยงฉีเลวี่ยนั้นวิ่งหายไปนานแล้ว เกรงว่าหากอยู่ต่อหลิวเยว่จะรื้อเอาสมบัติของพวกมันไปจนหมดสิ้น

เรื่องราวการปรากฏดอกบัวเพลิงและเปลวเพลิงพิสดารในทะเลทรายต้องห้ามแพร่สะพัดไปทั่วโลกผู้บำเพ็ญเซียน ดอกบัวเพลิงสีม่วงกับเปลวเพลิงม่วงพิสดารตกเป็นของโม่จวินเจ๋อ ศิษย์สำนักหลานเทียน ส่วนดอกบัวเพลิงสีทองอยู่ในมือพุทธวิหาร

ผู้บำเพ็ญที่รู้ข่าวช้ากว่าจึงพลาดโอกาส แม้แต่ลมก็ไม่ได้สูด อีกทั้งยังเศร้าโศกเสียใจยิ่งนัก

“พวกเจ้าจงดีใจเถิด ผู้บำเพ็ญระดับสูงจำนวนไม่น้อยแทบหนีไม่ทัน ถูกเผาเป็นเชื้อเพลิงไปหมดแล้ว”

“ไม่จริงหรอก พวกเขาลือกันว่าเปลวเพลิงพิสดารนั้นชั่วร้ายนัก ผู้บำเพ็ญหลายคนถูกมันสูบเอาพลังวิญญาณและระดับการบำเพ็ญไปจนหมดสิ้น…”

ผู้บำเพ็ญที่รอดชีวิตกลับมาได้ กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“หรือว่า แม้แต่สัตว์อสูรทะเลทรายก็มิเหลือแล้ว?”

ผู้บำเพ็ญที่มาทีหลังออกไปสำรวจใจกลางทะเลทรายต้องห้าม พบว่าไม่เพียงแต่พืชทะเลทรายเท่านั้นที่หายไป แม้แต่สัตว์อสูรทะเลทรายที่ดุร้ายก็อันตรธานไปจนหมดสิ้น จนกลายเป็นทะเลทรายรกร้างอย่างแท้จริง

ไม่สิ! ยิ่งกว่ารกร้างเสียอีก หากเป็นทะเลทรายอย่างน้อยยังมีก้อนหินและผืนดิน แต่นี่แม้แต่เม็ดทรายก็ถูกเผาผลาญจนหมดสิ้น เหลือเพียงเถ้าถ่านเท่านั้น

เมื่อปราศจากทะเลทรายแล้ว จะยังเรียกทะเลทรายต้องห้ามได้อีกหรือ?

ความร้ายกาจของเปลวเพลิงม่วงพิสดารได้ทำลายรากฐานของทะเลทรายต้องห้ามไปเสียแล้ว…

ผู้บำเพ็ญในดินแดนทางตอนเหนือหลายต่อหลายคน จ้องมองไปยังทะเลทรายต้องห้าม ดวงตาเต็มไปด้วยความปวดร้าว

ผู้บำเพ็ญต่างถิ่นไม่อาจเข้าใจความรู้สึกของพวกเขาได้ พวกเขาจึงเบี่ยงประเด็นไปที่โม่จวินเจ๋อ พร้อมกับเอ่ยถ้อยคำอิจฉาออกมา

“โม่จวินเจ๋อมีแก่นปราณน้ำแข็งและลมที่แปรปรวน เขาน่ะหรือจะควบคุมพลังของเพลิงพิสดารได้อย่างเต็มที่!”

“ใครเล่าจะเทียบได้ ในเมื่อมีอาจารย์ดีเช่นนั้น”

“ปรมาจารย์กระบี่เล่อเหอหาใช่ผู้ใด หากแต่เป็นยอดฝีมือกระบี่แห่งโลกผู้บำเพ็ญเซียน โม่จวินเจ๋อมีอาจารย์แกร่งกล้าเช่นนี้ ไยจะต้องการสิ่งใดมิได้บ้าง?”

“ถึงกระนั้น ปรมาจารย์กระบี่เล่อเหอก็มิอาจคุ้มครองเขาได้ทุกยาม หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน…”

ผู้บำเพ็ญผู้นั้นพลันเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ครุ่นคิดสิ่งใดบางอย่าง หากถูกช่วงชิงไปคงสนุกพิลึก!

ขณะที่ผู้คนกำลังสนทนากันอย่างออกรส บรรดาผู้บำเพ็ญกลุ่มหนึ่งก็เยื้องย่างเข้ามาในเมืองฮั่วหยาง นำโดยเจ้าอาวาสคงอัน ภายในฝ่ามือของท่านกำดอกบัวสีทองไว้

ชั่วพริบตานั้น สายตาของทุกคนในเมืองต่างจับจ้องไปที่ดอกบัวเป็นตาเดียว

นี่คือดอกบัวเพลิงที่เล่าขานกันหรือ…

เจ้าอาวาสคงอันมิได้ปรารถนาจะโอ้อวดเช่นนี้ เพียงแต่ดอกบัวเพลิงนี้ช่างเอาแต่ใจยิ่งนัก คงจะ… มีนิสัยชอบโอ้อวดมิใช่น้อย ไม่อาจทนอยู่ในตันเถียนของท่านได้ แม้แต่ตันเถียนของศิษย์ข้างกายก็ไม่คิดจะเข้าไป ขอเพียงแค่ได้อยู่บนฝ่ามือของท่านก็พอใจแล้ว

กล่าวคือ ในบรรดาผู้คนมากมายนี้ ไม่มีผู้ใดเข้าตาเจ้าดอกไม้นี้เลย

มิใช่สิ ยังมีอยู่อีกผู้หนึ่ง

ดอกบัวเพลิงเคลื่อนกายพุ่งวาบเป็นลำแสงสีทองดุจดั่งดาวตก พุ่งทะยานเข้าไปในจวนเจ้าเมืองทันที

“!!!”

เหล่าผู้ฝึกวิถีพุทธรีบเร่งติดตามไป นั่นคือสิ่งล้ำค่ายิ่งกว่าดอกบัวเพลิงเสียอีก หากกลับไปโดยไร้ซึ่งดอกบัวเพลิง พวกเขาจะถูกลงทัณฑ์เช่นใดกัน?

เหล่าผู้บำเพ็ญที่ชื่นชอบความครื้นเครง เมื่อเห็นดังนั้นก็เร่งติดตามไปยังจวนเจ้าเมืองทันที

เบื้องหน้าจวนเจ้าเมืองที่เคยเงียบสงบ บัดนี้กลับเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย สิ่งที่สะดุดตามากที่สุดคือกลุ่มผู้บำเพ็ญหัวโล้นที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุด

อดีตอาจารย์ใหญ่สำนักกลั่นโอสถเหอตง ทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ของเมืองฮั่วหยาง เอ่ยถามด้วยสีหน้าแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง “เหตุใดพุทธวิหารที่ได้ดอกบัวเพลิงไปครอบครองแล้ว จึงมาเยือนเมืองฮั่วหยางอีกเล่า?”

อดีตอาจารย์ใหญ่แห่งสำนักกลั่นโอสถไม่เชื่อสายตาตนเอง ว่าอีกฝ่ายจะมิได้เห็นประกายแสงสีทองที่วาบขึ้นเมื่อครู่

“นี่คือใบชาโพธิ์ ขอมอบแด่ผู้อาวุโสลู่ หวังว่าท่านจะเมตตาให้ได้เข้าไปในจวนเจ้าเมือง”

อดีตอาจารย์ใหญ่แห่งสำนักกลั่นโอสถรับขวดใบชาด้วยความยินดี เจ้าอาวาสคงอันผู้นี้ช่างรู้จักทำสิ่งที่ถูกต้องเสียจริง

ใบชาโพธิ์หรือ…

เพียงจิบเดียวก็สามารถเข้าสู่สภาวะรู้แจ้งได้แล้ว ใบชาปริมาณมากขนาดนี้คงชงได้ถึงสิบถ้วยเห็นจะได้!

ผู้คนรอบข้างต่างพากันอิจฉาน้ำลายไหล

เมื่ออีกฝ่ายเดินเข้าไปแล้ว เหล่าผู้ฝึกวิถีพุทธที่เหลือก็หลีกทางให้ ก่อนจะยืนรออย่างเงียบ ๆ

เบื้องหน้าประตูไม้ผุพังเป็นรูสองรู ผู้ฝึกวิถีพุทธคนหนึ่งและเด็กชายหัวโล้นต่างยืนจ้องหน้ากัน เมื่อมองดูรูปร่างของรูทั้งสอง คงเดาได้ไม่ยากว่าเกิดจากดอกบัวเพลิงสองดอก

ทว่าทั้งสองมิได้เอื้อนเอ่ยคำใดออกมา เพียงจ้องมองรูรูปดอกบัวทั้งสองนั้นอย่างเงียบงัน

หลิวเยว่ซึ่งกำลังจะเข้าสู่การกลั่นดอกบัวเพลิงสีม่วงและเพลิงพิสดารภายในร่าง กลับต้องชะงักลง เมื่อเห็นดอกบัวสีทองที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน

ยิ่งกว่านั้น นางยังต้องสิ้นหวังยิ่งกว่าเดิม เมื่อโอสถฟื้นปราณระดับเทพที่เพิ่งรับประทานเข้าไป กำลังรั่วไหลออกไปอย่างบ้าคลั่ง เพราะการปรากฏตัวของดอกบัวดอกที่สอง

ห้องหลอมโอสถที่ปิดสนิทถูกเปิดออก ดอกบัวเพลิงถูกโยนออกมา

“ท่านเจ้าอาวาส ข้าฝากดูแลมันด้วย”

ดอกบัวเพลิงที่ถูกโยนออกมา ไม่ทันที่ท่านเจ้าอาวาสจะรับไว้ มันก็เลี้ยวกลับเข้าไปในตันเถียนของหลิวเยว่อีกครั้ง

แม้แต่ตัวหลิวเยว่เองก็ไม่อาจต้านทานได้

พลังวิญญาณของนางกำลังลดลงอีกแล้ว

เมื่อหลิวเยว่ทำสีหน้าสิ้นหวัง ท่านเจ้าอาวาสจึงมีสีหน้าฉงน ดอกบัวเพลิงไม่ชอบแสงบุญอีกแล้วหรือ?

“เอาอย่างนี้ดีกว่า ท่านเจ้าอาวาส ข้าขอรับฝากเลี้ยงดอกบัวเพลิงไว้สักพัก เพียงแต่ว่า…”

“เพียงแต่ว่าอะไรหรือ?” อดีตอาจารย์ใหญ่สำนักกลั่นโอสถเอ่ยถามแทนท่านเจ้าอาวาส

“เพียงแต่ว่าหินวิญญาณที่ใช้เลี้ยงมันมีจำนวนมาก ท่าน…”

พอหลิวเยว่เอ่ยจบ ท่านเจ้าอาวาสคงอันพลันขมวดคิ้วขึ้นมาก่อนใคร

มิใช่ว่ามันชอบแสงบุญที่สุดหรอกหรือ?

“หากพวกมันชอบเพลิงพิสดาร นั่นไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาคือเหตุใดจึงชอบพลังวิญญาณด้วย?”

ขณะที่ท่านเจ้าอาวาสคงอันครุ่นคิดเนิ่นนาน หลิวเยว่กับอดีตอาจารย์ใหญ่ก็รอคอยเนิ่นนานเพียงนั้น

“หากท่านสงสัยในความสามารถของมัน เชิญเรียกศิษย์ข้างนอกเข้ามาเถิด พวกเขามิใช่ว่าถูกดูดกลืนพลังวิญญาณไปแล้วหรือ? ดอกบัวเพลิงสีทองสามารถช่วยฟื้นฟูให้พวกเขาได้”

แท้จริงแล้วท่านเจ้าอาวาสคงอันเริ่มสงสัยในความสามารถของดอกบัวเพลิงสีทอง แต่เพื่อความไม่ประมาท เขาจึงเรียกศิษย์ที่ระดับการบำเพ็ญถดถอยมากที่สุดเข้ามา

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท