บทที่ 820 ประกาศรางวัลนำจับ

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 820 ประกาศรางวัลนำจับ

ท้องฟ้าเพิ่งจะรุ่งสาง บรรยากาศมีความหนาวเย็นเล็กน้อยจากเมื่อคืนนี้ ถนนด้านนอกจวนตระกูลสวี่เปียกชื้น แผ่นกระเบื้องหินก็เปียกโชกไปด้วยน้ำค้าง

ชาวสวนที่ถือผักผลไม้สดเดินผ่านมา เห็นฝูงชนรวมตัวกันอยู่หน้าจวนตระกูลสวี่ก็รีบรุดเข้าไปชื่นชมความสนุกสนาน

“เกิดอะไรขึ้น สามท่านนี้เป็นใครกัน ทำไมถึงถูกแขวนอยู่นอกจวนฆ้องเงินสวี่เล่า?”

ชาวสวนที่มักจะขายผักอยู่บริเวณนี้บ่อยๆ รู้สึกประหลาดใจมาก

“เจ้าไม่เห็นรึ คนทางด้านขวานั่นเขียนไว้อย่างชัดเจน เทพบุตรนิกายสวรรค์หลี่หลิงซู่”

“คนใจคอโหดเหี้ยม เขาอาจจะเกี้ยวพาราสีสตรีสำเร็จแล้วมาทิ้งขว้าง ก็เลยถูกฆ้องเงินสวี่ลงโทษกระมัง”

“นอกจากสองท่านนี้แล้ว อีกคนคือใครกัน ศิษย์ผู้โง่เขลารึ? ไม่เห็นเคยได้ยินเลยว่าฆ้องเงินสวี่ก็มีลูกศิษย์ด้วย”

“จะมีหรือไม่มีลูกศิษย์ก็เหมือนกันนั่นแหละ ไม่เห็นหรือว่าเขียนอยู่ทนโท่ว่าศิษย์ผู้โง่เขลา”

เหมียวโหย่วฟางได้ยินเสียงประณามดังเจื้อยแจ้วอยู่ไม่ไกลก็กล่าวด้วยความโกรธว่า “ทำไมข้าต้องถูกแขวนอยู่กับพวกหมาเห่าใบตองแห้งอย่างพวกเจ้าทั้งสองด้วยนะ”

พวกเขาทั้งสามถูกปิดผนึกเส้นลมปราณและจิตเดิม ทั้งยังถูกพิษทำให้อ่อนแอไปทั่วร่างกาย จึงทำได้เพียงถูกแขวนและทนทุกข์ทรมานกับความอัปยศเช่นนี้

หลี่หลิงซู่ถอนหายใจ “เจ้ารู้จักพอเสียเถอะ พวกเจ้าทั้งสอง คนหนึ่งก็ไม่เปิดเผยหน้า คนหนึ่งก็ไม่ได้ถูกเขียนชื่อ อย่างน้อยไอ้ชาติหมาแซ่สวี่นั่นก็ยังไว้หน้าเจ้าทั้งสอง เฮ้อ เป็นไปตามคาด ข้าเกลียดไอ้ชาติหมานั่น มันก็เกลียดข้าในเวลาเดียวกัน เหมือนกับแม่เหล็กขั้วเดียวกัน เป็นเรื่องจริงไม่ผิดแน่ เฮ้ ศิษย์พี่หยาง ทำไมท่านไม่พูดอะไรเลยเล่า?”

หยางเชียนฮ่วนไม่ตอบโต้อะไร

‘ศิษย์พี่หยางเป็นคนหยิ่งในศักดิ์ศรี คงจะรับไม่ได้กับการแก้แค้นเช่นนี้’…หลี่หลิงซู่คิดในใจ

เวลานี้เอง ชาวบ้านคนหนึ่งก็ชี้ไปที่หยางเชียนฮ่วนและกล่าวว่า “ไอ้คนที่สวมหมวกคลุมนี่ ดูเหมือนจะเป็นโหรของสำนักโหราจารย์ แต่ข้าไม่รู้ว่าชื่ออะไร”

คนที่อยู่ข้างๆ กล่าวว่า “ถอดหมวกเขาออกมาดูสิ”

จากนั้นเขาก็หยุดชะงักครู่หนึ่งแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “สองมือไขว่คว้าดวงดารา ตัวข้าเดินไม่เปลี่ยนชื่อ นั่งไม่เปลี่ยนแซ่ฉันใด ซุนเสวียนจีแห่งสำนักโหราจารย์ก็เป็นฉันนั้น!”

ซุนเสวียนจี? คนล้างผลาญอันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่ง…ชาวบ้านที่เฝ้าดูอยู่รอบๆ ต่างก็จดจำอย่างเงียบๆ

ห้องโถงชั้นใน จวนตระกูลสวี่

อาสะใภ้ตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ หลังจากลวี่เอ๋อแต่งกายให้เรียบร้อยแล้วก็มุ่งหน้าไปรับประทานอาหารที่ห้องโถงชั้นใน

ในขณะที่เดินผ่านบริเวณระเบียงทางเดินก็ได้ยินเสียงเคาะไม้ดังมาแต่ไกล นั่นคือเหล่าบ่าวรับใช้ที่ตื่นแต่เช้ามาซ่อมแซมบ้าน จวนตระกูลสวี่ได้รับการขยายให้ใหญ่ขึ้นแล้ว หลังจากกว้านซื้อบ้านโดยรอบจำนวนหลายหลัง ตอนนี้จวนตระกูลสวี่ครอบคลุมพื้นที่เทียบเท่ากับจวนขององค์ชายและขุนนางชั้นสูงแล้ว

ทั้งสองข้างทางเดินมีสวนดอกไม้ที่ประดับประดาขึ้นอย่างงดงาม

เมื่อเข้าไปในห้องโถงชั้นใน อาสะใภ้ก็กวาดสายตามอง เห็นเพียงลี่น่าและหลิงอินที่กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะกลมและมุ่งความสนใจไปกับการจัดการกับหมั่นโถวนึ่ง ปาท่องโก๋ ซาลาเปาหมูสับและน้ำเต้าหู้ถังใหญ่ที่วางเป็นพะเนินเทินทึก

ความจุในการกินเพิ่มขึ้นอีกแล้ว คนสองคนกินในปริมาณเท่ากับยี่สิบคน…ถึงแม้จวนตระกูลสวี่จะร่ำรวยมั่งคั่งแล้ว แต่เมื่ออาสะใภ้ที่คุ้นเคยกับการทำงานบ้านและดูแลคนในตระกูลได้เห็นฉากนี้ก็ยังรู้สึกปวดใจไม่น้อย

อารองสวี่ต้องเข้าเวรก็เลยออกจากจวนไปนานแล้ว

หลังจากอาสะใภ้นั่งลงแล้วก็จิบน้ำเต้าหู้เล็กน้อย ก่อนจะถามว่า “ทำไมหลิงเยวี่ยและพี่สาวยังไม่มาอีก? ลวี่เอ๋อ เจ้าไปดูหน่อยสิ”

สำหรับคู่บ่าวสาวมือใหม่นั้น นางไม่เคยมีความคิดให้องค์หญิงมาทำพิธียกน้ำชาอยู่แล้ว เพราะไม่มีกฎเกณฑ์ดังกล่าว

ถึงแม้องค์หญิงจะไม่ค่อยมีสิทธิพิเศษมากมายในตระกูลสวี่เพราะหลานชายของนาง แต่องค์หญิงก็คือองค์หญิง ทางด้านการบริหารจัดการครอบครัวของอาสะใภ้ นางยึดมั่นให้อยู่ตามธรรมชาติมาตั้งแต่ไหนแต่ไร

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงความคิดของหวางซือมู่ที่เจ้าลิงนั่นอ่านความคิดของนางออกมาเมื่อวาน

ไม่นึกเลยว่าสะใภ้ในอนาคตคนนี้จะพูดให้ร้ายนางเช่นนี้

เมื่อคืนอาสะใภ้โกรธจนนอนไม่หลับอยู่ค่อนคืน

ลวี่เอ๋อหันหลังเดินออกไป ไม่นานนางก็กลับมาและกล่าวว่า “คุณหนูใหญ่บอกว่าไม่ค่อยสบายเจ้าค่ะ คงไม่ออกมารับอาหารแล้ว ทั้งยังสั่งให้บ่าวนำอาหารเช้าเข้าไปส่งให้ในห้อง ป้ามู่ก็บอกเช่นนี้เหมือนกันเจ้าค่ะ”

“ฮึ่ย ไม่ออกมาก็ไม่ต้องกิน” อาสะใภ้วางตะเกียบลง ก่อนจะสูดหายใจเข้าและหยิบตะเกียบขึ้นมาอีกครั้งพลางกล่าวว่า “ลวี่เอ๋อ ส่งอาหารไปให้พวกนาง”

จิตใจของหลิงเยวี่ยช่างลึกล้ำยิ่งนัก ในท้องเต็มไปด้วยคำพูดให้ร้าย หวางซือมู่คิดชั่วกับแม่ขนาดนั้น ในฐานะที่ข้าเป็นพี่สาวร่วมสาบานย่อมเป็นห่วงหนิงเยี่ยนจริงๆ ถึงแม้ผู้หญิงที่เป็นห่วงเขาจะมีมากมาย ข้าคุ้นเคยกับการเป็นอาสะใภ้เสียแล้ว ว่าแต่พี่สาวอายุเท่าไรกัน?

หากนางชอบหนิงเยี่ยนจริงๆ นางก็ต้องเรียกข้าว่าอาสะใภ้ไม่ใช่รึ? ไร้สาระ! โชคดีที่นางมีรูปลักษณ์ในระดับปานกลาง หนิงเยี่ยนจึงดูถูกนางยิ่งนัก

ถึงอาสะใภ้จะอืดอาดเชื่องช้า แต่อย่างไรก็ไม่ใช่คนโง่ นางขมวดคิ้วด้วยอาการปวดหัว

นี่มันเรื่องอะไรกัน!

ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล

ชายคาลอยเด่น แต่ละชั้นของหอเฮ่าชี่ล้วนมีหอสังเกตการณ์ นกสองตัวเกาะอยู่บนราวระเบียงและส่งเสียงร้องจิบๆ ในดวงตาสีเข้มของมันสะท้อนร่างของชิงอีที่กำลังนั่งอย่างสงบและจิบชาอย่างสบายๆ

‘ตึก ตึก ตึก’…เสียงฝีเท้าเดินขึ้นบันไดดังขึ้น หนานกงเชี่ยนโหรวเข้าไปในห้องชา

นกสองตัวที่เกาะอยู่บนราวระเบียงกระพือปีกบินด้วยความประหลาดใจและหายตัวไปในท้องฟ้าสีคราม

“เจ้าจะควบคุมชี่พิฆาตในร่างของตัวเองได้เมื่อใด จะได้มีหวังกับขั้นสามมากขึ้น”

เว่ยเยวียนเปิดฝาถ้วยน้ำชาออก เทชาหอมคุณภาพสูงพลางส่งสัญญาณให้หนานกงเชี่ยนโหรวเข้านั่งประจำที่

หนานกงเชี่ยนโหรวอยู่จุดสูงสุดของขั้นสี่นานแล้ว แต่การก้าวสู่ขั้นเหนือมนุษย์สามารถพูดได้ว่ายังอีกยาวไกลนัก

“พ่อบุญธรรม เมื่อครู่ข้าได้ยินเรื่องบางอย่างมาด้วย” หนานกงเชี่ยนโหรวจิบชา ในแววตาแฝงไปด้วยการกระเซ้าหยอกเล่นที่หาได้ยาก “มันเกี่ยวกับประเพณีแกล้งบ่าวสาวเมื่อวานนี้ พ่อบุญธรรมคาดการณ์ได้แม่นจริงๆ”

หนานกงเชี่ยนโหรวกล่าวกระซิบว่า “หลังจากพวกเราไปแล้ว คนกลุ่มนั้นก็รุมตอมห้องแต่งงานและเตรียมจะก่อความวุ่นวาย”

เว่ยเยวียนพยักหน้ากล่าวว่า “เป็นไปตามความคาดหมาย หยางเชียนฮ่วนและหลี่หลิงซู่ดูเหมือนจะ ‘อิจฉา’ หนิงเยี่ยนมาก แต่สวี่หนิงเยี่ยนก็ใช่ย่อยเหมือนกัน แต่…”

แต่ลูกไม้เล็กๆ น้อยๆ ของเขาก็คือการกลั่นแกล้งผู้อื่น

สวี่หนิงเยี่ยนคือคนที่เขาพาออกมาด้วยมือตัวเอง เด็กคนนั้นคิดอะไรอยู่ เขาย่อมมองเห็นอย่างทะลุปรุโปร่งและไม่ตกหลุมพรางอย่างแน่นอน

เว่ยเยวียนไม่ได้กล่าวคำพูดเหล่านี้ออกมา เขาเป็นคนไม่อวดฉลาดมาตั้งแต่ไหนแต่ไร

หนานกงเชี่ยนโหรวเลิกคิ้วขึ้นพลางกล่าวว่า “เป็นเพราะเหตุผลนี้ ตอนพิธีแกล้งบ่าวสาวเมื่อคืน สวี่หนิงเยี่ยนพบปีศาจวานรตนหนึ่ง ว่ากันว่าเขาบำเพ็ญพลังจิตถึงขั้นสูงมาก สามารถมองเห็นจิตใจมนุษย์ได้อย่างทะละปรุโปร่ง แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับเหนือมนุษย์ก็ยังไม่สามารถหลบหลีกได้…”

หนานกงเชี่ยนโหรวเล่ารายละเอียดของเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้เว่ยเยวียนฟังอย่างละเอียด

เว่ยเยวียนยิ้มเล็กน้อย สีหน้ายังคงสงบนิ่ง แต่ภายในใจกลับยิ่งฟังยิ่งรู้สึกหนักอึ้ง

เมื่อกล่าวแล้ว หนานกงเชี่ยนโหรวก็กล่าวด้วยความเลื่อมใสอย่างยิ่ง “พ่อบุญธรรม ท่านรู้อยู่แล้วใช่หรือไม่ว่าสวี่หนิงเยี่ยนมีทางหนีทีไล่ ดังนั้นเมื่อคืนหลังจากกินเลี้ยงเสร็จแล้ว ท่านถึงได้พาพวกเราไปจากจวนตระกูลสวี่ ไปจากความถูกผิดของที่นั่น”

‘สามารถมองเห็นจิตใจมนุษย์ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับเหนือมนุษย์ก็ยังไม่สามารถหลบหลีกได้’…ในจิตใจของเว่ยเยวียนเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด แต่ใบหน้ายังคงยิ้มเล็กน้อย

ท่าทางสงบนิ่งเช่นนี้ ทำให้หนานกงเชี่ยนโหรวมั่นใจในการคาดเดาของตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ

“เจ้ารู้ได้อย่างไร?” เว่ยเยวียนถาม

“สิ่งที่ผู้ติดตามทั้งสองของสวี่ชีอันพูด วันนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งที่ว่าการท้องถิ่นแล้วขอรับ” หนานกงเชี่ยนโหรวตอบกลับ

เว่ยเยวียนตอบรับ “อืม” และกล่าวว่า “เจ้าไปทำงานเถอะ”

รอจนหนานกงเชี่ยนโหรวกลับไปแล้ว เว่ยเยวียนก็ถอนหายใจเบาๆ หลังจากดื่มชาหอมกรุ่นด้วยจิตใจที่ยังหวาดผวาจนหมดถ้วย ก็ได้ยินเสียงฝีเท้า ‘ตึก ตึก’ ดังมาจากทางบันไดอีกครั้ง

คนที่เข้ามาครั้งนี้เป็นขันทีคนหนึ่งที่สวมเสื้อคลุมพญางู

“ข้าน้อยขอคารวะเว่ยกงขอรับ”

หลังจากขันทีในชุดคลุมพญางูแสดงความเคารพแล้วก็กล่าวว่า “เช้านี้ฝ่าบาทรงให้คนจับวานรขาวสองตัวที่หนานย่วน ทั้งยังมีพระบัญชาให้บ่าวมาแจ้งเว่ยกงให้ทราบว่าจะเสด็จเข้าวังไปเสวยสมองลิงเป็นมื้ออาหารกลางวันขอรับ”

หนานย่วนคือทุ่งล่าสัตว์ของราชสำนัก

‘ทำให้ฮว๋ายชิ่งโกรธได้ถึงขั้นนี้เลยรึ’…เว่ยเยวียนพยักหน้าช้าๆ “ข้ารู้แล้ว!”

สำนักโหราจารย์

ผู้พิทักษ์หยวนนอนอยู่ริมหน้าต่างและมองดูผู้คนที่ผ่านไปมาด้านล่างตึกอย่างระแวดระวัง

“คนนั้นเดินป้วนเปี้ยนอยู่นอกหอดูดาวมาระยะหนึ่งแล้ว”

ผู้พิทักษ์หยวนหันไปมองซุนเสวียนจี

จากนั้นเขาก็พูดความคิดของซุนเสวียนจีออกมาราวกับถามเองตอบเองอย่างไรอย่างนั้น “นั่นคือพ่อค้าหาบเร่ เขาย่อมเดินป้วนเปี้ยนไปมาอยู่แล้ว เฮ้อ”

ผู้พิทักษ์หยวนพยักหน้าและสังเกตทุกการเคลื่อนไหวด้านนอกอย่างระแวดระวังต่อไป

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็หันไปมองซุนเสวียนจีอีกครั้ง “ข้ามักจะรู้สึกราวกับว่ามีคนต้องการลอบสังหารข้าอยู่ที่นอกหอดูดาวอยู่ทุกหนทุกแห่ง”

ซุนเสวียนจีส่ายศีรษะ

“มีข้าและสวี่หนิงเยี่ยนปกป้องเจ้าอยู่ ไม่มีใครลอบสังหารเจ้าได้หรอก” ผู้พิทักษ์หยวนพูดความคิดของซุนเสวียนจีออกมา แต่ก็ยังไม่ทำให้เขารู้สึกปลอดภัยขึ้น

“แล้วถ้าเป็นโหรในหอดูดาวเองเล่า” ผู้พิทักษ์หยวนกล่าว

เขาทำให้หยางเชียนฮ่วนศิษย์อันดับสามและซ่งชิงศิษย์อันดับสี่ของท่านโหราจารย์ขุ่นเคืองใจ

“อยู่ในห้องข้า อย่าออกไปข้างนอก อย่ากินของที่โหรในหอดูดาวเอาให้เจ้ากิน” ผู้พิทักษ์หยวนอ่านใจเขาจบแล้วก็พยักหน้ารับ “ตกลง! แบบนี้ค่อยปลอดภัยหน่อย”

เขามองออกไปนอกหน้าต่างครู่หนึ่งก็กล่าวด้วยความไม่สบายใจนัก “จะไม่มีใครลอบสังหารข้าได้จริงรึ?”

“ไม่มีหรอก!” ซุนเสวียนจีแสดงความคิดในใจโดยไม่ออกเสียง

ซุนเสวียนจีสะบัดแขนเสื้อเพื่อเปิดประตู

คนที่เคาะประตูคือซ่งชิง ในมือของเขาถือประกาศแผ่นหนึ่ง

เขามองผู้พิทักษ์หยวนด้วยความสงสารแล้วกล่าวว่า “วันนี้มีคนติดประกาศไปทั้งทุกที่ในเมืองหลวง มีเงินรางวัลให้กับปีศาจวานรข้างกายซุนเสวียนจี หนึ่งพันตำลึงสำหรับแขนขาสี่ข้าง สามพันตำลึงสำหรับลิ้น หนึ่งหมื่นตำลึงสำหรับสมองลิง”

…ผู้พิทักษ์หยวนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ราวกับลิงกระดาษที่ไร้ซึ่งชีวิต

มันมองซุนเสวียนจีด้วยความว่างเปล่า ริมฝีปากหนาสั่นเทา

“ข้าอยากกลับซินเจียงตอนใต้!”

เวลาเช้าครู่ เย่จีตื่นขึ้นมาและพบว่าตนเองนอนอยู่ในห้องที่ไม่คุ้นเคย

นางตรวจสอบเสื้อผ้าของตนเองเป็นอันดับแรก ก่อนจะพบว่ามันยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ แต่แล้วก็รู้สึกปวดแสบปวดร้อนบริเวณก้นขึ้นมาในฉับพลัน

“องค์หญิงถูกสวี่หลางตีก้นรึ?”

เย่จีบ่นพึมพำในใจ นางมีประสบการณ์โชกโชนจึงรู้ว่าเมื่อคืนนี้สวี่หลางไม่ได้แตะต้องตนเอง

‘เมื่อคืนท่านหญิงคงจะฉวยโอกาสใช้งานแต่งงานของฆ้องเงินสวี่ในการก่อเรื่องแน่นอน ข้าลืมเรื่องนี้ไปเสียดีกว่า’…นางพลิกร่างไปนอนในท่าที่สบายแล้วหลับตาลงอีกครั้ง

“มีคนประกาศให้เงินรางวัลสำหรับชีวิตสุนัขของผู้พิทักษ์หยวนรึ…ไม่สิ ชีวิตวานร?”

สวี่ชีอันได้รับจดหมาย ‘นกกระดาษ’ จากซุนเสวียนจี ปฏิกิริยาแรกของเขาไม่ใช่การโกรธ แต่เป็น…ข้าได้รับแล้ว!

“วานรทั้งตัวมีมูลค่ารวมหนึ่งหมื่นเจ็ดพันตำลึง ต้องใช้ต้นทุนมหาศาลเช่นนี้เลยรึ ข้าชักจะฮึกเหิมแล้วสิ”

เขาพูดแขวะอยู่ในใจ พลางวิเคราะห์ ‘คนที่บงการ’ ในการติดประกาศนำจับฉบับนี้

“คนที่สามารถติดประกาศรางวัลนำจับนี้ไปทั่วทุกที่ได้อย่างเงียบเชียบ แสดงให้เห็นว่ายังพอมีอำนาจอยู่บ้าง เมื่อวิเคราะห์จากระดับกำลังทรัพย์ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นฮว๋ายชิ่ง มิเช่นนั้นก็เป็นสวี่หลิงเยวี่ยที่แสนดีของข้า นางดูแลบัญชีของตระกูลสวี่ นางก็เป็นเศรษฐีตัวน้อยที่ไม่ยอมศิโรราบ หนึ่งในบรรดาคนที่เสียหน้าร้ายแรงที่สุดเมื่อคืนนี้ แน่นอนว่าหากประกาศนำจับนี้เป็นเพียงการแก้แค้นโดยการข่มขู่ผู้พิทักษ์หยวนให้หวาดกลัว เช่นนั้นคนส่วนใหญ่ในพิธีแกล้งบ่าวสาวเมื่อคืนนี้ก็น่าสงสัยทั้งหมด คนที่ผู้พิทักษ์หยวนทำให้ขุ่นเคืองใจมีมากมายเลยทีเดียว ผู้พิทักษ์หยวนผู้น่าสงสาร”

สวี่ชีอันวางจดหมายนกกระเรียนลง ก่อนจะหันไปมองหลินอันที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียงแล้วส่ายศีรษะ

รอให้หลินอันปลดล็อกท่าทางมากกว่านี้ เขาถึงจะสอนวิชาการบำเพ็ญคู่ให้นางได้

บำเพ็ญพรตไม่เพียงแต่จะทำให้อายุยืนยาวขึ้นเท่านั้น แต่ยังเพิ่มพูนความอดทนอีกด้วย

สวี่ชีอันสวมเสื้อคลุมแล้วเดินไปนอกห้อง เห็นนางกำนัลสองคนกำลังจัดวางอาหารเช้า ใต้ตาของพวกนางมีรอยคล้ำราวกับเมื่อคืนไม่ได้นอนหลับ

เมื่อเห็นสวี่ชีอันออกมา ในแววตาของพวกนางก็ฉายแววหวาดกลัวเล็กน้อย

‘องค์หญิงผู้น่าสงสาร’…เหล่านางกำนัลกล่าวพึมพำในใจ

……………………………………………………………

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท