บทที่ 548 ความตายที่สมควร
แม้อูหย่าจะร้อนใจ แต่นางไม่ใช่คนไร้ปัญญาและไม่ใช่คนไม่รู้จักยั้งคิด อีกทั้งยังทราบดีว่าตอนนี้หากต้องการออกไปนอกเมืองอย่างปลอดภัย ก็มีแต่จำเป็นต้องพึ่งพาอู๋ฝาน ไม่เช่นนั้นแล้วลำพังแค่ตนหาทางออกไป คงไปไม่ทันถึงประตูเมืองก็คงถูกจับกุมหรือตายเสียก่อนแน่
“ก็ได้ ข้าจะฟังเจ้า” อูหย่าพยักหน้าตอบ
เมื่อเห็นหญิงสาวยังคงเชื่อฟัง ชายหนุ่มจึงค่อยโล่งใจ เพราะตนเกรงว่านางจะบุ่มบ่ามออกไป อย่างไรข่าวที่ได้ทราบก็ส่งผลกระทบทางใจแก่นาง สิ่งที่อู๋ฝานทำได้ในเวลานี้มีเพียงแค่ปลอบโยนและเกลี้ยกล่อมให้อีกฝ่ายอยู่อย่างสงบไปก่อน ไม่เช่นนั้นหากปล่อยให้เกิดอะไรขึ้นกับอูหย่า ภารกิจต่อเนื่องของเขาก็คงจะล่มตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่ม
อู๋ฝานมองลั่วเยวี่ย นางพยักหน้าตอบรับพร้อมเดินออกมาคว้ามือของอูหย่าเอาไว้ “พี่หญิงอูหย่า วิทยายุทธที่ท่านสอนให้ข้ายังมีอีกหลายส่วนที่ข้ายังไม่ค่อยเข้าใจ ท่านพอจะช่วยอธิบายให้ข้าฟังอีกครั้งได้หรือไม่เจ้าคะ?”
“ได้สิ” อูหย่าพยักหน้าตอบ
หลังเห็นคนทั้งสองฝึกซ้อมกันต่อ อู๋ฝานจึงออกมาจากห้องของลั่วเยวี่ยไปด้วยใจที่สงบลงได้ พร้อมกลับไปที่ห้องของตัวเอง และฝึกซ้อมการปรุงยาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเทเลพอร์ตกลับไปยังโลกความเป็นจริง
ทางฝั่งโลกความเป็นจริงฟ้ายังคงมืดอยู่ อู๋ฝานไม่ได้รู้สึกง่วงงุนแต่อย่างใด ก่อนจะเร่งรีบลุกขึ้นเพราะมีเรื่องของวังเมฆาสีชาดให้ต้องครุ่นคิด
ตั้งแต่หวงถิงเฟิงขอให้วังเมฆาสีชาดก้าวเข้ามาเกี่ยวข้องและช่วยเหลือ ไม่ว่าอู๋ฝานจะยินดีหรือไม่ก็ตาม ชายหนุ่มก็ได้เข้ามาสู่วังวนแห่งความขัดแย้งนี้แล้ว เว้นแต่เขาจะยอมปิดร้านโลกในแหวน หรือยอมรับความพ่ายแพ้พร้อมไปจากเจียงโจว ไม่เช่นนั้นเรื่องนี้อย่างไรก็ไม่จบ
ปัจจุบันหวงถิงเฟิงและจานเฮ่อต่างก็ตายกันไปแล้ว แต่เรื่องราวจะยังไม่มีทางจบลงอย่างแน่นอน อันที่จริงความตายของคนทั้งสอง มันยิ่งทำให้ความขัดแย้งของอู๋ฝานกับวังเมฆาสีชาดรุนแรงมากขึ้นเสียอีก
โชคดีที่เรื่องเมื่อคืนนอกจากอู๋ฝานกับหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ ทุกคนที่รู้ถึงเหตุการณ์ต่างก็ตายกันไปหมดแล้ว วังเมฆาสีชาดจะไม่มีทางทราบว่าคนเหล่านั้นถูกเขาลงมือสังหาร แต่แน่นอนว่าอย่างไรตนก็ต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัย ทว่าตราบใดที่ไร้หลักฐานและไม่ยอมรับ อีกฝ่ายก็กล่าวหาไม่ได้ แต่ด้วยสไตล์การทำงานของวังเมฆาสีชาดที่ชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่ ต่อให้อู๋ฝานไม่ยอมรับ พวกเขาก็จะยังไม่ยอมเลิกราอย่างแน่นอน
ทว่าอู๋ฝานไม่มีจำเป็นต้องกลัวคนของวังเมฆาสีชาด หากพวกเขาไม่มาสร้างปัญหาตรงหน้า แต่เลือกที่จะฝึกฝนในสำนักกันต่อไปอย่างเงียบ ๆ ก็แล้วไป แต่ถ้ามาสร้างปัญหาให้ ตนก็ไม่มีความจำเป็นต้องกลัวเกรงหรือยอมอ่อนข้อ
หลังฟ้าสาง อู๋ฝานก็มุ่งหน้าไปยังโรงงานเฟอร์นิเจอร์
เมื่อผ่านการสอนมาหลายวัน พวกลู่หรงฮวาและคนอื่นในโรงงานต่างก็เริ่มคุ้นเคยกับโครงสร้างร่องและเดือยมากขึ้น พวกเขาเริ่มเข้าใจในส่วนที่ลึกขึ้น เนื่องจากได้มาสเตอร์เช่นอู๋ฝานเข้ามาช่วยสอนและชี้แนะ ทำให้การเรียนรู้ดำเนินไปได้อย่างรวดเร็ว ในปัจจุบันพวกลู่หรงฮวาจึงไม่ได้ทำเพียงมองชายหนุ่มลงมือ แต่ยังร่วมทำไปด้วย โดยอู๋ฝานจะคอยดูและให้คำแนะนำอยู่บ่อยครั้งตามสมควร
ไม่ใช่ทุกคนจะมีโอกาสได้เรียนรู้กับช่างไม้ระดับมาสเตอร์แบบทีละขั้นตอนเช่นนี้ แม้พวกลู่หรงฮวาไม่ทราบว่าอู๋ฝานมีฝีมือระดับมาสเตอร์ แต่พวกเขาตระหนักว่าระดับของอีกฝ่ายเหนือล้ำกว่าพวกตนเองอย่างเห็นได้ชัด ขณะนี้มีโอกาสได้เรียนรู้จึงไม่มีใครคิดปล่อยให้หลุดมือ ในเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างก็ให้ความร่วมมือกันด้วยดี ความเร็วในการเรียนรู้จึงมีแต่จะสูงขึ้น
“ฉันรู้สึกได้ค่ะ ว่างานฝีมือของอาจารย์ลู่กับคนอื่น ๆ เริ่มดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด” เจ้าหย้าหนานมองพวกลู่หรงฮวาที่กำลังทำงาน พลางบอกกับอู๋ฝานที่ยืนดูอยู่ข้าง ๆ
“ใช่ครับ ต้องดูด้วยว่าใครเป็นคนสอน” อู๋ฝานหัวเราะตอบ
นอกจากสอนพวกลู่หรงฮวาทำเฟอร์นิเจอร์ด้วยโครงสร้างร่องและเดือยแล้ว อู๋ฝานก็ยังไม่ลืมชี้แนะฝีมือส่วนอื่นร่วมไปด้วย ดังนั้นระดับของพวกเขาจึงพัฒนามากขึ้น ความคืบหน้านี้ แม้กระทั่งคนที่ไม่มีประสบการณ์เช่นเจ้าหย้าหนานยังเห็นได้ชัด
“เพราะได้อาจารย์ที่ดีค่ะ แน่นอนว่าคนที่เรียนรู้ก็ยอดเยี่ยมด้วย” เจ้าหย้าหนานยิ้มตอบรับ
ปัจจุบันเธอกำลังรู้สึกว่าโชคดี แม้โรงงานเฟอร์นิเจอร์จะไม่ใช่ของตระกูลเจ้าอีกต่อไปแล้ว แต่การมีอู๋ฝานเพิ่มเข้ามา ก็ทำให้โรงงานแห่งนี้แข็งแกร่งและพัฒนา ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น ถ้ายังเป็นเธอที่คอยจัดการดูแล มันคงเป็นการย่ำอยู่กับที่ แค่ไม่ปิดตัวลงก็ถือว่าดีแล้ว เรื่องการพัฒนาแทบไม่เหลือให้พูดถึง
ตอนนี้เธอกำลังได้เห็นอนาคตอันสว่างสดใสของโรงงานเฟอร์นิเจอร์
“จะถือว่ากำลังชมผมก็แล้วกันนะครับ” อู๋ฝานยิ้มตอบ
“ฉันก็ชมอยู่จริง ๆ นี่คะ” เจ้าหย้าหนานตอบ “จะว่าไปแล้วเรื่องนัดทานอาหารว่ายังไงดี? ถ้ามีเวลาเมื่อไหร่บอกให้รู้นะคะ ฉันจะได้เตรียมการที่บ้านไว้ให้พร้อม”
เรื่องของวังเมฆาสีชาดยังไม่ได้รับการคลี่คลาย ร้านโลกในแหวนก็ยังไม่ได้ฟื้นคืนมาอย่างเต็มที่ ความคิดส่วนใหญ่ของอู๋ฝานกำลังทุ่มเทไปทางด้านนั้นเป็นลำดับแรก
“รู้ค่ะ ก่อนหน้านี้ฉันก็บอกแล้วว่าให้คุณตัดสินใจเรื่องเวลาได้เลย มีเวลาว่างเมื่อไหร่แล้วค่อยบอกฉันก็พอ” เจ้าหย้าหนานตอบรับ
อู๋ฝานพยักหน้า
และขณะนี้เองที่โทรศัพท์ของเขาดังขึ้น เป็นสายที่โทรมาจากหวังจื่อหมิง
ก่อนชายหนุ่มจะทันได้รับโทรศัพท์ ก็พอคาดเดาได้แล้วว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร และบังเอิญว่าตนเองก็มีเรื่องอยากสอบถามอีกฝ่ายอยู่พอดี
อู๋ฝานขอตัวจากเจ้าหย้าหนานเพื่อมารับโทรศัพท์
“อู๋ฝาน เกิดเรื่องแล้ว!” ทันทีที่รับสาย เสียงของหวังจื่อหมิงก็ดังขึ้น น้ำเสียงของอีกฝ่ายค่อนข้างเคร่งเครียด
“เรื่องอะไรเหรอครับ?” อู๋ฝานเอ่ยถาม
“หวงถิงเฟิงกับจานเฮ่อตายแล้ว!” หวังจื่อหมิงตอบกลับ “เพิ่งมีการพบร่างของพวกเขาเมื่อเช้า ข้าง ๆ ก็ยังมีอีกสองศพ เป็นศิษย์ของวังเมฆาสีชาด”
หวังจื่อหมิงโทรมาเพราะเรื่องนี้จริงดังที่คาดเอาไว้
“ครับ ผมทราบแล้ว” อู๋ฝานตอบรับ
“นายรู้?” หวังจื่อหมิงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “อู๋ฝาน …ความตายของพวกเขาเกี่ยวข้องกับนายงั้นเหรอ?”
ทุกคนในเจียงโจวต่างทราบเรื่องข้อพิพาทระหว่างอู๋ฝานและวังเมฆาสีชาด ขณะนี้หวงถิงเฟิง จานเฮ่อ และศิษย์วังเมฆาสีชาดอีกสองคนตายอย่างกะทันหัน อู๋ฝานย่อมตกเป็นผู้ต้องสงสัยรายใหญ่ ไม่ว่าใครก็ต่างคาดเดาได้ ไม่ใช่แค่หวังจื่อหมิงที่คาดเดาแบบนี้เพียงผู้เดียวอย่างแน่นอน
“พวกมันสมควรตายแล้วครับ” อู๋ฝานไม่ตอบคำถามของหวังจื่อหมิงโดยตรง
แต่การไม่ปฏิเสธออกไปตามตรง มันก็เป็นการบ่งบอกให้ทราบทางอ้อม
หวังจื่อหมิงย่อมเข้าใจ ดังนั้นตอนนี้จึงต้องทำความเข้าใจกับความแข็งแกร่งของอู๋ฝานใหม่ “พวกมันสมควรตายจริง ๆ นั่นแหละ แต่ยังไงพวกมันก็เป็นคนของวังเมฆาสีชาด โดยเฉพาะจานเฮ่อที่เป็นผู้อาวุโสนอกสำนัก สำหรับโลกเบื้องหน้าอีกฝ่ายคือตัวแทนของวังเมฆาสีชาด เมื่อตายอย่างกะทันหัน วังเมฆาสีชาดไม่มีทางปล่อยผ่านเรื่องราวโดยไม่ตรวจสอบอย่างแน่นอน”
“ผมทราบครับ” อู๋ฝานตอบรับ “พวกมันไม่มีหลักฐานอะไรมาพิสูจน์ว่าความตายของพวกจานเฮ่อเกี่ยวข้องกับผม และถ้าพวกมันตัดสินใจมาเยือนถึงหน้าประตู ทางนี้ก็ไม่มีอะไรต้องกลัวพวกมันเหมือนกันครับ บางทีพวกมันอาจจะต้องมีชะตาเหมือนอย่างพวกจานเฮ่อ!”
น้ำเสียงของอู๋ฝานสงบมาก และถ้อยคำที่เปล่งออกมามีแต่ความมั่นใจอันเปี่ยมล้น