ตอนที่ 766 เห็นได้ชัดว่ามันเป็นแค่คางคกตัวหนึ่ง
หัวหน้าตระกูลจงมีสีหน้าละอายใจเมื่อได้ยินคำถามของบุตรชาย ไม่กล้าแม้แต่จะมองเขาด้วยซ้ำ
“ท่านหัวหน้าตระกูลผู้เฒ่าไม่เป็นอะไร แต่คนอื่นๆ กลับอายุขัยลดลง ยังจะเป็นอะไรไปได้อีก เป็นเพราะได้บรรลุข้อตกลงกับสิ่งนั้นแล้ว” ฉินหลิวซีเอ่ยอย่างเย็นชา “มนุษย์ย่อมมีความเห็นแก่ตัว”
หัวหน้าตระกูลจงยิ่งรู้สึกละอายใจมากขึ้น ตอบอ้ำๆ อึ้งๆ ว่า “ใช่ ข้ากลัวตาย ยิ่งได้รับมากเท่าใด ก็ยิ่งกลัวตาย ยิ่งไม่เต็มใจมากเท่านั้น เดิมทีแต่ละปีมีเพียงหนึ่งถึงสองคนที่ให้อายุขัยสิบปี แต่มันกลับโลภมากขึ้นเรื่อยๆ ต้องการเพิ่มจำนวนคนขึ้นทุกปี จากสองคนเป็นสิบคน เป็นยี่สิบคน หากไม่พอ เด็กแรกเกิดก็ยังต้องให้”
จงจิ้นซื่อโซเซ “แล้วเสี่ยวเหวินล่ะ”
หัวหน้าตระกูลจงก้มหน้าลง “เสี่ยวเหวินคือเชื้อสายหลักของพวกเรา ข้าให้ได้เพียงแค่สิบปี จะไม่ให้มากกว่านี้ มันเองก็รับปากแล้ว แต่มันกลับคำ ตอนนี้สิ่งที่มันต้องการคือชีวิตของเสี่ยวเหวิน”
จงจิ้นซื่อกำหมัดแน่น หากไม่ใช่เพราะเขาอายุมากแล้ว ทั้งยังเป็นบิดาของตัวเอง เขาเกือบจะซัดชายชราผู้นี้แล้ว
“ท่าน ท่านบ้าไปแล้ว ไม่มีชีวิตอยู่แล้ว มีเงินทองมากมายมหาศาลแล้วจะไปมีประโยชน์อะไร”
ไม่แปลกใจเลยที่เขาสนับสนุนแนวคิดว่ามีลูกหลานมากก็มีความสุขมาก เกรงว่าการมีลูกหลานมากไม่ใช่เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของตัวเขาเอง แต่เพื่อบำรุงเลือดและเป็นอาหารให้กับสัตว์ประหลาดกิมเซียมซูตนนั้น!
“ข้าคิดไม่ถึง…”
“โลภมากจนทำให้ตัวเองเดือดร้อน ท่านคิดไม่ถึงเช่นนั้นหรือ เหล่าสือชีและคนอื่นๆ ที่อายุยังน้อยก็จากไปกันแล้ว” จงจิ้นซื่อกล่าวด้วยความโกรธ
ฉินหลิวซีถามถึงแปดอักษรเวลาตกฟากของลูกหลานที่เสียชีวิตไป นับข้อนิ้วทำนาย กล่าวว่า “แต่ละคนแปดอักษรไม่เลวเลย”
แปดอักษรเจริญรุ่งเรืองมีโชคลาภ มันวางแผนที่จะเป็นเซียนจริงๆ หรือว่าต้องการจะเผชิญเคราะห์กรรมเพื่อกลายร่าง?
หัวหน้าตระกูลจงก็รู้สึกเสียใจ เอ่ยด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย “ข้าก็ไม่อยากบูชาอีกต่อไปแล้ว แต่ลูกธนูที่ยิงออกไปไม่มีวันย้อนกลับมาได้ หากมันไม่พอใจ ทั้งตระกูลจงของพวกเราก็จะประสบกับโชคร้าย”
“ตอนนี้ก็กำลังประสบกับโชคร้าย” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบว่า “มันช่วยเรียกทรัพย์สินเงินทองให้ตระกูลจงของพวกท่าน และปล้นทรัพย์สมบัติที่ควรจะมีอยู่ของผู้อื่นมาโดยไม่มีใครรู้ ตระกูลจงของพวกท่านรักในการแบ่งปันเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ถือว่าเป็นเรื่องดี หากมีแต่รับมาไม่จ่ายไปก็จะล้มลงอย่างน่าสังเวชมากกว่านี้”
ใบหน้าแก่ชราของหัวหน้าตระกูลจงเริ่มแย่ขึ้นเรื่อยๆ แทบจะยืนไม่อยู่แล้วกลิ้งลงเขาไป
“ท่านเลี้ยงมันจนโตแล้ว ยิ่งความสามารถของมันมากขึ้นเท่าไหร่ ท่านก็จะถูกจำกัดมากขึ้นเท่านั้น เมื่อควบคุมไม่ไหวแล้ว มันก็จะแผงฤทธิ์โดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ดูสิ คนที่รับผลกระทบเป็นคนแรกก็คือเหลนชายของท่านผู้นี้ เขามีดวงชะตาชีวิตที่ดี หากผ่านด่านนี้ไปได้ ในภายภาคหน้าจะต้องประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน น่าเสียดาย…” ฉินหลิวซีถอนหายใจเบาๆ เอ่ยว่า “ดังนั้นอย่าได้ทำสัญญาขอเนื้อจากเสืออย่างง่ายๆ เสือก็คือเสือ ท่านชนะมันไม่ได้”
หัวหน้าตระกูลจงใจเต้นรัว เอ่ย “ท่านอาจารย์ ท่านต้องช่วยเหลนชายของข้าด้วย ตราบใดที่เขาสามารถผ่านอุปสรรคนี้ไปได้ จะให้ข้าทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น”
“อ้อ? แม้แต่สูญเสียทรัพย์สมบัติทั้งหมดของตระกูลก็เต็มใจหรือ” ฉินหลิวซีมองเขาพลางเลิกคิ้ว
หัวหน้าตระกูลจงตกตะลึง จากนั้นจึงเอ่ย “ข้าเต็มใจ”
จิ้นซื่อพูดถูก หากไม่มีชีวิตอยู่แล้ว ต่อให้มีทรัพย์สมบัติมากมายมหาศาลแล้วจะมีประโยชน์อะไร ตราบใดที่ลูกหลานมีความโดดเด่นก็ยังสามารถลุกขึ้นมาใหม่ได้ ทว่าหากไม่มีชีวิตอยู่แล้วก็ไม่เหลืออะไรแล้ว
เมื่อมาถึงหน้าวิหารแห่งนั้น ฉินหลิวซีหยุดพวกเขาไว้ หรี่ตามองไปยังวิหารแห่งนั้น
วิหารที่มีผนังสีแดงและกระเบื้องสีดำ ได้รับการตกแต่งอย่างวิจิตรงดงาม แกะสลักคานและวาดจิตรกรรมบนเสา รูปแบบการแกะสลักถือเป็นต้นแบบของลายเมฆมงคลและกิมเซียมซู แผ่นป้ายมีคำว่าวิหารกิมเซียมซูทองสีทองแดงขนาดใหญ่ สร้างได้ค่อนข้างดูดี
แต่เหนือวิหาร กลับมีพลังหยินวนอยู่ ปะปนกับพลังงานชั่วร้ายสีแดงเลือด เมื่อทั้งสองอยู่รวมกัน ทำให้คนรู้สึกกระสับกระส่าย แอบรู้สึกถึงลางร้าย
ฉินหลิวซีมองไปรอบๆ ไม่พบดวงจิตที่หายไปของจงปั๋วเหวิน จึงเดินเข้าไปในวิหาร
หัวหน้าตระกูลจงและคนอื่นๆ มองหน้ากัน กัดฟันแล้วตามไป
เมื่อเข้าไปในวิหาร มีรูปปั้นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์สามขาขนาดใหญ่ปรากฏอยู่ตรงหน้า เป็นกิมเซียมซูลำตัวสีทอง และด้านหน้าของมันก็มีหม้อหนึ่งใบที่ปักธูปเทียน และบนโต๊ะบูชาก็มีผลไม้สดตั้งอยู่
“มีอะไรหรือท่านอาจารย์” เมื่อหัวหน้าตระกูลจงเห็นนางจ้องมองรูปปั้นกิมเซียมซูอย่างเงียบๆ ก็อดถามขึ้นมาเสียงเบาไม่ได้
ฉินหลิวซีชี้ไปที่กิมเซียมซูที่เปล่งประกายแวววาวตัวนั้น “กิมเซียมซูนี้เป็นทองแท้หรือ”
เวรกรรมจริงๆ ดวงตาของนางถูกแสงสว่างของมันสาดส่อง
“แน่นอน” หัวหน้าตระกูลจงกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “ในเมื่อตระกูลจงของพวกเราบูชากิมเซียมซูตนนี้ ย่อมทำตามคำขอของมัน เพียงแค่ทองคำเท่านั้น ใช่ว่าพวกเราไม่มี ตระกูลจงของพวกเรามีหอเครื่องเงินเชียวนะ มันต้องการทองคำ พวกเราก็สร้างขึ้นมา สิ่งที่สำคัญที่สุดคือมันแสดงอภินิหารออกมาจริงๆ แต่แน่นอนว่าข้างในนั้นกลวง”
ฉินหลิวซีหายใจเร็วเล็กน้อย รูปหล่อทองคำเจ้าลัทธิเต๋าของนาง อย่าว่าแต่เป็นรูปหล่อทองคำกลวงเลย เพียงแค่ปิดทองคำบางๆ ด้านนอกเท่านั้นเอง แต่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้กลับทำมาจากทองคำแท้
ไม่มีการเปรียบเทียบก็ไม่มีบาดแผล นางรู้สึกว่าน้ำกรดในกระเพาะกำลังปั่นป่วน อิจฉาเป็นอย่างมาก
ทำอย่างไรดี จู่ๆ ก็ไม่มีหน้าไปพบเจ้าลัทธิเต๋าของนางแล้ว
เจ้าลัทธิเต๋า ‘ข้าเองก็รู้สึกเปรี้ยว[1]ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะวันนี้มีคนนำผลไม้เปรี้ยวมาถวายหรือไม่’
“ทำจากทองคำบริสุทธิ์ พวกท่านไม่กลัวถูกขโมยหรือ” ฉินหลิวซีเอ่ยขึ้นมาเบาๆ
หัวหน้าตระกูลจงเอ่ยอย่างภาคภูมิใจว่า “ไม่มีใครสามารถเอามันไปได้ เพราะมันคือกิมเซียมซูที่แสดงอิทธิฤทธิ์ได้ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วก็ไม่ขอปิดบังเจ้า เคยมีโจรจะมาขโมย ไม่มีใครที่ไม่หมดสติอยู่ที่หน้าวิหาร ล้วนถูกพวกเรานำตัวส่งทางการแล้ว นี่ล้วนเป็นฝีมือของมัน”
ฉินหลิวซีสบถเบาๆ เอ่ย “ดูเจ้าภาคภูมิใจเข้าสิ หากมันเป็นสิ่งที่ดีก็คงไม่ขโมยพลังชีวิตของคนในตระกูลของพวกท่านหรอก!”
หัวหน้าตระกูลจง “!”
ฉินหลิวซีมองสำรวจวิหารแห่งนี้ นอกจากรูปปั้นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ตระการตาแล้ว ซ้ำบนกำแพงก็ยังมีจิตรกรรมภาพวาด เป็นรูปกิมเซียมซูเช่นกัน ดูมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก
นางเดินวนรอบกิมเซียมซู จากนั้นก็เดินไปที่ตรงกลาง เงยหน้าขึ้นมองกิมเซียมซูตนนี้ เมื่อสายตามองขึ้นไปข้างบน ทันใดนั้นก็เห็นสายน้ำพุ่งไปที่พวกเขา
ฉินหลิวซีตอนสนองอย่างรวดเร็ว ขว้างยันต์ออกไป เสียงดังปัง สายน้ำถูกสะกัดกั้น น้ำสาดกระเซ็นลงบนรูปปั้นกิมเซียมซู
ฟู่ๆๆ
กิมเซียมซูทองคำถูกน้ำกระเด็นใส่ ละลายไปเล็กน้อย
ฉินหลิวซีรู้สึกปวดใจ
คนอื่นๆ ตกใจกลัวจนมายืนเบียดกัน
“ออกไป” ฉินหลิวซีสะบัดแขนเสื้อ ผลักจงจิ้นซื่อและคนอื่นๆ ไปที่หน้าประตู จากนั้นก็จ้องมองไปที่ด้านบนของกิมเซียมซูทอง แสยะยิ้มพลางเอ่ย “เป็นถึงกิมเซียมซูซึ่งเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่สง่างาม แต่กลับทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ ไม่กล้าเจอคน เพราะกลัวจะรู้ว่าเจ้าเป็นของปลอมอย่างนั้นหรือ”
“เจ้าเด็กเหลือขอช่างอวดดี!” เงาสีทองกระโดดลงมาจากบนคาน ตกลงบนหัวของกิมเซียมซูทอง จ้องมองฉินหลิวซีจากที่สูง เอ่ยภาษาคนว่า “ปรมาจารย์น้อยจากไหน บังอาจบุกเข้ามาในวิหารกิมเซียมซูของข้า”
ฉินหลิวซียืนมือไขว้หลัง มองสิ่งนั้นพลางเอ่ย “เจ้าก็คือกิมเซียมซูในตำนานหรือ”
ทองนับว่าเป็นทองจริงๆ สีทองทั้งตัว ดวงตาโปน ลูกตาสีแดง ส่วนบนของศีรษะเป็นสามเหลี่ยมยื่นออกมาเล็กน้อย ย่อขาทั้งสี่ข้าง ดูมีพลัง
กิมเซียมซูสบถเบาๆ เอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “แน่นอนว่าเป็นเช่นนั้น”
ฉินหลิวซีถ่มน้ำลาย “เจ้าคิดว่าข้าตาบอดหรือ ก็ไม่นับดูสักหน่อยว่าเจ้ามีขากี่ข้าง หนึ่ง สอง สาม สี่ ด้วยขาทั้งสี่ของเจ้า ยังกล้าบอกว่าตัวเองเป็นกิมเซียมซูสามขา? เห็นได้ชัดว่าเจ้าเป็นคางคก! ของปลอม!”
กิมเซียมซูที่ไหนกัน ก็แค่คางคก!
[1] ความหมายโดยนัย หมายถึงอิจฉา