ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 311 ดุจถ้อยวาจาปลุกคลื่นลมพันลี้!

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 311 ดุจถ้อยวาจาปลุกคลื่นลมพันลี้!

ไม่รู้ว่าหลิงเยว่เจรจากับดอกบัวเพลิงอย่างไร มันถึงค่อย ๆ ลอยออกมาอย่างเชื่องช้า

แสงสีทองอร่ามแต้มสีแดงสดห่อหุ้มร่างของเหล่าผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสที่สุดไว้ แสงสีทองเหลือบแดงแยกออกเป็นเส้นเล็ก ๆ นับไม่ถ้วน ร่วงหล่นลงบนร่างของเหล่าศิษย์ที่รอคอยอยู่ด้านนอกจวนเจ้าเมือง

ใบหน้าซีดเผือด พลังวิญญาณที่เหือดแห้ง และระดับการบำเพ็ญที่สั่นคลอนกำลังกลับคืนสู่สภาพเดิม…

ดอกบัวเพลิงไม่เพียงแต่สามารถชำระล้างมลทินทั้งปวงในโลกและปลุกจิตวิญญาณของสรรพชีวิตได้ แต่ยังมีพลังในการเยียวยาและฟื้นฟูอันแข็งแกร่ง หากเอ่ยถึงระดับการบำเพ็ญแล้วเล่า…

อย่างน้อยก็เหนือกว่าหลิงเยว่ในยามนี้ หากนางเยียวยาร่างกายให้คนสิบคนพร้อมกัน พลังของนางจะถูกดูดจนหมดสิ้น ทว่าดอกบัวเพลิงสามารถเยียวยาคนหลายสิบคนพร้อมกันได้โดยไม่เกิดปัญหาใด ๆ

หลิงเยว่รู้สึกอิจฉายิ่งนัก!

หากนางหลอมรวมดอกบัวเพลิงและเปลวเพลิงม่วงได้แล้ว นางจะสามารถช่วยคนได้หลายสิบคนเลยหรือไม่?

ในเมื่อหลิงเยว่มีดอกบัวเพลิงที่มีพลังในการรักษาอันแข็งแกร่งเช่นนี้ ยามที่นางใช้วิชาการรักษา นางจึงไม่จำเป็นต้องปกปิดอีกต่อไปและสามารถแสดงออกมาอย่างผ่าเผย!

เพียงเท่านี้ หลิงเยว่ก็ไม่รังเกียจที่มันกินจุอีกต่อไปแล้ว

“ไม่ทราบว่าท่านต้องการหินวิญญาณมากเท่าใดหรือ?” เจ้าอาวาสคงอันเอ่ยถามด้วยความระมัดระวัง พลางกวาดสายตาสำรวจหินวิญญาณที่มีอยู่ในพุทธวิหารอันน้อยนิด

“ยิ่งมากยิ่งดี”

คำพูดเพียงสั้น ๆ ของหลิงเยว่ ทำให้อดีตอาจารย์ใหญ่สำนักลั่นโอสถถึงกับยิ้มกว้าง นางช่างกล้าเอ่ยปากเสียจริง!

แม้หินวิญญาณทั้งพุทธวิหารจะมีอยู่น้อยนิด แต่ทุกชิ้นล้วนมีมูลค่า หากนำออกมาขายสักชิ้นสองชิ้น ย่อมได้จำนวนไม่น้อย

เจ้าอาวาสคงอันเองก็คิดเช่นเดียวกัน ท่านจึงผละไปรวบรวมหินวิญญาณ พร้อมกับเหล่าศิษย์ในพุทธวิหาร

อดีตอาจารย์ใหญ่สำนักกลั่นโอสถเองก็คิดจะจากไปเช่นกัน แต่กลับถูกหลิงเยว่รั้งเอาไว้ เมื่อเห็นรอยยิ้มแสนหวานที่แฝงไปด้วยความนัย ลางสังหรณ์ประหลาดพลันแล่นปราดจากปลายเท้าถึงศีรษะทันที!

สัญชาตญาณบอกให้ตนเองรีบปลีกตัวออกไปโดยเร็ว แต่ความอยากรู้อยากเห็นกลับตรึงร่างของเขาเอาไว้

ย้อนกลับไปในครั้งนั้น เขาและจานโจวก็ถูกหลิงเยว่บังคับให้ช่วยข้ามผ่านขอบเขตจินตานเช่นนี้มิใช่หรือ!

“ผู้อาวุโสลู่ผู้ยิ่งใหญ่ ท่านต้องมีหินวิญญาณมากมายเป็นแน่ ขอยืมไปเกือบทั้งหมดหน่อยได้หรือไม่? ข้าขอรับรองว่าจะนำมาคืนให้เจ้าค่ะ”

ไม่ใช่ยืมเพียงน้อยนิด แต่ยืมเกือบทั้งหมด!

อดีตอาจารย์ใหญ่สำนักกลั่นโอสถได้ยินเช่นนั้นถึงกับนิ่งไป นางรู้ตัวหรือไม่ว่านั่นเป็นจำนวนมหาศาลเพียงใด!

ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ นางจะหาหินวิญญาณจำนวนมากมายขนาดนั้นมาคืนเขาได้หรือไม่…

แต่ดูท่าทางแล้ว นางต้องหาได้อย่างแน่นอน…

“อีกไม่นานข้าจะส่งของกำนัลไปให้ท่าน รับรองว่าท่านต้องพึงพอใจอย่างยิ่ง!”

หลิงเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม คำพูดของนางทำให้อดีตอาจารย์ใหญ่สำนักกลั่นโอสถไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากยอมให้ยืมหินวิญญาณ เขาอยากรู้นักว่าหลิงเยว่จะส่งของกำนัลอะไรมาให้ และจะเป็นของที่ทำให้เขาพึงพอใจอย่างยิ่งจริงหรือ!

ตอนนี้ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นล้วนถูกหลิงเยว่ยืมหินวิญญาณจนหมดสิ้น แม้แต่คนรับใช้ที่ทำความสะอาดจวนเจ้าเมือง เมื่อเดินผ่านห้องของนางยังต้องหลบหน้าไปให้ไกล

เพราะไม่มีผู้ใดปฏิเสธสายตาเป็นประกายของรองเจ้าเมืองน้อยผู้นี้ได้!

การหยิบยืมครั้งนี้ นางมิเพียงได้อาหารของดอกบัวเพลิงทั้งสองมาเท่านั้น แต่ยังได้เพลิงพิสดารของสหายมาด้วย!

อายุขัยเพิ่มขึ้นเกือบเจ็ดหมื่นวัน รอเพียงนางกลั่นเปลวเพลิงม่วงแล้ว ก็จะมีอายุขัยเพิ่มขึ้นอีกห้าหมื่นวัน เพียงพอที่จะซื้อเปลวเพลิงพิสดารสักสิบกว่าชิ้นแล้ว!

นึกย้อนไปในอดีต นางเคยกระตือรือร้นเพื่ออายุขัยสิบวันยี่สิบวัน แต่บัดนี้…

คิดไปคิดมา หลิงเยว่ก็เข้าสู่สมาธิ

เวลาผ่านไปสามปี แต่สามปีมานี้ หลิงเยว่กลับยังไม่สามารถกลั่นเปลวเพลิงม่วงได้สำเร็จ ซ้ำยังเกือบถูกสะท้อนกลับอยู่หลายครั้ง โชคดีที่มีดอกบัวเพลิงคอยช่วยเหลือ มิเช่นนั้น นางคงกลายเป็นผงธุลีไปแล้ว

แท้จริงแล้ว ดอกบัวเพลิงอยากอยู่ช่วยนางปราบเปลวเพลิงพิสดารใช่หรือไม่?

“ต้องการความช่วยเหลือหรือไม่?”

เมื่ออีกาสุริยันตื่นขึ้น คำพูดของมันทำเอาหลิงเยว่ประหลาดใจยิ่งนัก ช่างเหนือความคาดหมายเสียจริง!

ดอกบัวเพลิงปะทะเข้ากับอีกาสุริยันที่คิดจะเรียกเปลวเพลิงพิสดารออกมา

“นางมิได้คิดช่วยเหลืออย่างจริงใจหรอก แต่คิดจะกลืนกินเปลวเพลิงพิสดารต่างหาก!”

หลิงเยว่ที่ได้ยินความคิดของดอกบัวเพลิงก็โยนอีกาสุริยันตัวน้อยออกจากตันเถียนในทันที นางว่าแล้ว เจ้าอีกาสุริยันตัวน้อยนี้ถึงได้มีน้ำใจเอ่ยปากขอช่วยเหลือ ที่แท้กลับคิดแผนการเช่นนี้อยู่นี่เอง!

เมื่อมีดอกบัวเพลิงสองดอกคอยช่วยเหลือ การจะกลั่นเพลิงพิสดารเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น หลิงเยว่จึงสงบจิตใจลงอีกครั้งเพื่อร่วมมือกับดอกบัวเพลิงสีม่วง

แม้การดูดซับเปลืองเปลวเพลิงสีม่วงที่ไหลออกมานั้นจะทำให้เส้นชีพจรของนางปริแตกทุกเส้น แต่โชคดีที่นางมีพลังฟื้นฟูตัวเอง ประกอบกับการเยียวยาซ่อมแซมจากดอกบัวเพลิง ความเจ็บปวดเพียงเท่านี้ นางจึงกัดฟันทน จนในที่สุดก็ชาชินไปเอง

อีกาสุริยันที่ถูกโยนออกมาจากตันเถียน นางร่วงลงสู่พื้นแล้วแปลงร่างเป็นเด็กน้อย

“ฮึ่ย! ไม่เห็นค่าความหวังดี ข้าอยากช่วยจริง ๆ นะ หากหวังพึ่งดอกไม้ที่ยังไม่เบ่งบานทั้งสองดอกนั่น คงต้องใช้เวลาห้าปีแปดปี!”

อีกาสุริยันตัวน้อยกล่าว

“หืม? เจ้ามนุษย์เปราะบางออกมาแล้วรึ?” หัวหน้าตะขาบมรกตตื่นเต้นขึ้นมาทันที หากเจ้ามนุษย์เปราะบางออกมาแล้ว แสดงว่าพวกมันสามารถออกจากที่นี่ได้!

“ยัง” อีกาสุริยันตัวน้อยทำสีหน้าเย็นชา

“ยังอีกหรือ?” โม่จวินเจ๋อซึ่งออกจากการเก็บตัวบำเพ็ญมาได้สามรอบในสามปีเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าผิดหวัง เปลวเพลิงพิสดารนั้นควบคุมยากเพียงนี้เชียว

แต่เมื่อลองนึกถึงความร้ายกาจของมันแล้ว ก็พอจะเข้าใจได้ หากเปลวเพลิงพิสดารที่ทรงอานุภาพเช่นนั้นสามารถควบคุมได้โดยง่าย แล้วไยผู้บำเพ็ญในโลกจึงมีผู้ครอบครองเปลวเพลิงพิสดารน้อยนักเล่า

เวลาผ่านไปอีกสองปี หลิงเยว่ยังไม่มีทีท่าว่าจะออกจากการเก็บตัวบำเพ็ญเลย

สามปีแรก ติงหลิวหลิ่วและคนอื่น ๆ ยังพอทำใจเย็นได้ แต่นี่ผ่านมาห้าปีแล้ว ต่อให้ยากเพียงใดก็น่าจะสำเร็จได้แล้วกระมัง!

“วางใจเถิด นางยังไม่ตายหรอก เพียงแต่ยังคงตกอยู่ในสภาพที่ตายทั้งเป็นอยู่เท่านั้น”

มิใช่เพียงแค่ตายทั้งเป็น แต่ยังมีโลหิตไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด และร่างกายยังคงลุกไหม้ไปด้วยเปลวเพลิง ดูแล้วน่าเวทนายิ่งนัก

น้ำเสียงของอีกาสุริยันเผยความสะใจออกมาเล็กน้อย

แต่หากหลิงเยว่สามารถผ่านพ้นขั้นตอนการกลั่นเปลวเพลิงพิสดารไปได้ ความแข็งแกร่งของร่างกายนางจะก้าวกระโดดขึ้นอย่างมหาศาล

ท่ามกลางความกังวลของทุกคนที่มีต่อหลิงเยว่ พื้นดินของจวนเจ้าเมืองพลันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง อีกทั้งยังส่งผลไปถึงทั่วทั้งเมืองฮั่วหยางอีกด้วย

ในตอนแรกพวกเขานึกว่าเป็นฝีมือของหลิงเยว่ จึงรีบไปดู แต่กลับพบว่ามิใช่…

อีกาสุริยันลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว จ้องมองไปทางดินแดนตะวันตก ในดวงตาสีทองเข้มนั้นมีประกายไฟที่สว่างจ้า นางกล่าวขึ้นอย่างช้า ๆ ว่า “ม่านพลังสังหารที่พวกมนุษย์สร้างขึ้นถูกทำลายแล้ว”

ถ้อยคำนี้สร้างความปั่นป่วนมากมาย

“ว่าอะไรนะ?” หลงหว่านโหรวพูด พลันรู้สึกว่าขาอ่อนแรงขึ้นมาทันที

“ข้าบอกว่าพลังปีศาจและสัตว์อสูรในดินแดนตะวันตกถูกปล่อยออกมาแล้ว!”

ครั้งนี้ทุกคนฟังได้อย่างชัดเจน

“ไม่คาดคิดเลยว่าในเขตแดนปีศาจที่มีสิบสองนางสนม จะมีหกนางอยู่ในโลกมนุษย์ด้วย…” อีกาสุริยันตัวน้อยสีหน้าไม่สงบนิ่งอีกต่อไป แต่นางขมวดคิ้วแน่น

“ข้ารู้สึกถึงกลิ่นเหม็นที่มาจากตัวพวกนางแล้ว!”

พูดเสร็จ อีกาสุริยันตัวน้อยก็กลายเป็นแสงสีแดงหายวับไปในท้องฟ้า

ในขณะเดียวกัน สัตว์เทพโบราณทั้งสี่ตัวที่กำลังเสาะหาหินวิญญาณที่ไม่มีเจ้าของก็หายไปเช่นกัน เพราะได้กลิ่นเหม็นของเหล่านางสนมของราชาปีศาจ!

ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ทำให้ผู้คนในโลกผู้บำเพ็ญเซียนยากจะทำใจยอมรับได้คือ ในบรรดาปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญวางแผนผังทั้งสามของโลก ผู้หนึ่งในนั้นกลับเป็นถึงหนึ่งในสามสนมของปีศาจ!

ท่านผู้อาวุโสมู่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ม่านพลังสังหารสิบแปดชั้นถูกทำลายจนสิ้น ผู้บำเพ็ญทั้งสิบแปดที่เป็นศูนย์กลางของม่านพลัง ต่างมีชะตากรรมเป็นตายเท่ากัน!

ข่าวนี้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งโลกผู้บำเพ็ญเซียนราวกับพายุหมุน

ในยามนี้ ทุกคนต่างหวาดกลัว พวกผู้บำเพ็ญแห่งดินแดนตะวันตกต่างพากันหลบหนีออกไปอย่างบ้าคลั่ง ราวกับว่าเพียงแค่ได้จากดินแดนตะวันตกไปก็จะปลอดภัยแล้ว…

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท