ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 372 พายุฝนผิดแผกตายไม่รู้ตัว-1

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 372 พายุฝนผิดแผกตายไม่รู้ตัว-1

“แม่เล็ก ไม่พบกันนานทีเดียว!”

คนผู้นั้นเอ่ยขณะเดินออกมาจากเงามืดหลังเตียงของชิงหราน

พร้อมกับการปรากฏตัวของเขา

ชิงหรานก็ลุกขึ้นมานั่งบนเตียง

สีหน้าสดชื่น

ไม่เห็นอาการเจ็บป่วยแม้แต่น้อย

“ไม่พบกันนาน…”

นางเสี่ยวจงเอ่ยเสียงเบา

นายท่านจินมีนามว่าชิงหง

นับตั้งแต่เขาออกจากจวนชิงไปเหมืองแร่ก็ไม่ได้ติดต่อกับจวนชิงอีกเลย

เหตุใดอยู่ๆ วันนี้จึงมาปรากฏตัวในห้องนอนของชิงหราน และยังมายืนอยู่ต่อหน้าตนอย่างเปิดเผยเช่นนี้

หัวใจของนางเสี่ยวจงเหมือนถูกค้อนหนักทุบ

รู้สึกเจ็บปวดและอึดอัดขึ้นมาทันใด

คิดแต่อยากออกไปสูดอากาศข้างนอก

แต่เหตุการณ์ตรงหน้ากลับทำให้นางปลีกตัวออกไปไม่ได้แต่อย่างใด

“นายน้อยใหญ่กลับมาเมื่อใดเจ้าคะ เหตุใดไม่บอกก่อนสักคำ”

นางเสี่ยวจงพยายามทำจิตใจให้สงบขณะกล่าวออกมา

แม้ภายนอกจะไม่ได้แสดงท่าทีใด

แต่ใบหน้าของนางก็แข็งทื่อยิ่งนัก

แต่มุมปากกระตุกหลายครั้งก็ยังฉีกยิ้มไม่ได้

นายท่านจินยกเก้าอี้ข้างโต๊ะในห้องมาวางตรงหน้าต่าง แล้วทิ้งตัวนั่งลงเต็มแรง

นั่งไขว่ห้าง แต่ล้วงเอาเมล็ดถั่วที่ไม่รู้ว่าเป็นถั่วชนิดใดออกมาจากกระเป๋าเสื้อกำหนึ่ง ก่อนโยนใส่ปากที่ละเมล็ด

“แม่เล็กเกรงใจแล้ว คนกันเองทั้งนั้น ต้องตระเตรียมอันใดกัน กล่าวเช่นนี้เห็นเป็นคนอื่นไกลเกินไปแล้ว!”

นายท่านจินเคี้ยวเมล็ดถั่วและพูดไปด้วย

“แต่จะอย่างไร พวกบ่าวก็คอยเข้าไปทำความสะอาดห้องของนายท่านจินเป็นประจำอยู่แล้วเจ้าค่ะ”

นางเสี่ยวจงกล่าว

นางเริ่มพูดจามากขึ้นแล้ว

ครั้งอยู่ในจวนชิงก่อนนี้ นอกจากบุตรสาวของนางแล้ว ก็มีน้อยครั้งนักที่จะพูดจามากเช่นนี้

ยามที่คนผู้หนึ่งตื่นเต้นก็มักจะทำบางสิ่ง

บางคนดื่มสุรา บางคนสูบยาเส้น

แต่เมื่อนางเสี่ยวจงตื่นเต้นขึ้นมา ก็จะพูดไม่หยุด

ราวกับว่าคำพูดสามารถขจัดความกระวนกระวายในใจนางไปได้จนหมด

“แม่เล็กช่างเอาใจใส่ ขอบคุณมาก!”

แม้ปากนายท่านจินจะพูดอย่างเกรงใจ

แต่จากท่าทีของเขากลับมองไม่ออกว่าเคารพนางเสี่ยวจงเลยแม้แต่น้อย

“ไม่ทราบว่านายน้อยใหญ่กลับมาจวนหนนี้ด้วยเรื่องใดเจ้าคะ”

นางเสี่ยวจงลองถามหยั่งเชิง

“กลับมาเยี่ยมท่านพ่อและมาทักทายแม่เล็กด้วย!”

นายท่านจินกินเมล็ดถั่วในมือหมดแล้ว

จนถึงตอนนี้ นางเสี่ยวจงจึงนับว่ากลับมาผ่อนคลายดังเดิม

และสามารถยิ้มให้นายท่านจินได้ผ่อนคลายมากขึ้น

แต่ในใจนางกลับเอาแต่ด่าทอ

เจ้าสองพ่อลูกนี่จะต้องแอบร่วมมือกันดัดหลังตนเป็นแน่

มิเช่นนั้นเหตุใดเขาจึงไม่มายามอื่น แต่กลับมาในเวลาสำคัญเช่นนี้

แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่นางเสี่ยวจงเป็นกังวลที่สุด

เหตุผลหลักที่นางสามารถยืนได้อย่างมั่นคงในจวนชิงและควบคุมอำนาจทั้งหมดไว้เพียงผู้เดียว ก็เพราะสายตาของนางยาวไกลกว่าคนทั่วไป

บางครั้งมองได้ไกล ก็จะคิดมาก

ยากจะไม่วิตกอย่างไร้เหตุผล

แต่นางเสี่ยวจงกลับไม่คิดอย่างนั้น

นางคิดว่านี่คือการกันไว้ดีกว่าแก้

ต่อให้เป็นเรื่องที่จะไม่มีทางเกิดขึ้น นางก็จะคิดหาวิธีรับมือเอาไว้ล่วงหน้า

แม้ว่าเรื่องมากมายทำให้นางยากจะรับมือไหว

แต่อย่างน้อยก็ได้เตรียมใจเอาไว้ก่อน

ทว่าแม้นางจะคิดเป็นพันเป็นหมื่นอย่าง ก็คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าชิงหรานจะยังติดต่อใกล้ชิดกับบุตรชายของเขาถึงเพียงนี้

มองจากเรื่องนี้ ที่แท้แล้วชิงหรานล้วนรู้ทุกการเคลื่อนไหวของนางเสี่ยวจงในจวนชิงอย่างชัดเจนเช่นนิ้วในมือตน

อาจเพราะยังไม่ถึงขีดความอดทนของชิงหราน ด้วยเหตุนี้เขาจึงยังคงเก็บงำไว้ไม่แสดงออกก็เท่านั้น

นางเสี่ยวจงพลันรู้สึกขึ้นมาว่าตนเองน่าอนาถนัก

ก็เหมือนกับตัวละครในหนังหุ่นเชิดเงาที่จู่ๆ ก็มีความรู้สึกนึกคิดขึ้นมา รู้สึกว่าตัวมันสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้เอง

แต่พอหันหน้ากลับมา กลับพบว่าข้างหลังตัวมันยังคงมีเส้นด้ายเล็กๆ นับไม่ถ้วนชักโยงอยู่

เส้นด้ายแต่ละเส้นร้อยอยู่กับหัวและมือเท้าทั้งสี่

เดิมทีนึกว่าบังคับตัวเองได้ แต่ความจริงแล้วล้วนไม่อาจเป็นตัวของตัวเอง

หลายๆ ครั้ง การได้รู้มากเกินไปก็จะไม่มีความสุข

ก็เหมือนกับเมื่อดื่มสุรามากไปต้องปวดหัวอาเจียนเช่นนั้น

ไม่ว่าเรื่องใดล้วนมีขอบเขตของมัน

หากควบคุมให้เหมาะสมก็จะพอดิบพอดี

มากเกินไปก็จะเกินความควบคุม

สถานการณ์ของจวนชิงในเวลานี้ ในสายตาของนางเสี่ยวจงเรียกได้ว่าเกินจะควบคุมได้แล้ว…

อย่างน้อยก็เกินกว่าขอบเขตที่นางคิดเอาไว้

เพราะฉะนั้นนางเสี่ยวจงจึงรู้สึกว่าตนเองน่าอนาถนัก…

“พอนายน้อยใหญ่กลับมา ท่านดูสิเจ้าคะ นายท่านดีใจจนลุกขึ้นมานั่งได้แล้ว! หากว่าท่านกลับมาเร็วกว่านี้ ไม่แน่ว่าอาการเจ็บป่วยของนายท่านก็จะหายดีเร็วยิ่งกว่านี้เจ้าค่ะ!”

นางเสี่ยวจงเอ่ยอย่างผ่อนคลาย

“โดยหลักแล้วก็ยังเป็นแม่น้อยที่ดูแลเป็นอย่างดี…บุตรชายเช่นข้า นับว่าเลี้ยงมาเปล่าประโยชน์ พอออกจากเรือนไป เนิ่นนานปีเพียงนี้กลับไม่ได้มีข่าวคราวส่งกลับมาแต่อย่างใด! ทั้งยังทำให้แม่น้อยต้องเป็นกังวล!”

นายท่านจินเอ่ยพร้อมประสานมือคำนับ

“คนครอบครัวเดียวกันยังต้องพูดเช่นนี้อีกหรือ”

นางเสี่ยวจงพูดอย่างเกรงใจไปประโยคหนึ่ง

แต่ในใจกลับหนักอึ้ง

นางเป็นถึงฮูหยินของจวนชิง

ชิงเสวี่ยชิงบุตรสาวของตนก็เหมือนกับนายท่านจิน แม้ไม่ใช่พี่น้องท้องเดียวกัน แต่จะอย่างไรก็เป็นเลือดเนื้อของชิงหราน

ต่อให้ชิงหรานต้องการคิดบัญชีในสิ่งที่นางทำไปทั้งหมดในจวนชิงตลอดหลายปีมานี้ ก็ต้องคำนึงถึงหน้าตาบุตรีของตนเองบ้าง

ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องน่าอับอายในเรือน ไม่แพร่งพรายออกนอก

หากชิงหรานต้องการฉีกหน้านางจริงๆ เช่นนั้นแล้วจะต้องเกิดเรื่องวุ่นวายทั่วรัฐหงเป็นแน่

จนสุดท้าย สิ่งที่ต้องเสียหายก็ยังเป็นฐานะของจวนชิง

เรื่องที่เสียมากกว่าได้เช่นนี้ ชิงหรานจะต้องไม่มีทางทำเป็นแน่

“หงเอ๋อร์ว่ามาดังนี้ก็พูดถูกนัก เจ้านี่ไม่นับว่าเป็นลูกกตัญญูผู้หนึ่ง!”

ชิงหรานเอ่ยปาก

“ก็ไม่ใช่ว่าลูกกลับมาแสดงความกตัญญูแล้วหรอกหรือ เรื่องความกตัญญูนี้ ไม่แบ่งแยกช้าเร็ว สิ่งสำคัญก็คือต้องดูเวลาและโอกาสนะขอรับ!”

นายท่านจินกล่าว

“เจ้าลูกคนนี้กลับมาก็มาได้ถูกเวลานัก!”

ชิงหรานถอนหายใจแล้วเอ่ย

จากนั้นก็ให้นางเสี่ยวจงบอกเรื่องที่เหวินทิงไป๋ผู้ควบคุมรัฐหงมาเยือนให้นายท่านจินฟัง

“ฝนบนเขาจวนมา ลมพัดผ่านทั่วหอแท้ๆ[1]…”

นายท่านจินได้ฟังแล้วก็แสร้งเอ่ยทอดถอนใจหนักๆ

ราวกับเผชิญกับเรื่องหนักใจใหญ่โตคับฟ้า

นางเสี่ยวจงหัวเราะเย็นอยู่ในใจ

สองพ่อลูกนี่จะต้องหารือกันมาก่อนแล้วเจ็ดแปดส่วนเป็นแน่

เวลานี้ก็แค่อยากดูท่าทีของตนเท่านั้น

ทว่าเรื่องก็มาจนถึงขั้นนี้แล้ว

นางกลับทำได้แค่ผลักเรือไปตามน้ำ ไม่อาจดำเนินแผนการต่อไปอีก

จะอย่างไรหากจวนชิงเกิดเรื่องขึ้นมา ชีวิตที่แสนดีของนางเสี่ยวจงเองก็จะถึงทางตันไปด้วย

“หงเอ๋อร์เจ้าคิดว่าเรื่องนี้จะทำอย่างไรดี เจ้าคุ้นเคยกับสภาพการณ์ของเหมืองแร่รัฐหงที่สุด”

ชิงหรานถาม

“หากว่ากันแต่เรื่องเบี้ยหวัดถูกชิงไป ลูกก็พอจะรู้บางสิ่งมาบ้างขอรับ”

นายท่านจินกล่าว

จากนั้นก็เล่าเรื่องของพวกหลิวรุ่ยอิ่งให้ชิงหรานและนางเสี่ยวจงฟังแต่ต้นจนจบ

ชิงหรานฟังๆ ไปก็ย่นหัวคิ้ว

เพราะเรื่องเหล่านี้ นายท่านจินยังไม่มีเวลาบอกเขาก่อนล่วงหน้า

“คนของกรมสอบสวนมาถึงเหมืองแร่แล้ว?”

ชิงหรานถาม

“ไม่ผิดขอรับ…ไม่เพียงมาถึงแล้ว ยังเกิดการต่อสู้กันยกใหญ่ และมีคนตายด้วย”

นายท่านจินกล่าว

“เวลานี้น้องสาวเจ้าก็อยู่ที่เหมืองแร่ด้วยกระมัง”

ชิงหรานถามต่อ

แต่สายตากลับมองไปยังนางเสี่ยวจงหนหนึ่งอย่างจงใจครึ่งไม่จงใจครึ่ง

“เขตกระท่อมของคนงานเหมืองมีร้านขายของชำ เวลานี้นางเป็นเถ้าแก่เนี้ยของที่นั่นขอรับ”

นายท่านจินกล่าว

ชิงหรานได้ฟังแล้วพยักหน้า

เริ่มใคร่ครวญอยู่ในใจ

เหวินทิงไป๋เป็นผู้ควบคุมรัฐหง

จึงเป็นตัวแทนของอำนาจฝ่ายทางการของอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง

ส่วนกรมสอบสวนก็อยู่เหนืออำนาจทั้งมวล ทั้งอยู่นอกเหนือจากห้าอ๋อง ยิ่งไม่อาจบุ่มบ่ามลงมือ

สถานการณ์ตรงหน้าเป็นจุดที่สำคัญที่สุด ซึ่งก็คือจะได้รู้ชัดว่าคนที่ชิงเบี้ยหวัดไปคือผู้ใดกันแน่

“ความจริงแล้วในวันนั้น เมื่อหลิวรุ่ยอิ่งนายกองแห่งกรมสอบสวนมาที่จวนของลูก ลูกเองก็อึดอัดใจนัก…เพราะเขามีเป้าหมายที่ชัดเจนยิ่ง คล้ายมั่นใจว่าคนที่ชิงเบี้ยหวัดไปจะต้องมาซื้อแร่เหล็ก ทว่านับตั้งแต่เขามาถึงเหมืองแร่จนถึงวันนี้ก็ผ่านมาสิบกว่าวันแล้ว ในเวลาสิบกว่าวันนี้ นอกจากพวกกรมสอบสวนจะแสร้งคล้อยตามกันในร้านขายของชำของน้องสาวแล้ว ก็ไปสืบข้อเท็จจริงที่เรือนของลูกหนหนึ่ง”

นายท่านจินกล่าว

คำพูดนี้กลับมีความหมายแฝงที่ลึกล้ำนัก

ชิงหรานรู้ว่ากรมสอบส่วนกลางทำงานแม่นยำ

จะไม่มีทางยอมปล่อยผ่านเป็นแน่

หากพวกเขาพุ่งตรงไปยังเหมืองแร่ด้วยความมั่นใจเช่นนี้ ย่อมต้องได้รับข่าววงในบางอย่างมา

แต่เหตุใดจึงต้องวิ่งวุ่นเป็นแมลงวันไร้หัวอยู่ถึงสิบกว่าวันกันเล่า

“เจ้าบอกว่ามีคนของกรมสอบสวนตายในเหมืองแร่หรือ”

ชิงหรานถาม

“ขอรับ มีคนธรรมดาคนหนึ่งตาย เป็นหัวหน้าอาคารกรมสอบสวนแห่งเมืองหยางเหวิน”

นายท่านจินกล่าว

เมืองหยางเหวิน!

เมื่อได้ยินสามคำนี้ ม่านตาของชิงหรานพลันหดลงทันใด!

อาคารกรมสอบสวนเมืองหยางเหวิน เรียกได้ว่าเป็นที่ทำการอันดับหนึ่งในอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง

แม้เมืองหยางเหวินไม่ใช่พื้นที่ที่สำคัญอันใด

แต่จิ้นเผิงก็มีตำแหน่งสูงและเรืองอำนาจอยู่ในกรมสอบสวน

ครั้งนั้นตอนที่ได้ยินว่าคนผู้นี้จะมารับตำแหน่งหัวหน้าอาคารกรมสอบสวนเล็กๆ ที่เมืองหยางเหวิน

ชิงหรานก็ยังมีความคิดบางอย่าง

เขารู้สึกว่าจิ้นเผิงผู้นี้น่าจะตกที่นั่งลำบากมา…

เดิมบุปผาบนผ้าปัก[2]ย่อมไม่มีทางเทียบได้กับส่งถ่านกลางหิมะ[3]

หากสามารถฉวยโอกาสตอนที่เขาตกที่นั่งลำบากผูกไมตรีกับเขาได้

รอจนวันหน้าหากสถานการณ์ของจิ้นเผิงพลิกร้ายกลับดี จวนชิงก็จะมีเป็นเส้นสายที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งตามไปด้วย

ชิงหรานเขียนจดหมายไปหาติดต่อกันหลายฉบับ แต่ไม่มีข่าวคราวใดกลับมาเหมือนโยนหินลงมหาสมุทร

เขายังส่งคนเตรียมของกำนัลล้ำค่าไปคารวะจิ้งเผิงโดยเฉพาะอีกด้วย

แต่กลับถูกขวางไว้และต้องกลับมาทุกครั้ง

เหตุผลนั้นง่ายดายนัก เป็นเพราะจิ้นเผิงไม่อยู่

นี่ไม่ใช่คำพูดบอกปัดตามมารยาท

แต่จิ้นเผิงไม่อยู่จริงๆ

เวลาที่เขาอยู่ในเมืองหยางเหวินนั้นยังไม่มากเท่าเวลาที่เขาเร่งรีบเดินทางอยู่บนหลังม้าเลย

หลังจากพยายามมาหลายครั้ง ชิงหรานจึงนิ่งเงียบไปเสีย

และเลิกแล้วกันไปเช่นนี้

แต่พอนายท่านจินเอ่ยถึงขึ้นมาเมื่อครู่นี้ กลับทำให้คิดถึงเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นในช่วงนั้น

“เขาตายอย่างไร”

ชิงหรานถาม

แม้จะเป็นแค่คนธรรมดาผู้หนึ่งในอาคารกรมสอบสวน แต่ในใต้หล้านี้ขอเพียงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกรมสอบสวน ก็ไม่มีเรื่องใดที่ไม่ควรค่าให้ต้องระมัดระวัง

นายท่านจินส่ายหน้าพลางเอ่ย

แต่สายตากลับจรดลงที่ตัวนางเสี่ยวจง

มองจนนางอึดอัดไปทั้งตัว

“ทางเหมืองแร่รัฐหงนั่น เจ้าควบคุมได้กี่มากน้อย”

ชิงหรานถาม

แม้จะเป็นคำถามแต่น้ำเสียงและเสียงสูงต่ำกลับไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย

นี่เป็นความเคยชินของชิงหราน

แต่ไรมาเขาไม่ใช่คนใจร้อน

ตั้งแต่ฝึกดาบครั้งยังเล็กก็เป็นเช่นนี้

บางครั้งเมื่อผู้อื่นมานะพยายามก็ก้าวหน้ารวดเร็วกว่าเขามาก

แต่สุดท้ายก็เป็นเพราะเร่งสร้างผลงานเกินไปจึงพ่ายแพ้ยามประลองฝีมือกัน

พ้นจากน้ำจึงมองเห็นสองขาเปื้อนโคลน

คนที่หัวเราะคนแรก ไม่แน่ว่าจะหัวเราะไปถึงท้ายสุด

แต่คนที่หัวเราะไปจนถึงท้ายสุด กลับเป็นคนที่หัวเราะได้หวานหอมเป็นที่สุด

“เหมืองแร่ทั่วทั้งรัฐหงมีแปดหรือเก้าในสิบส่วนที่ลูกมีอำนาจพูดจาได้อย่างเบ็ดเสร็จขอรับ”

นายท่านจินพูดอย่างภาคภูมิใจ

ชิงหรานพยักหน้า

เขาให้การยอมรับและชื่นชมในความสามารถของบุตรชายคนนี้อย่างยิ่ง

ต้องรู้เสียก่อนกว่า เหมืองแร่ในรัฐหงนั้นเป็นที่ที่โหดเหี้ยมมากทีเดียว…

กิจการในครอบครัวของจวนชิงที่ใหญ่โตเพียงนี้ ล้วนไม่กล้าให้ผู้ใดก้าวก่ายได้โดยง่าย

อันตรายและความซับซ้อนที่อยู่ภายในนั้น เพียงคิดก็รู้แล้วว่าเป็นอย่างไร

แม้ว่าเหมืองแร่จะอยู่ในรัฐหง

แต่ทั่วทั้งอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง ที่นี่กลับมีสำคัญอย่างยิ่ง

ทั้งยังเป็นแหล่งผลิตแร่เหล็กที่สำคัญในใต้หล้าอีกด้วย

อาณาจักรห้าอ๋อง ว่ากันตั้งแต่บนสุดอย่างอาวุธยุทโธปกรณ์ ไปจนล่างสุดอย่างเครื่องครัวของชาวบ้าน

ไหนเลยจะขาดเหล็กไปได้

………………………………………

[1]ฝนบนเขาจวนมา ลมพัดผ่านทั่วหอ อุปมาถึงความตึงเครียดก่อนที่ความขัดแย้งหรือสงครามจะเกิดขึ้น

[2] เดิมบุปผาบนผ้าปัก หมายถึง ทำสิ่งที่ไม่จำเป็น เกินความพอดี

[3] ส่งถ่านกลางหิมะ หมายถึง ยื่นมือเข้าช่วยเหลือตอนที่อีกฝ่ายต้องการมากๆ

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท