ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 373 พายุฝนผิดแผกตายไม่รู้ตัว-2

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 373 พายุฝนผิดแผกตายไม่รู้ตัว-2

ผู้ใดสามารถควบคุมเหมืองแร่ในรัฐหงได้ ก็พูดได้ว่าควบคุมชีพจรชีวิตเส้นหนึ่งของใต้หล้าเอาไว้ได้

เวลานี้บุตรชายของตนถึงกับบอกว่าเขาสามารถควบคุมเหมืองแร่ในรัฐหงได้ถึงเพียงนี้ สำหรับชิงหรานแล้วนับว่าน่าตื่นตะลึงไม่ใช่น้อย

“ในเมื่อเป็นดังนี้ เหตุใดเจ้าจึงไม่รู้เรื่องคนของกรมสอบสวนถูกสังหารแม้แต่น้อยเล่า”

ชิงหรานใคร่ครวญอยู่พักใหญ่ก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย

“เรื่องนี้ลูกไม่รู้จริงๆ…ยังไม่ต้องเอ่ยถึงหัวหน้าอาคารกรมสอบสวนนั่นเลยขอรับ แม้แต่บุตรบุญธรรมของลูกก็ยังถูกสังหาร ยิ่งไปกว่านั้นยังถูกสังหารด้วยอาวุธชนิดเดียวกันและวิธีเดียวกันด้วยขอรับ”

นายท่านจินกล่าว

จากนั้นก็ดึงเอามีดสั้นที่ใบมีดและด้ามมีดไม่ได้สัดส่วน ทั้งยังไม่ได้ลับคมเล่มนั้นออกมาจากอกเสื้อแล้วส่งให้ชิงหราน

“ที่มาของมีดเล่มนี้ชัดเจนนัก เขานับได้ว่าเป็นสหายผู้หนึ่งของลูก มีดเล่มนี้ถูกขโมยมาจากเขา เขาไม่ใช่คนสังหารแน่ขอรับ”

นายท่านจินกล่าวด้วยความมั่นใจอย่างยิ่ง

นางเสี่ยวจงลุกขึ้นไปหยิบกาน้ำชามาริน

แต่หูนางกลับยังคงฟังเรื่องที่นายท่านจินกับชิงหรานสนทนากันโดยไม่ตกหล่นสักคำ

จากนั้นก็มีเสียงน้ำไหลดังมาจากข้างหลัง

“แม่เล็ก ท่านเป็นอะไรหรือไม่”

นายท่านจินหันไปเห็นว่าถ้วยชาตรงหน้านางเสี่ยวจงมีน้ำชาล้นออกมาแล้ว

น้ำชาล้นออกจากถ้วยลงบนโต๊ะและไหลลงบนพื้นจนหมด

“อ๊ะ…ข้าไม่เป็นไร! แสงตะเกียงในห้องนี้มืดเกินไป”

นางเสี่ยวจงพูดและรีบหยุดมือ

แต่แววตากลับเป็นประกาย

อารมณ์ที่เพิ่งสงบลงได้อย่างยากเย็นเมื่อครู่นี้ กลับสั่นสะเทือนขึ้นมาอีกครั้ง

“ใช่แล้ว…มืดเกินไปจริงๆ”

นายท่านจินกล่าวเย้าแหย่

จากนั้นก็มองไปทางบิดาของตนหนหนึ่ง

ชิงหรานนิ่งเงียบไม่พูดจา

หลังจากถือมีดสั้นเล่นอยู่ในมือพักใหญ่จึงวางลงข้างๆ

“เจ้าคงไม่ได้พบน้องชิงของเจ้านานแล้วกระมัง”

ชิงหรานเปลี่ยนเรื่องทันใด

“ขอรับ! ครั้งลูกออกจากจวนไปปีนั้น นางยังเป็นแม่นางน้อยอยู่เลย ตอนนี้คงเติบใหญ่เป็นแม่นางเต็มตัวแล้ว!”

นายท่านจินกล่าว

“ชิงเอ๋อร์หัวไวกว่าเจ้า! นางฝึกดาบตัดเงาเกือบสำเร็จแล้ว!”

ชิงหรานกล่าว

“จริงหรือขอรับ! เช่นนั้นจวนชิงของเราก็นับว่ามีผู้สืบทอดแล้ว ลูกจะต้องทำความคุ้นเคยกับน้องชิงให้มาก! พี่ชายที่ไม่เอาไหนเช่นลูก วันหน้าคงต้องขอพึ่งพานางสักหน่อยแล้วขอรับ”

นายท่านจินยิ้มพลางเอ่ย

“จะหัวไวอันใดกัน…จนเวลานี้ก็ยังมีจิตใจเหมือนเด็ก! ไม่โตเลยสักนิด จะว่าไปแล้ว เรื่องที่นางออกเดินทางครานี้ ข้าก็ยังเป็นห่วงนัก…”

นางเสี่ยวจงกล่าว

ชิงหรานเอ่ยถึงชิงเสวี่ยชิงก็เพื่อให้โอกาสนางเสี่ยวจงปกปิดสีหน้ากลัดกลุ้มของตน

บุตรธิดาเดินทางพันลี้มารดาเป็นกังวล

คนเป็นแม่จะเกิดความกังวลเมื่อบุตรสาวต้องออกเดินทางไกลก็นับเป็นเรื่องปกติ

“ท่านแม่เล็กโปรดวางใจ ที่อื่นข้าไม่กล้าพูด แต่หากว่าไปแค่เหมืองแร่รัฐหง ข้าจะไม่มีทางให้น้องสาวของข้าได้รับอันตรายใดๆ”

นายท่านจินกล่าว

จากนั้นก็ยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มจนหมดในคราเดียว

“ดื่มชาจะครึกครื้นอันใด พวกเราพ่อลูกไม่ได้พบกันเนิ่นนาน ก็ควรจะดื่มสุรากันสักสองสามจอก! และเรียกชิงเอ๋อร์มาด้วย!”

ชิงหรานกล่าว

“นายท่าน วันนี้ชิงเอ๋อร์ดื่มมามาก…เข้านอนไปนานแล้วเจ้าค่ะ”

นางเสี่ยวจงเอ่ยอย่างลำบากใจ

“นางเมาแล้ว?”

ชิงหรานแสร้งกล่าวอย่างตกใจ

ความจริงแล้ว เรื่องที่ชิงเสวี่ยชิงและเหวินฉีเหวินเพิ่งกระโดดข้ามกำแพงออกจากจวนชิงไปนั้น เขารู้เรื่องหมดแล้ว

เวลานี้ก็เพียงแสดงละครให้นางเสี่ยวจงดูก็เท่านั้น

“เจ้าค่ะ…ตอนบ่ายข้าสนทนากับท่านผู้ควบคุมรัฐเหวินพักหนึ่ง จากนั้นชิงเอ๋อร์ก็ออกไปดื่มสุรากับเหวินฉีเหวิน ตอนที่ข้ากลับมานางก็หลับไปแล้วเจ้าค่ะ”

นางเสี่ยวจงกล่าว

“เช่นนั้นเจ้าก็ไปเตรียมสุรามาให้พวกเราสองคน แล้วบอกให้ทางครัวเตรียมกับแกล้มมาสองสามอย่าง ไม่ต้องทำให้ยุ่งยากมาก ง่ายๆ สักหน่อยเป็นพอ”

ชิงหรานกล่าว

นางเสี่ยวจงตอบรับคำหนึ่ง จึงออกจากห้องนอนไปจัดการตามคำ

“เจ้ายังมีเรื่องใดอยากพูดอีก”

ประตูห้องเพิ่งปิดลงชิงหรานก็เอ่ยถามทันใด

“ท่านพ่อยังมีเรื่องใดอยากถามอีกขอรับ”

นายท่านจินย้อนถาม

พอกล่าวออกไปดังนี้

สองพ่อลูกก็กลับหัวเราะยกใหญ่ขึ้นมา

หลังจากนางเสี่ยวจงสั่งความพ่อบ้านตามที่ชิงหรานบอก และกำลังจะผลักประตูเข้าไปนั้นเอง

แต่พอได้ยินเสียงหัวเราะลั่นนี้ ก็หดมือกลับและไปจากเรือนหลักของจวนชิงทันที

นางจะไปหออาภรณ์ปักลาย

ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องปลุกชิงเสวี่ยชิงให้ตื่นให้ได้

ไพ่ใบสุดท้ายที่นางมีอยู่ในจวนชิงในเวลานี้ ก็คือบุตรสาวของนางที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับชิงหรานผู้นี้นั่นเอง

“พ่อแค่อยากถามเจ้าว่า ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนสังหารจริงๆ หรือ”

ชิงหรานถาม

“ลูกไม่รู้จริงๆ ขอรับ แต่ลูกก็คาดเดาเอาไว้อย่างหนึ่ง”

นายท่านจินกล่าว

“เจ้าหมายถึงแม่เล็กของเจ้า?”

ชิงหรานถาม

นายท่านจินพยักหน้า

“ยิ่งไปกว่านั้น ข้ากล้ามั่นใจได้เลยว่านางจะต้องเคยไปเหมืองแร่อย่างน้อยครั้งหนึ่ง! และเป็นในระยะนี้ด้วย!”

นายท่านจินกล่าว

“อ้อ? เพราะเหตุใด”

ชิงหรานได้ฟังก็ไม่เข้าใจอย่างยิ่ง

เขาล้วนควบคุมทุกสิ่งในจวนชิงอย่างลับๆ เอาไว้แน่นหนานัก

และระยะห่างจากเหมืองแร่รัฐหงกับจวนชิงอย่างน้อยต้องใช้เวลาเดินทางสองวัน

ไปและกลับหนหนึ่งก็ต้องใช้เวลาสี่วัน

หลังจากชิงหรานเจ็บป่วยไม่ออกไปข้างนอก ปิดประตูไม่รับแขก ทุกเรื่องในจวนชิงล้วนเป็นนางเสี่ยวจงจัดการ

แต่ก็ไม่เคยได้ยินว่านางไม่อยู่ในจวนติดต่อกันหลายวัน

“นั่นเพราะนอกจากคนที่ลงมือสังหารคนไปแล้ว ยังมีคนร้ายอีกคนที่เคยจะลอบสังหารหลิวรุ่ยอิ่ง นายกองกรมสอบสวนผู้นั้นในร้านขายของชำของน้องสาวลูกด้วยขอรับ”

นายท่านจินกล่าว

“แม่เล็กของเจ้าไม่ได้ฝึกยุทธ์ หรือต่อให้หลายปีมานี้นางจะแอบฝึกบ้างเล็กน้อย ก็ไม่มีความสามารถถึงเพียงนั้น”

ชิงหรานส่ายหน้าพลางเอ่ย

“เป็นดังนั้นแน่นอนขอรับ เพราะคนที่ลอบสังหารหลิวรุ่ยอิ่งนายกองกรมสอบสวน แม้ว่าสิ่งที่เขาใช้จะเป็นมีด แต่เขากลับใช้มีดไม่เป็น แต่กลับใช้อาวุธลับ ซ้ำยังเป็นอาวุธลับชั้นสูงที่ต้องใช้พลังปรานด้วยขอรับ”

นายท่านจินกล่าว

ชิงหรานนิ่งเงียบไป

คนร้ายที่ใช้มีดไม่เป็น แต่กลับถือมีดไปสังหารคน

มือสังหารอีกผู้หนึ่งใช้มีด แต่กลับเป็นมีดที่ขโมยมา

วิธีเช่นนี้มีความเป็นไปได้อย่างเดียว

นั่นก็คือทั้งสองล้วนปกปิดตัวตนที่แท้จริงของตน

คนที่ใช้มีดไม่เป็นกลับใช้มีด ก็เพื่อเข้าจู่โจมในเวลาสำคัญโดยไม่ให้ตั้งตัว

นั่นเพราะสิ่งสำคัญในการใช้อาวุธลับก็คือต้องคว้าโอกาสเหมาะให้ได้

คนที่ใช้มีดอาจเป็นไปได้ว่าไม่ต้องการให้ผู้อื่นมองภูมิหลังวิชามีดของเขาออก ด้วยเหตุนี้จึงเลือกมีดพังๆ เล่มหนึ่งมาสังหารคน

แต่คนทั้งสองกลับเป็นยอดฝีมือทั้งสิ้น

อาวุธลับพลังปราณเดิมทีก็เป็นวิชาอาวุธลับที่สูงส่งยิ่งนักอยู่แล้ว

สามารถเข้าจู่โจมได้เต็มที่โดยไม่ทันตั้งตัว

ส่วนคนอีกผู้หนึ่งกลับมั่นใจในตนเองยิ่งว่าจะสามารถสังหารได้ในมีดเดียว

นั่นเพราะหากให้อีกฝ่ายมีหนทางรอดก็จะรักษาความลับของคนผู้นี้เอาไว้ไม่ได้

‘นาง’ ที่เขาหมายถึงก็คือนางเสี่ยวจง

ชิงหรานอ้าปากกำลังจะพูดบางอย่าง ประตูห้องกลับถูกผลักเปิดออกอีกครั้ง

“ชิงเอ๋อร์ เจ้าตื่นแล้ว?”

ชิงหรานเห็นว่าคนที่เข้าประตูมาก็คือชิงเสวี่ยชิง

เพียงแต่สายตายนางเลื่อยลอยนัก

เห็นชัดว่าถูกนางเสี่ยวจงปลุกให้ลุกจากเตียงมา

“ท่านพ่อ!”

ชิงเสวี่ยชิงมองชิงหรานแล้วร้องออกมาคำหนึ่ง

ชิงหรานให้นางนั่งลงที่ข้างเตียง ก่อนชี้ไปยังนายท่านจินและถามว่า

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาคือผู้ใด”

“ข้าไม่ทราบเจ้าค่ะ”

ชิงเสวี่ยชิงเบิกตาโตมองนายท่านจินจึงเอ่ยทั้งส่ายหน้า

ตอนที่นายท่านจินออกจากเรือนไปนั้นนางยังเล็กนัก

ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยพายุทรายในเหมืองแร่ตลอดหลายปีนี้ ก็สลักให้คุณชายใหญ่แห่งจวนชิงที่เคยมีผิวพรรณนวลนุ่มกลายเป็นชายชาตรีผิวหยาบกร้าน

กอปรกับฤทธิ์สุราในตัวนางยังไม่หายไปจนหมด

หากจะมองไม่ออกก็เป็นเรื่องธรรมดา

“เขาคือชิงหง พี่ชายของเจ้า”

ชิงหรานกล่าว

“ฮะ! ท่านก็คือพี่ชายของข้าที่อยู่ที่เหมืองแร่หรือเจ้าคะ! อีกสองสามวันข้ากับพี่เหวินกำลังจะไปหาท่านอยู่พอดี!”

ชิงเสวี่ยชิงเอ่ยอย่างตื่นเต้น

นางไม่รู้เรื่องราวยุ่งเหยิงภายในจวนชิงแม้แต่น้อย

แต่เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ เมื่อชิงเสวี่ยชิงได้พบพี่ชายร่วมบิดาแต่ต่างมารดาของตนก็ยังดีใจยิ่งนัก

นางเสี่ยวจงให้บ่าวจัดโต๊ะเล็กๆ ตัวหนึ่งที่ข้างเตียงของชิงหราน

สุราสามกา จอกสุราสามจอก ทุกอย่างพร้อมสรรพ

เพียงแต่กับแกล้มยังต้องรออีกสักครู่

“มาเถิด วันนี้พี่ชายของเจ้ากลับมา พ่อดีใจนัก! พวกเรามาดื่มด้วยกันสักจอก!”

ชิงหรานกล่าว

บนโต๊ะเล็กกลับไม่มีจอกสุราของนางเสี่ยวจง

เดิมทีนางยังนึกว่าชิงหรานจะออกปากให้นางร่วมดื่มด้วย

แต่นึกไม่ถึงว่ากลับมองผ่านนางไปเสียแล้ว

เห็นดังนั้น นางจึงได้แต่ยืนยิ้มอยู่ข้างหลัง

“ร่างกายของท่านพ่อเวลานี้ ดื่มสุราได้แล้วหรือเจ้าคะ”

ชิงเสวี่ยชิงถาม

“ว่ากันว่ายิ้มครั้งหนึ่งหายร้อยโรค เมาหนหนึ่งคลายทุกข์นับพัน! ลูกว่าด้วยร่างกายของพ่อนี้จะดื่มสุราได้หรือไม่”

ชิงหรานลูบหัวชิงเสวี่ยชิงเบาๆ พลางเอ่ย

ชิงเสวี่ยชิงได้ยินก็หัวเราะฮิๆ พร้อมกับรินสุราให้ชิงหรานและนายท่านจิน

“ท่านพี่ ข้าคารวะท่านหนึ่งจอก!”

ชิงเสวี่ยชิงลุกขึ้นยืน เอ่ยพร้อมใช้สองมือยกจอกขึ้น

“นึกไม่ถึงว่าแม่นางตัวน้อยๆ ในปีนั้น เวลานี้กลับมีท่าทีเช่นจอมยุทธ์หญิงขึ้นมาแล้วหลายส่วน! ตัวข้าที่เป็นพี่ชายเจ้าไม่มีความสามารถใด คิดเอาเองว่าตนคอแข็งไม่เลว แต่ก็ไม่เคยเห็นว่าผู้ใดเมาสุราจนหลับไปแล้วก็ยังสามารถลุกขึ้นมาดื่มต่อได้อีก!”

นายท่านจินพูดกระเซ้านาง

ชิงเสวี่ยชิงได้ฟังก็รู้ว่าทุกคนล้วนรู้เรื่องที่นางดื่มจนเมามายก่อนหน้านี้หมดแล้ว

ทันใดนั้นจึงก้มหน้าแลบลิ้นออกมาอย่างเขินอาย

“พี่มาอย่างรีบร้อน ไม่ได้นำของกำนัลใดมามอบให้เจ้า! ไว้เจ้าไปที่เหมืองแร่แล้วมาอยู่ที่เรือนพี่ ต้องตาสิ่งใดก็หยิบไปได้ตามใจชอบ!”

นายท่านจินพูดและยกกาสุราขึ้นมา

พูดจบก็ยกกาสุราชนจอกสุราในมือของชิงเสวี่ยชิง ก่อนแหงนหน้าขึ้นดื่มจนหมดในคราวเดียว

“ท่านพี่เก่งกาจจริงๆ…”

ชิงเสวี่ยชิงไม่เคยเห็นคนดื่มสุราถึงอกถึงใจเช่นนี้มาก่อน อดอุทานหลุดปากชมขึ้นมาไม่ได้

นายท่านจินกับไม่รู้สึกประหลาดอันใด

เขาถนัดการดื่มสุราอย่างเร่งรีบเช่นนี้เป็นที่สุด

“ชิงเอ๋อร์ อย่าเอาอย่างพี่ชายเจ้า นั่นเป็นวิธีของพวกคนหยาบ! เราเป็นสตรีก็ต้องสำรวมกิริยาที่พึงเอาไว้บ้าง! มา พ่อจะค่อยๆ ดื่มกับเจ้า!”

ชิงหรานยกจอกสุราขึ้น ดื่มกับชิงเสวี่ยชิงอย่างไม่รีบร้อน

“ท่านพี่เจ้าคะ เหมืองแร่เป็นเช่นใดเจ้าคะ สนุกหรือไม่”

ชิงเสวี่ยชิงถามเมื่อวางจอกสุราลง

ที่ที่ใกล้ที่สุดที่นางเคยไปก็คือตรอกเล็กๆ ภายในหัวเมืองรัฐหงที่ผู้คนไปจิบสุรากันเท่านั้น

จึงมีความอยากรู้อยากเห็นเต็มเปี่ยมกับเหมืองแร่ซึ่งเป็นที่ที่ไม่คุ้ยเคย

“หากจะบอกว่าสนุก ข้าก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี…ทว่าจะต้องเป็นเรื่องแปลกใหม่ที่เจ้าไม่เคยพบเห็นมาก่อนแน่นอน!”

นายท่านจินกล่าว

“ขอเพียงเป็นเรื่องที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน ก็ต้องสนุกทั้งนั้นเจ้าค่ะ!”

ชิงเสวี่ยชิงตบมือเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

เห็นชัดว่านางเฝ้ารอการเดินทางไปเหมืองแร่ที่กำลังจะมาถึงอย่างมาก

“ครานี้ท่านพี่กลับมารับข้าโดยเฉพาะหรือเจ้าคะ”

ชิงเสวี่ยชิงถามอีก

“เจ้าคิดว่าจะให้ข้ารอเจ้าที่นี่หรือจะให้ไปพร้อมกับเจ้า”

นายท่านจินกล่าว

ชิงเสวี่ยชิงคิดสักพักแต่กลับชั่งใจยากเย็น

เดิมทีนางคิดว่าจะเดินทางกับเหวินฉีเหวินอย่างผ่อนคลายสบายใจไปตลอดทางจนถึงเหมืองแร่

แต่หากว่าพี่ชายของนางร่วมทางไปด้วย ก็ต้องคอยสำรวมตัวอย่างเลี่ยงไม่ได้

สิ่งที่ไม่รู้

แม้จะแปลกใหม่ก็แปลกใหม่อยู่ แต่อย่างไรก็ยังรู้สึกตื่นเต้นอยู่ดี

เรื่องนี้ทำให้ชิงเสวี่ยชิงต้องสับสนอย่างยิ่งอยู่ในใจ

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท