ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 375 พายุฝนผิดแผกตายไม่รู้ตัว-4

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 375 พายุฝนผิดแผกตายไม่รู้ตัว-4

สถานการณ์เปลี่ยนไป ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปด้วย

หากต้นทุนที่จวนชิงจะรักษาตัวและชีวิตไว้อยู่ที่คำว่า ‘สันติ’ คำนี้

เช่นนั้นเรื่องที่เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาอยากทำก็มีเพียงเรื่องเดียว นั่นคือรักษาสมดุล

“เจ้าถามเช่นนี้ได้ ก็แสดงว่าในใจเจ้ามีแผนการแล้ว”

ชิงหรานเอ่ย

“พวกเราไปเขาหิมะกันเถิดขอรับ นับแต่นี้ไปไม่ต้องข้องแวะกับแดนมนุษย์นี้อีก”

นายท่านจินกล่าว

“นี่เป็นหนทางที่ดีหนทางหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่พ่อไปไม่ได้…แต่เจ้าจะต้องพาน้องสาวทั้งสองของเจ้าออกไป”

ชิงหรานยิ้มเจื่อน

นายท่านจินเข้าใจความหมายของบิดาตน

ในใจพลันเศร้าโศกเหลือประมาณ

เขารู้ว่าจิตใจและเวลาที่เหลืออยู่ของบิดา แม้ไม่ได้ตายจากไปตามมารดา

แต่ในอึดใจที่เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยามอบหยกประดับไว้ในมือเขา ทุกสิ่งก็ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว

ทว่านับแต่ที่เวลาหยุดเดิน นายท่านจินกลับยังคงจำภาพที่เขานั่งอยู่บนไหล่ของบิดาครั้งเขายังเล็กได้

ชุดเสื้อผ้าสีคราม พัดเปิดนานาเรื่องราวในสี่ฤดูที่หมุนวนสับเปลี่ยน มารดาแหงนหน้าขึ้นมองพ่อลูกสองคน

แววตานางแสนอ่อนโยนราวผืนหมอกขาวกว้างที่แผ่ขยายอยู่ทั่วริมแม่น้ำจักรพรรดิยามอรุณรุ่ง

เวลานั้น ทั้งนายท่านจินและชิงหรานล้วนคาดคิดไม่ถึงว่า วันหนึ่งในฤดูหนาวในอีกสิบกว่าปีต่อมา หิมะที่ร่วงลงมาจะเข้าปกคลุมบทเพลงที่ยังบรรเลงไม่จบของจวนชิงเอาไว้ทั้งหมดจนเย็นเยือกเหน็บหนาว

ดึกมากแล้ว

ทุกคราวที่ถึงยามค่ำคืน ขอบฟ้าระหว่างฟ้าดินจะขมุกขมัวยิ่งนัก

หลังแสงสว่างลับจากผืนดิน

หลังลมประจิมตามถนนเก่าพัดเมฆยามอาทิตย์อัสดงกระจายไป

หลังจากบิดาที่หนักแน่นดั่งทะเลลึกพยายามอดทนอดกลั้น

หลังบุปผาต้นหลิวละลายจากน้ำแข็งภายใต้สายลมวสันต์โบกพัด

หลังนกบนเขาถูกปลุกให้ตื่นและบินว่อนไปทั่วทิศ

หลังจากใบหน้าหล่อเหลาที่นายท่านจินเคยมีกลับปรากฏริ้วรอยของกาลเวลา

สุราดื่มจนหมดแล้ว

นายท่านจินและชิงหรานมองหน้ากันไร้ซึ่งวาจา

ไม่มีปลงอนิจจัง ไม่มีถอนใจ สีหน้านิ่งสงบ

“ลูกกลับก่อน ท่านพ่อรีบเข้านอนเถิด”

นายท่านจินลุกขึ้นพลางเอ่ย

เมื่อเห็นว่าบิดาของตนไม่มีท่าทีตอบใดๆ นายท่านจินจึงเตรียมจะจากไป

“พรุ่งนี้เจ้าต้องไปจวนผู้ควบคุมรัฐหงด้วยกันกับพ่อ”

ก่อนนายท่านจินจะผลักประตูห้อง จู่ๆ ชิงหรานก็เอ่ยออกมา

ฝีเท้าของนายท่านจินชะงักลง ตอบตกลงไปคำหนึ่ง

จึงออกไปจากเรือนหลักของจวนชิง

นายท่านจินเดินช้าๆ อยู่ในสวนดอกไม้

เขานอนไม่หลับ

เขาไม่เคยนอนแต่หัวค่ำเช่นนี้มาก่อน

เว้นเสียแต่เขาดื่มจนเมาแล้ว

แต่สุราหลายกาในคืนนี้ยังห่างจากจำนวนที่ทำให้เขาเมาอีกไกลนัก

นายท่านจินค่อนข้างรู้สึกเบื่อหน่าย

ที่นี่แม้จะเป็นที่ที่เขาอาศัยอยู่แต่เล็ก

แต่ไม่ได้กลับมานานเพียงนี้ ก็ยังรู้สึกไม่คุ้นเคยอย่างประลาด

คนที่คุ้นเคยภายในจวนเมื่อก่อนนี้ ก็ไม่รู้ว่ายังอยู่หรือไม่

ต่อให้อยู่ เมื่อได้เห็นนายท่านจินในรูปลักษณ์เช่นนี้ก็ไม่แน่ว่าจะจำได้

ตอนที่นายท่านจินเดินเข้ามาในจวนชิง เขามีความรู้สึกกดดันอย่างหนึ่งอยู่ในใจที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้…

ราวกับว่าเขาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของที่แห่งนี้

เรือนแต่ละหลังท่ามกลางราตรีมืดมิด ถนนหินสายเล็กๆ ข้างใต้เท้า รวมถึงธารน้ำและพุ่มบุปผาข้างทาง ล้วนกำลังต่อต้านเขาอย่างไร้สุ้มเสียง

นายท่านจินเดินมาถึงเรือนพักเมื่อก่อนของตน ที่แห่งนี้ยังคงมีสภาพเช่นเดิม

ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนไปเลย และมองไม่ออกว่ามีความทรุดโทรมใดๆ

ดูทีว่านางเสี่ยวจงจะไม่ได้โกหกจริงๆ

ต้องมีการจัดบ่าวไพร่มาทำความสะอาดเป็นประจำ

ทว่าเดินวนเวียนอยู่หลายคราว เขากลับไม่ได้เข้าไป

นายท่านจินถอนหายใจครั้งหนึ่ง จึงเดินออกไปจากจวนชิง

เขายังคงตัดสินใจว่าจะไปหาโรงเตี๊ยมสักแห่งในตัวเมืองรัฐหงเพื่อพักอาศัย

เมื่อจากไปเนิ่นนาน คนเราย่อมคิดถึงบ้าน

แต่หากว่าจากมานานมากพอ บ้านก็จะเลือนลางขึ้นอย่างแปลกประหลาดตามไปด้วย คนเราก็จะไม่ยึดติดมากขึ้น ทุกที่ล้วนเป็นบ้าน

นายท่านจินไม่ได้จะเดินออกไปทางประตูหลักของจวนชิง

ครั้งนั้นตอนที่เขายังอยู่ในบ้าน เคยให้คนทำประตูข้างประตูหนึ่งที่ด้านหลังเรือนพักของตน

ประตูข้างนั้นสร้างไว้พรางสายตาอย่างยิ่ง

เปิดปิดประตูด้วยคันบังคับที่เชื่อมต่อกลไกไว้

คันบังคับอยู่บนพื้นข้างประตูบานนั้น

ตลอดทั้งปีหากไม่มีหญ้าเขียวใบไม้ร่วงถมทับก็จะถูกหิมะขาวปกคลุม

แต่กลับมีเขาผู้เดียวที่รู้เรื่องนี้

เพียงแต่ในขณะที่เขาเพิ่งเดินอ้อมมาทางด้านหลังที่พักตนเองกลับต้องหยุดเท้าลง

กลิ่นคาวเลือดรุนแรงอบอวลอยู่ในอากาศ ทำเอานายท่านจินสำลักจนไอออกมาเบาๆ

ทันใดนั้นเอง ประกายดาบสายหนึ่งสาดแสงขึ้นท่ามกลางราตรีมืดมิดราวกับสายอัสนีบนท้องนภา

นายท่านจินเห็นเข้าจึงถอยไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว

แต่เท้ากลับไม่ระวังไปเหยียบของลื่นบางอย่างจนเกือบหกล้ม

หลังจากทรงตัวได้มั่นคงอย่างยากเย็น ก็พบว่าแสงดาบนั้นหายไปแล้ว

“ผู้ใด”

นายท่านจินถาม

มือขวาของเขาดึงคอเสื้อลง

เผยให้เห็นดาบยาวเล่มหนึ่ง

“เจ้าควรถามว่าผู้ใดกล้าบุกเข้ามาฆ่าคนในจวนชิงต่างหาก”

เสียงหนึ่งดังขึ้น

เสียงฝีเท้าเนิบนาบกำลังใกล้เข้ามา

คนผู้นั้นจุดไฟ เพียงดีดนิ้วไฟก็ถูกดีดเข้าไปยังตะเกียงข้างทาง

“เป็นเจ้า!”

นายท่านจินเพิ่งมองใบหน้าของคนผู้นี้ได้ชัดเจน

พวกเขาล้วนคือบ่าวและเวรยามในจวนชิง

มากมายถึงสิบเจ็ดสิบแปดศพ

บางคนตายมานานแล้ว

แผลที่ลำคอแห้งกรัง

แต่ก็มีบางคนที่เพิ่งตาย

เลือดสดๆ ยังคงไหลทะลักลงพื้นจนกลายเป็นแอ่งเลือด

นายท่านจินยากจะเชื่อทุกสิ่งที่เห็นตรงหน้า ทว่าสายตาเขายิ่งจับจ้องไปที่ตัวชายหนุ่มท่าทีสุขุมลุ่มลึกที่อยู่ตรงหน้า

“ข้านึกว่าเจ้าตายไปนานแล้วเสียอีก!”

นายท่านจินกล่าวอย่างสะเทือนใจ

เบ้าตาเริ่มเปียกชื้น น้ำเสียงก็อดสั่นเครือไม่ได้…

“ข้าคนที่เจ้ารู้จักได้ตายไปแล้ว”

ชายหนุ่มลุ่มลึกกล่าว

“แต่เจ้าไม่เพียงไม่ตาย ยังฆ่าคนของจวนชิงด้วย”

นายท่านจินกล่าว

“ข้าไม่ได้อยากฆ่าพวกมันเลย…แต่เพราะเรือนเจ้าป้องกันแน่นหนาเหลือเกิน ดังนั้นพวกมันจำต้องตาย”

ชายหนุ่มลุ่มลึกกล่าว

พูดจบก็ยังโค้งตัวต่ำให้ศพที่พื้นหนหนึ่ง คล้ายกำลังขออภัย

“ธรรมเนียมตามมารยาทเช่นนี้ ยังจำเป็นต้องทำด้วย?”

นายท่านจินถาม

“ข้าไม่ได้ทำให้เจ้าดู แต่ทำเพื่อตนเอง เพราะข้าไม่ได้อยากฆ่าคนมากมายเช่นนี้”

และยังเอาดาบในมือเก็บเข้าฝักด้วย

“เช่นนั้นเจ้าต้องการสังหารผู้ใด”

นายท่านจินถาม

“เจ้าคิดว่าใครเล่า”

ชายหนุ่มลุ่มลึกย้อนถามพลางยิ้ม

นายท่านจินก็ยิ้มเช่นกัน

ที่แห่งนี้แทบไม่มีคนมา

จวนชิงในเวลานี้ มีเพียงเขาคนเดียวที่รู้ว่าที่นี่ยังมีประตูข้างลับอยู่

และแน่นอน นอกเสียจากหลี่จวิ้นชางที่อยู่ตรงหน้า ผู้ซึ่งนายท่านจินคิดว่าเขาตายไปแล้วผู้นี้ด้วย

เขานับเป็นสหายครั้งยังเล็กของนายท่านจิน

ตอนที่ทั้งสองยังเด็กก็คอยเล่นอยู่ด้วยกันทั้งวัน

เรื่องซุกซนก่อกวน ลักเล็กขโมยน้อย ไม่เว้นแม้สักเรื่อง

ตระกูลหลี่แห่งรัฐหง

เคยเป็นตระกูลใหญ่ในรัฐหงที่เป็นรองเพียงจวนชิงเท่านั้น

แต่เมื่อสิบห้าปีก่อนไม่รู้ว่าไปล่วงเกินผู้ใดเข้าจึงถูกฆ่าล้างตระกูล

ครั้งนั้น ได้ยินว่าเรื่องนี้ยังทำให้เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาต้องตื่นตกใจยิ่ง

ทว่าท้ายที่สุดแล้วกลับกลายเป็นคดีที่ปิดไม่ได้ และเลิกแล้วต่อกันไปทั้งอย่างนั้น

กอปรกับเมื่อตรวจนับศพทีละศพตามบันทึกสายตระกูลหลี่แล้วก็พบว่าไม่มีคนเหลือรอดสักคน

นับแต่นั้นมา ภายในรัฐหงจึงมีเพียงจวนชิงที่เป็นตระกูลใหญ่เพียงตระกูลเดียว

นอกจากจวนผู้ควบคุมรัฐแล้ว ก็ไม่มีฝ่ายอำนาจใดหรือคนผู้ใดที่สามารถคานอำนาจกับจวนชิงได้

เช่นเดียวกับดาบตัดเงาที่สืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่นในจวนชิง ตระกูลหลี่ก็มีวรยุทธ์ที่สืบทอดในตระกูลเช่นกัน

ชื่อว่า ‘คืบศอกขอบฟ้า’

คำนี้เดิมทีก็ไม่สอดคล้องกับหลักตรรกะ

คืบศอกยาวไม่ถึงชุ่น

แต่ขอบฟ้ากลับไกลจนสุดลูกหูลูกตา

พอเอาคืบศอกกับขอบฟ้ามาวางไว้ด้วยกัน ก็ไม่ใช่ว่าเป็นชาดแดงกับน้ำหมึกที่ไม่อาจผสานเข้าด้วยกันหรอกหรือ

แต่ตระกูลหลี่ก็ยังตั้งชื่อเช่นนี้

คืบศอกใกล้หรือไม่

ใกล้!

เมื่อเป็นที่ที่อยู่ใกล้ในสายตา ล้วนนับว่าเป็นระยะคืบศอก

ขอบฟ้าไกลหรือไม่

ไกล!

ขอเพียงเป็นที่ที่มองไม่เห็น และไปไม่ถึงล้วนเป็นขอบฟ้าได้ทั้งสิ้น

สำหรับคนทั่วๆ ไป การไปซื้อธัญพืชสามถังที่ร้านขายข้าวในวันพรุ่งก็นับว่าเป็นคืบศอกได้

แต่หากให้พวกเขามาดื่มชาดอกไม้ในจวนชิงก็นับว่าเป็นขอบฟ้าได้

ฉะนั้นคืบศอกกับขอบฟ้านี้ อย่างไรก็เป็นของตรงข้ามกัน

คืบศอกของเจ้า บางทีอาจเป็นขอบฟ้าของข้า

ดาบในมือหลี่จวินชางก็มีนามว่าคืบศอกขอบฟ้าด้วยเช่นกัน

ว่ากันว่ามีเพียงยามที่ใช้ดาบเล่มนี้ จึงสามารถแสดงอานุภาพของเพลงดาบคืบศอกขอบฟ้าออกมาได้สูงสุด

ครั้งยังเล็ก นายท่านจินกับหลี่จวินชางล้วนฝึกดาบ

ดาบตัดเงามีแต่รุกไม่มีรับ ตายสิบไม่เหลือรอด

เป็นดาบสังหารแต่หัวจรดเท้าอย่างแท้จริง

แต่คืบศอกขอบฟ้าของหลี่จวินชางกลับไม่ใช่

ดาบหนึ่งออกไป สามารถส่งชีวิตคนในระยะคืบศอกไปยังสุดขอบฟ้าได้

ดาบหนึ่งออกไป ก็สามารถส่งวิญญาณที่อยู่สุดขอบฟ้ามาที่ระยะคืบศอกได้เช่นกัน

เรียกได้ว่าเป็นตายในชั่วหนึ่งความคิด

สังหารกับช่วยคนล้วนอยู่ในดาบนี้

นายท่านจินไม่รู้ว่าหลี่จวิ้นชางมีชีวิตรอดมาได้อย่างไร

และไม่รู้ว่าตลอดหลายปีมานี้เขาต้องเผชิญกับสิ่งใดมาบ้าง

ทว่าจากศพที่เกลื่อนเต็มพื้นและดาบเปื้อนเลือดก็มองออกได้ไม่ยากว่าเขาเลือกข้อแรก

ดาบคืบศอกขอบฟ้าอยู่ในมือเขาแต่กลับไม่เคยช่วยผู้ใดเลย

มันเพียงกวาดอุปสรรคทุกอย่างที่ขวางหน้าออกไปจนหมด

ไม่ว่าจะเป็นมารร้ายหรือผู้คนที่บริสุทธิ์ก็ล้วนเหมือนกัน

ครั้งหลี่จวิ้นชางยังไม่ได้สืบทอดดาบบรรพบุรุษจากบิดา เขาก็เข้าใจหลักการนี้แจ่มชัดแล้ว

เวลานั้น เขายังเป็นเด็กหนุ่มที่แบ่งแยกความรักและความเกลียดชัดอย่างชัดเจนผู้หนึ่ง

ไม่ว่าจะพบเจอความยากลำบากและความพ่ายแพ้ใด ใจก็ยังเปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้นที่ไม่มอดดับ

ในอกเต็มไปด้วยปณิธานแสนห้าวหาญและทุกข์สุขของใต้หล้า

“เหตุใดเจ้าต้องฆ่าคน”

นายท่านจินถาม

“รับเงินทองคน ช่วยคนขจัดภัย”

หลี่จวิ้นชางเอ่ยคำพูดแสนเก่าแก่นี้ออกมา

ไม่ว่าผู้ใดที่สังหารคนต่างสามารถใช้คำพูดนี้ล้างมลทินให้ตนเองได้

ฉะนั้น พูดแล้วก็เท่ากับไม่ได้พูด

“เจ้าต้องการเงินเหตุใดไม่มาหาข้า”

นายท่านจินเอ่ยทั้งขมวดคิ้ว

“ข้าเคยมาหาเจ้า เพราะข้ามีเจ้าเป็นสหายเพียงผู้เดียว แต่เจ้ากลับไม่อยู่”

หลี่จวิ้นชางกล่าว

นายท่านจินนิ่งงัน…

ครั้งตระกูลหลี่ถูกสังหารทั้งตระกูล เขาออกเดินทางไกลไปเหมืองแร่แล้ว

แม้ว่าเขาเคยส่งคนมาสืบข่าวของหลี่จวิ้นชาง แต่ตอนที่เขารู้ว่าตระกูลหลี่ทั้งตระกูลแต่บนลงล่างล้วนไม่มีใครเหลือรอด เขาก็คิดว่าสหายสนิทของตนผู้นี้ต้องไม่อาจหนีรอดจากชะตากรรมนี้ด้วยเช่นกัน

ได้พบสหายเก่าอีกครา เดิมทีก็เป็นเรื่องที่ทำให้น่ายินดี

ควรไปร่วมดื่มกินกันขนานใหญ่สักหน ไม่ควรชักดาบออกมาเล็งใส่กันและกันเช่นนี้

ทว่านั่นคือหลี่จวิ้นชางคนก่อน

เขาในยามนี้ไม่ใช่จอมยุทธ์หนุ่มผู้ร่ำรวยที่รังเกียจความชั่วเช่นศัตรูผู้นั้นอีกแล้ว

แต่เป็นมือสังหารในยุทธภพผู้น่าสมเพช

คืบศอกขอบฟ้าไม่ใช่ดาบขจัดภัยร้ายเช่นในวันก่อนอีกแล้ว

ตลอดหลายปีมานี้ ในชีวิตที่ต้องระเหเร่รอนของหลี่จวิ้นชาง คืบศอกขอบฟ้าอาบเลือดสดมากี่มากน้อย แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังจำไม่ได้

ครั้งประลองดาบเมื่อยังเล็ก หลี่จวิ้นชางมักพ่ายให้นายท่านจิน

แต่เวลานี้เขากลับมั่นใจยิ่งว่า นายท่านจินไม่มีทางขวางการโจมตีเต็มกำลังของคืบศอกขอบฟ้าในมือเขาได้

เวลาส่งผลให้คนเปลี่ยนแปลงไปมากมายและใหญ่หลวงเหลือเกิน…

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท