บทที่ 1230 ตอนพิเศษ (91.1)
“อย่าวิ่ง…”
ซ่งหานจือเดินเข้ามาในเรือนพร้อมกับขนมถังหูลู่หลายสิบไม้ เขาเห็นลู่จื่อชิงกำลังวิ่งตามลู่อวี่เล่อ
ลู่อวี่เล่อ ลูกชายคนโตของลู่ฉาวอวี่และอาจจะเป็นลูกคนเดียว เพราะสิงเจียซือร่างกายไม่แข็งแรงนัก ลู่ฉาวอวี่จึงไม่อนุญาตให้นางคลอดลูกอีก ทั้งคู่จึงไม่มีแผนจะมีลูกคนที่สอง
เป็นเวลาสามปีแล้วที่ลู่อวี่เล่อเกิดมา
ลู่อวี่เล่อได้รับการถ่ายทอดความงดงามมาจากบิดา ดูเหมือนเทพเซียนน้อยผู้หนึ่ง เขาชอบเล่นกับอาหญิงรองมากที่สุด เพราะอาหญิงรองไม่เคร่งครัดเท่ากับบิดาและไม่น่ากลัวเท่ามารดาของเขา เด็กน้อยจึงมักจะมาเล่นซนอยู่กับนาง ทว่าตอนนี้ท้องของอาหญิงรองโตขึ้นแล้ว อาเขยรองคอยดูแลอย่างใกล้ชิด นางจึงทำอย่างเมื่อก่อนที่คิดจะขี่ม้าก็ขี่ คิดจะขึ้นเขาไปจับกระต่ายก็ขึ้นได้
“ไม่ใช่ว่าเจ้าอยากกินถังหูลู่หรือ? ข้าซื้อกลับมาให้เจ้า” ซ่งหานจือประคองลู่จื่อชิงนั่งลง
ลู่จื่อชิงมองถังหูลู่ตรงหน้าแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ซ่งหานจือ เจ้ากำลังป้อนอาหารหมูหรือไร? ข้ากินเยอะเพียงนั้นได้ที่ใดกัน?”
“เจ้าจะกินกี่ไม้ก็กินเท่านั้น ไม่อยากกินก็แบ่งให้ผู้อื่น” ซ่งหานจือยกมือลูบท้องของนาง “ท้องใหญ่เพียงนี้ยังมัวเล่นซนกับเล่อเอ๋อร์อยู่อีก เล่อเอ๋อร์ อาเขยกำชับเจ้าไว้ว่าอย่างไร? ท้องอาหญิงรองของเจ้าโตแล้ว เจ้าจะต้องคอยจับตาดูนาง อย่าให้นางวิ่งเพ่นพ่านไปทั่ว เหตุใดจึงมาวิ่งเล่นไล่จับกับนางได้เล่า?”
“ท่านอาเขยรอง ท่านหมอบอกว่าอาหญิงรองของข้าแข็งแรงราวกับลูกวัว ไม่เป็นอะไรแม้แต่น้อย ท่านอย่าได้กังวลเพียงนั้น” ลู่อวี่เล่อกล่าว “ท่านดูสิ นางวิ่งได้เร็วเพียงใด วิ่งเร็วยิ่งกว่ากระต่ายซะอีก”
“เล่อเอ๋อร์พูดถูก” ลู่จื่อชิงกล่าว “เจ้าอย่าได้กังวลจนเกินไป ข้าที่กำลังจะคลอดลูกยังไม่กังวล เจ้าจะกังวลไปไย”
ซ่งหานจือบีบจมูกนางเบา ๆ “ข้าจะเขียนจดหมายไปบอกพ่อตากับแม่ยาย ตอนนี้เจ้านับวันยิ่งไม่เกรงฟ้าไม่กลัวดินขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว”
“เจ้ายังอยากรักษาหน้าอยู่หรือไม่? พวกเราล้วนแต่งงานแล้ว เจ้ายังจะบ่นอีกหรือ” ลู่จื่อชิงกอดแขนซ่งหานจือ “เพียงแต่ ข้าคิดถึงท่านพ่อท่านแม่ พวกเขาออกไปเที่ยวเล่นสนุกอยู่ข้างนอก ลูกสาวผู้นี้ล้วนลืมไปแล้ว”
“เมื่อวานเพิ่งได้รับจดหมายจากพวกเขากระมัง?”
“นั่นเป็นแม่ข้าที่เขียนมา พ่อข้าไม่มีทางเขียนถึงข้า ในสายตาเขา แม่ข้าอยู่ข้างกายเขาก็พอแล้ว พวกเราลูก ๆ ล้วนเป็นของแถมที่ได้มายามซื้อของ” ลู่จื่อชิงเบ้ปากเอ่ย “สามี พวกเราไปเล่นกับท่านพ่อท่านแม่เถิด ข้าไม่อยากอยู่เมืองหลวง ที่นี่น่าเบื่อเกินไปแล้ว”
“ตอนนี้ยังไม่ได้” ซ่งหานจือลูบลงบนท้องนาง “เจ้าใกล้คลอดแล้วจะเตร็ดเตร่ไปทั่วได้อย่างไร”
สีหน้าของลู่จื่อชิงเต็มไปด้วยความผิดหวัง
“อันที่จริงไม่นานมานี้มีราชทูตจากราชสำนักต้องออกว่าราชการต่างถิ่นพอดี จำต้องออกเดินทางไปตามท้องที่ต่าง ๆ เพื่อตรวจสอบการทำงานของขุนนางท้องถิ่น บางทีเจ้าอาจลองทูลขอฝ่าบาทดูได้”
“จริงหรือ?”
“อืม ยังเหลือเวลาสองเดือนก่อนจะถึงเวลาที่ท่านหมอบอก บางทีพวกเราอาจไปถึงที่ที่ท่านพ่อท่านแม่อยู่ภายในสองเดือน พวกเราค่อย ๆ เดินทางและให้ท่านหมอหลวงเดินทางไปพร้อมกันด้วย ถ้าระวังหน่อยก็คงไม่มีอะไร”
ลู่จื่อชิงเข้าไปกอดเอวซ่งหานจือ
ทั้งร่างของนางฝังอยู่ในอ้อมแขนเขา ดวงตาเปียกชื้น
“เป็นอะไรไป?” ซ่งหานจือลูบผมของนางเบา ๆ
“สามี เจ้าใจดีจริง ๆ” ลู่จื่อชิงกล่าว “พวกเขาพูดไม่ผิด แต่งให้ท่านเป็นโชคดีของข้าแล้ว”
ซ่งหานจือบีบแก้มนาง “พูดเหลวไหลอะไร? เจ้าไปฟังผู้อื่นพูดจาไร้สาระอีกแล้วหรือ? คนทั่วหล้าล้วนรู้ว่าเป็นข้าที่ปีนป่ายต้นไม้สูง เหตุใดจึงกลายเป็นเจ้าที่อาจเอื้อมไปแล้วเล่า?”
“ถึงอย่างไรท่านก็เป็นสามีที่ดีที่สุดในโลก”
ขณะที่ซ่งหานจือกำลังจะออกจากวังก็มีเสียงเรียกดังมาจากด้านหลัง เมื่อเขาหันกลับไปมองจึงเห็นว่าเป็นพี่เขย
“พี่ใหญ่”
“ชิงเอ๋อร์ใกล้คลอดแล้ว เหตุใดเจ้ายังอยากเป็นราชทูตของราชสำนักอีกเล่า?” ลู่ฉาวอวี่กล่าว “ฝ่าบาททรงทราบสถานการณ์ในครอบครัวเจ้า พระองค์ย่อมไม่บีบบังคับเจ้า ยามนี้ใต้หล้าสงบสุข มีสิ่งเลวร้ายไม่มากนัก ขุนนางหลายคนที่ได้รับการเลื่อนขั้นเมื่อไม่นานมานี้ก็พอใช้ได้ ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าไปเอง”
“ชิงเอ๋อร์มีนิสัยอยู่นิ่งไม่ได้ ในยามนี้ด้วยเพราะใกล้จะคลอดลูก แม้กระทั่งม้าตัวโปรดนางยังขี่เล่นไม่ได้เสียซ้ำ ทั้งยังไม่ได้ออกไปนอกเมืองหลวงมานาน ข้ารับหน้าที่เป็นราชทูตครั้งนี้เพราะอยากพานางไปสูดอากาศบริสุทธิ์ ชื่นชมประเพณีท้องถิ่นไปพร้อมกัน ข้าไปหาฝ่าบาท ขอยืมตัวหมอหลวงสามคน ผู้หนึ่งเชี่ยวชาญด้านสตรี ผู้หนึ่งเชี่ยวชาญด้านเด็ก อีกผู้หนึ่งเชี่ยวชาญด้านโรคอื่น ๆ หากเตรียมพร้อมทุกอย่างก็คงไม่มีปัญหาอะไร”
“ข้าก็ว่าเหตุใดจู่ ๆ เจ้าจึงอยากรับหน้าที่เป็นราชทูต ที่แท้เป็นเพราะเด็กคนนั้น” ลู่ฉาวอวี่เอ่ย “หากนางอยากได้ดวงดาวบนท้องฟ้า เจ้าก็ต้องคว้าเอามาให้นางด้วยหรือ? เจ้าไม่กลัวว่าจะตามใจนางจนนิสัยเสียหรือ? หากวันใดวันหนึ่งสิ่งใดล้วนไม่พอเติมเต็มความกระหายอยากของนางเล่า?”
“พี่ใหญ่อย่าได้กล่าวเช่นนั้น ชิงเอ๋อร์ไม่ใช่คนไร้เหตุผล”
ลู่ฉาวอวี่สั่นศีรษะ “นางเป็นศัตรูตัวฉกาจต่อเจ้าจริง ๆ ช่างเถิด เจ้าดีต่อน้องสาวข้า ข้าจะเห็นใจเจ้าไปไย?”
ซ่งหานจือหัวเราะ “พี่ใหญ่ จริงอยู่ที่ชิงเอ๋อร์เดิมทีก็เป็นที่รักใคร่ของผู้คน ไม่เช่นนั้นเหตุใดลูกชายท่านจึงไม่กล้าหัวเราะต่อหน้าท่าน เพียงแต่เผยนิสัยที่แท้จริงของเขาออกมาต่อนางที่เป็นอาหญิงรองผู้นี้เล่า?”
“เจ้าไม่พูดถึงยังดี เมื่อเจ้าเอ่ยถึงเล่อเอ๋อร์ขึ้นมาแล้ว ข้าอยากจะถามนักว่าเมื่อวานลู่จื่อชิงสอนสิ่งใดเขา เขาทำแจกันในห้องตำราข้าแตก ข้ายังไม่ได้ทำอะไร เขากลับนั่งลงร้องไห้เสียก่อน ผู้ใดไม่รู้ยังจะคิดว่าเป็นข้าที่จงใจใช้แจกันทุบเขาจนได้รับบาดเจ็บ แถมเขายังพกถุงใบหนึ่งไว้ตลอด ในถุงนั้นมีอะไรรู้หรือไม่? มีพริกป่น ข้าถามเขา เขาบอกว่าอาหญิงรองสอนมา หากร้องไห้ไม่ออกจะได้ใช้พริกป่นช่วย”
ซ่งหานจือระเบิดเสียงหัวเราะ
“เจ้าหัวเราะออกได้อย่างไร?” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยด้วยความโมโห
“เล่อเอ๋อร์ยังเล็ก พี่ใหญ่อย่าได้จริงจังนัก หากทำให้เล่อเอ๋อร์กลัว แน่นอนว่าเขาย่อมไม่กล้าใกล้ชิดท่านแล้ว วิธีของชิงเอ๋อร์ไม่ผิด อย่างไรก็ไม่เจ็บปวด ”
ลู่ฉาวอวี่ตบไหล่เขา “ข้าพยายามถามหาเหตุผลกับคนบ้าที่หลงใหลภรรยาผู้หนึ่ง ดูท่าแล้วเดิมทีวันนี้ก็ไม่ได้พกสมองมา ช่างเถิด ระหว่างทางก็ระวังหน่อย เตรียมเงินไปให้มาก ไม่เช่นนั้นจะไม่พอให้นางถลุงเล่น”
“ขอบคุณพี่ใหญ่ที่เตือน ข้าจะทำตามอย่างแน่นอน”
ซ่งหานจือเพิ่งกลับถึงห้องก็ได้ยินเสียงฮัมเพลงอันไพเราะจากข้างใน
“ฮูหยิน เหตุใดท่านเบิกบานใจเพียงนี้เจ้าคะ?”
“ใกล้จะได้ออกไปเที่ยวเล่นแล้ว แน่นอนว่าข้าย่อมเบิกบานใจ”
“ฮูหยิน กล้าหาญจริง ๆ เจ้าค่ะ ท้องโตเพียงนี้ยังอยากเที่ยวเล่น”
“เหตุใดจะเที่ยวเล่นไม่ได้” ลู่จื่อชิงกล่าว “สตรีไม่อาจเที่ยวเล่นตอนตั้งท้อง คลอดแล้วก็ต้องดูแลลูก เที่ยวเล่นไม่ได้ ลูกต้องเล่าเรียนหนังสือ เที่ยวเล่นไม่ได้ โตขึ้นแล้วยิ่งเที่ยวเล่นไม่ได้ เช่นนั้นก็จะเป็นการไม่เคารพผู้ใหญ่ อย่างไรก็ตาม ข้าเห็นท่านแม่วิ่งวุ่นไปมาตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เห็นมีผู้ใดบอกว่าไม่ควรวิ่งวุ่นไปที่ใด ท่านแม่ทำได้ ข้าย่อมทำได้ สตรีในโลกนี้ถูกขังอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมจัตุรัส ไม่เคยรู้ว่าทิวทัศน์ภายนอกสวยงามเพียงใดตลอดทั้งชีวิตของนาง ชีวิตเช่นนี้เป็นสิ่งที่ผู้อื่นต้องการแต่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการ”