ตอนที่ 477 เซียนเสวนามรรค
ในเมื่ออีกฝ่ายไม่เชิญคนจากเขาล้อมหยก เช่นนั้นพวกจูหยวนจื่อก็ไม่คิดบากหน้าตามไป มองส่งลายแสงจากไปไกลเช่นนี้พอ
บนเมฆขาว จี้หยวนและขอทานที่มีแสงสีแดงเต็มใบหน้ายืนอยู่ด้วยกัน กำลังหันหน้าไปทางเขาเก้ายอด ขอทานชราน่าจะคุ้นชินมากกว่าคนจากเขาล้อมหยก จี้หยวนจึงมีคำถามบางอย่างอยากถามเขา
“ผู้อาวุโสหลู่คุ้นชินกับเขาเก้ายอดมากกระมัง”
ขอทานชรามองยอดเขามโหฬารรอบข้าง ตอบด้วยรอยยิ้ม
“ไม่อาจนับว่าคุ้นชินมาก อย่างมากนับได้ว่ารู้จัก แน่นอนว่าคุ้นชินมากกว่ากลุ่มคนจากเขาล้อมหยกอยู่บ้าง”
“อ๋อ”
จี้หยวนพยักหน้า กวาดสายตามองทิวเขาเบื้องล่างเมฆหมอกไกลๆ
“ถ้ำสวรรค์เขาเก้ายอดใหญ่เพียงใด มีมนุษย์อยู่ข้างในหรือไม่”
“ใหญ่เพียงใดไม่แน่ใจเหมือนกัน ส่วนมนุษย์ย่อมต้องมีอยู่แล้ว ถ้ำสวรรค์เขาเก้ายอดไม่เพียงมีมนุษย์ ถึงขนาดมีอาณาจักรของมนุษย์ด้วย และไม่ได้มีเพียงหนึ่งแห่ง แน่นอนว่าเพราะเป็นถ้ำสวรรค์จวนเซียน จึงไม่มีปีศาจมารแต่อย่างใด อย่างมากมีภูตได้รับการยกย่องเป็นวิญญาณเทพที่เขาเก้ายอดอนุญาตอยู่บ้างเท่านั้น”
จี้หยวนตอบอ๋อเสียงยาวอีกครั้งหนึ่ง
“หมายความว่ากลางถ้ำสวรรค์เก้ายอดแห่งนี้นับว่าปรองดองกันดีหรือ”
แม้คำว่าปรองดองพบเห็นได้ยากอยู่บ้าง แต่ความหมายของตัวอักษรนั้นแค่ได้ฟังก็รู้แล้ว ได้ยินจี้หยวนพูดเช่นนี้ ขอทานชราหัวเราะเสียงหนึ่ง
“นั่นท่านเข้าใจผิดแล้ว ไม่ปรองดองกันเลยต่างหาก ระหว่างอาณาจักรมนุษย์มักมีสงคราม ยิ่งแบ่งออกเป็นเก้าดินแดน หลายปีก่อนเขาเก้ายอดเข้าจัดการ แทรกแซงจนก่อเกิดราชวงศ์ใหญ่หนึ่งเดียว แล้วผลลัพธ์เป็นอย่างไรเล่า”
ขอทานชราถามเช่นนี้ จี้หยวนเอ่ยขึ้นตามสัญชาตญาณ
“ปรากฏว่าแบ่งแยกแตกหัก?”
“ถูกต้อง ใต้หล้าวุ่นวาย ราชวงศ์แบ่งแยกแตกหัก อีกทั้งก่อนแตกหักยิ่งสร้างหายนะแล้วไม่รู้กี่ครั้ง สุดท้ายเกิดเป็นสถานการณ์คุมเชิงกันระหว่างหลายอาณาจักร กระนั้นกลับดีกว่าก่อนหน้านี้อยู่บ้าง เขาเก้ายอดทดลองอยู่หลายครั้ง พบว่านอกจากพวกเขาควบคุมอยู่ตลอด ไม่เช่นนั้นสุดท้ายแล้วประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย บ่อนทำลายใจใฝ่มรรคและปราณดั้งเดิมของผู้ฝึกเซียนจำนวนหนึ่ง จึงไม่เข้ายุ่งเสียเลย”
แม้เดาถึงความเป็นไปได้นี้ แต่คำพูดของขอทานชรายังคงทำให้จี้หยวนครุ่นคิด
“ท่านจี้อย่าคิดนานเช่นนั้นเลย เรื่องถ้ำสวรรค์เขาเก้ายอดมีเขาเก้ายอดไปเป็นกังวลแล้ว พวกเราไปดูความคึกคักดีกว่า”
สิ้นเสียงนั้น ขอทานชราใช้วิชากระตุ้นลายแสง เมฆขาวใต้เท้าแทบกลายเป็นแสงสีขาวสายหนึ่ง พาเขาและจี้หยวนไปไกลในพริบตาเดียว อีกทั้งมุ่งตรงไปยังค่ายกลล้อแสงลวงของเขาเก้ายอด ชัดเจนว่าสถานที่เกิดความคึกคักอยู่ข้างนอกถ้ำสวรรค์
แสงสว่างก่อนหน้านี้เปลี่ยนเป็นลวงตา ลายแสงของขอทานชราไม่ได้หยุดลง จี้หยวนใช้มือขวาในแขนเสื้อจับป้ายคำสั่งที่เขาเก้ายอดมอบให้ ฝ่ายขอทานชราเห็นท่าทางนั้นกลับไม่ได้หยิบวัตถุอาคมอะไรออกมา บังคับเมฆพุ่งเข้าสู่ค่ายกลทันที
เหมือนตอนกลับมา เส้นแสงแปรเปลี่ยนเป็นหมอกสีเทาขมุกขมัว หลังจากความจริงและลวงเปลี่ยนสลับกันหลายลมหายใจ เมฆขาวพาจี้หยวนและขอทานชราออกจากถ้ำสวรรค์เก้ายอด พบกับลมท้องฟ้าและเหาะขึ้นสู่ท้องฟ้าสูงของโลกภายนอก
จี้หยวนหันหลังมองไปตามจิตใต้สำนึก ยังคงมองเห็นยอดเขายักษ์สูงเทียมเมฆเก้ายอดตามคาด ทว่าตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว หากไม่มีมรรค ต่อให้คนธรรมดาเหาะขึ้นมาบนท้องฟ้าสูงก็จะสัมผัสเขาเก้ายอดไม่ได้เช่นกัน เพียงพบทิวทัศน์ที่คล้ายกับสรรพสิ่งลวงตาเท่านั้น
“ท่านจี้ยืนให้มั่นคง สองสามวันก็ถึงแล้ว!”
“ไกลมากหรือ”
จี้หยวนชะงักไปเล็กน้อย สองสามวัน? ก่อนหน้านี้ขอทานชราพูดชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือ ต้องเหาะอยู่หลายวันนั่นต้องไกลมากเท่าไหร่กัน
“แท้จริงอยู่ที่ใดกันแน่ งานชุมนุมเซียนพเนจรจะเริ่มช่วงกลางฤดูร้อน พวกเราคงกลับไปทันใช่หรือไม่”
ขอทานชราส่ายหน้า
“ทันๆ ตอนนี้เพิ่งปลายเดือนสี่เอง อีกอย่างท่านจี้ออกเดินทางน้อยไม่รู้เรื่องประหลาดอีกมาก ท่านจี้คิดว่างานชุมนุมเซียนพเนจรนี้ยังไม่เริ่มต้นหรือ”
ฟังขอทานชราพูดเช่นนั้นแล้ว จี้หยวนกลับเข้าใจถ่องแท้ พยักหน้ากล่าวว่า
“งานชุมนุมซึ่งมีผู้ฝึกเซียนรวมตัวกันจัดขึ้นเพื่อคนไม่ใช่ความสามารถ เป็นการเสวนามรรคไม่ใช่การวิจารณ์มรรค นั่นน่าจะเริ่มต้นขึ้นแล้วจริงๆ…หมายความว่าท่านกับข้ากำลังรีบไป ‘สถานที่ชุมนุม’ .ใช่หรือไม่”
“ฮ่าๆๆๆๆ…เยี่ยม ยอดเยี่ยม ท่านจี้ใช้คำว่า ‘สถานที่ชุมนุม’ ได้ยอดเยี่ยมนัก! ถูกต้อง ท่านกับข้าสองคนกำลังรีบไป ‘สถานที่ชุมนุม’ ฮ่าๆๆๆ…”
อาจเป็นพราะอารมณ์ดีมาก ตอนนี้ขอทานชราหัวเราะเสียงดังกังวานไปไกลนัก ผู้ฝึกปราณกลางท้องฟ้าโดยรอบได้ยินอยู่ไม่น้อย ขนาดคนหูดีจำนวนหนึ่งทางเขาพิณพระจันทร์ก็ได้ยินอยู่เลือนราง ในใจล้วนกล่าวว่ามีผู้สูงส่งผ่านมา
…
กลางเทือกเขาริมทะเลไร้ผู้คน มียอดเขาสูงชันหลายร้อยจั้งอยู่ลูกหนึ่ง แขกของสำนักต่อให้มีประสบการณ์และร่างกายแข็งแรงอย่างไรก็ขึ้นไปไม่ได้ ถึงขนาดต่อให้เป็นนักรบที่มีวิชายุทธ์แก่กล้า คิดขึ้นไปก็เปลืองแรงเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน
บนยอดเขาสูงนี้เอง มีคนสองกลุ่มกำลังนั่งอยู่บนพื้น
ด้านหนึ่งเป็นผู้ฝึกปราณสิบกว่าคนสวมเสื้อผ้าหลากสีสันค่อนข้างสบายๆ เพียงมองรูปลักษณ์ก็มองออกว่าในนั้นมีทั้งคนชราทั้งเด็ก ทั้งชายทั้งหญิง
อีกด้านหนึ่งกลับเป็นผู้ฝึกปราณสวมชุดคลุมยาวสีขาว บนศีรษะประดับกวานรูปดาวขอบทองคำ มีอยู่สิบกว่าคนเช่นกัน แลมีทั้งชายหญิง เด็กคนแก่ครบครัน
“เอาเป็นว่าหนึ่งไม่อนุญาตให้ทำลายยอดเขา สองไม่อนุญาตให้ต่อว่าคน สามพวกเราเพียงพูดกันตามเหตุผล พยายามอย่าลงมือ”
มีผู้ฝึกปราณท่ามกลางคนกลุ่มหนึ่งที่แต่งกายสบายๆ เอ่ยปากอธิบาย คนสองฝ่ายล้วนพยักหน้าส่งเสียงเห็นด้วย
“ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น!”
“ถูกต้อง ตกลงกันไว้ก่อน พวกเราเพียงเสวนามรรคเท่านั้น”
“ใช่ๆๆ ใจเย็นฝึกจิตใจกับผู้ฝึกปราณอย่างพวกข้าก็พอ!”
ผู้ฝึกปราณสองฝ่ายพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มจาง สีหน้าสบายใจเหมือนกับสายลมภูเขาสดชื่นก็ไม่ปาน
“ดังนั้นพวกเราเริ่มกันเลยดีหรือไม่”
“อืม ว่ากันว่าทุกอย่างราบรื่นก็ดีแล้ว รอกลางฤดูร้อนนานเกินไปจริงๆ วันนี้เหมาะสมที่สุด”
“ถูกต้องๆ!”
ผู้อาวุโสทั้งสองฝ่ายลูบเครากล่าวเห็นด้วย จากนั้นคารวะกันและกัน
“สหายยุทธ์เชิญก่อน”
“เฮ้ย เชิญสหายยุทธ์ก่อนเลย!”
“เชิญสหายยุทธ์ก่อนดีกว่า ผู้ฝึกปราณหุบเขาพายุของพวกข้าค่อนข้ามีความอดทน ขอฟังก่อนดีกว่า”
“คำพูดนี้ของสหายยุทธ์ไม่ค่อยน่าฟังนัก สำนักฟ้าดั้งเดิมของพวกข้ามีเมตตาเพียบพร้อมด้วยอารมณ์และจิตใจที่แสนดี พูดถึงความอดทนแล้วมีมากยิ่งกว่า สหายยุทธ์เริ่มก่อนเถอะ!”
ผู้อาวุโสทั้งสองฝ่ายยังคงลูบเครา ยิ้มให้กันอย่างสงบ เงียบเชียบอยู่ครู่หนึ่ง
“ข้า…”
“เอ่อ…”
ทั้งสองคนแทบเอ่ยปากพร้อมกัน ต่างฝ่ายต่างถูกเสียงของอีกฝ่ายขัดจังหวะ จึงผายมือให้กันและกันอีกครั้ง
“สหายยุทธ์เชิญ!”
“สหายยุทธ์เชิญก่อน!”
“ฮ่าๆๆๆ…”
“ฮ่าๆๆๆ…”
ผู้ฝึกปราณสำนักฟ้าดั้งเดิมไม่เกรงใจอีก แบมือออกโดยตรง ใช้วิชาก่อเกิดแผนภาพสีแสง บนนั้นมีการเปลี่ยนแปลงของลมและเมฆพัดม้วน มีพายุฝนฟ้าคะนองรุนแรง และมีลมสดชื่นพัดเอื่อยและลมหนาวยะเยือกเช่นกัน…
“หกสิบปีที่แล้ว สหายยุทธ์หุบเขาพายุต่างพูดว่าลมเปลี่ยนแปลงลวงตายากคาดเดา หุบเขาจำเป็นต้องเลียนแบบฤดูกาลและสภาพอากาศทั้งสี่ ติดตามการเปลี่ยนแปลงของสวรรค์และโลก ใช้กำลังอันแข็งแกร่งโจมตีสวรรค์และโลก และใช้กำลังอันอ่อนแอเพื่อโอบรับทุกสิ่งทุกอย่างอื่น นอกเหนือจากมรรคนี้ล้วนเป็นมรรคนอกรีตหรือไม่”
คนจากหุบเขาพายุทางนั้นพยักหน้า
“ถูกต้อง เป็นเช่นนั้น แต่สหายยุทธ์สำนักฟ้าดั้งเดิมของพวกเจ้ากลับคิดว่าลมไร้อำนาจ น้ำไร้รูปร่าง ใช้ใจควบคุมเขตแดน ใช้วิชาคุมลมถึงจะถูกต้อง ไม่เช่นนั้นไม่อาจเรียกได้ว่าคุมวาโยโดยสิ้นเชิงกระมัง”
“ถูกต้อง!”
ผู้ฝึกปราณสองฝ่ายต่างเผยใบหน้ายิ้มแย้ม
“น่าเสียดายที่สำนักฟ้าดั้งเดิมของพวกข้าทำตามความคิดของสหายยุทธ์เพื่อยืนยันแล้ว ทว่าไม่ได้ยอดเยี่ยมเท่าวิชาควบคุมของสำนักฟ้าดั้งเดิมของพวกข้า!”
“ฮ่าๆ บังเอิญทีเดียว หุบเขาพายุของพวกข้าก็ทำตามความคิดของสหายยุทธ์เพื่อยืนยันแล้ว ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด!”
มุมปากของผู้อาวุโสฝั่งสำนักฟ้าดั้งเดิมกระตุกครั้งหนึ่ง สูดลมหายใจลึก
“สหายยุทธ์ คำว่า ‘เรื่องไร้สาระ’ ออกจะกล่าวหนักเกินไปกระมัง”
“โอ้ เป็นเช่นนั้นจริงๆ เช่นนั้นข้าผู้ชราเปลี่ยนคำพูด ไร้ประโยชน์เล่าเป็นอย่างไร”
…
แม้ในเวลาส่วนใหญ่ผู้ฝึกเซียนสงบเสงี่ยมทีเดียว แต่หากเกิดการวิวาทในการเสวนามรรค โดยเฉพาะการกระทบกระทั่งกันระหว่างสองสำนัก เรื่องเล็กน้อยล้วนต้องพูดกันให้ชัดเจน ยังคงต้องแยกแยะว่าสูงต่ำ ยังคงต้องแยกแยะว่ามีประโยชน์หรือไม่ ไม่แน่ว่าอาจต้องต้อสำแดงวิชาอัศจรรย์เพื่อดูความเป็นจริง
จี้หยวนและขอทานชราบังคับเมฆยังไม่ทันเข้าใกล้ริมทะเลทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ลายแสงของขอทานชราจำต้องช้าลง เพราะตรงนี้มีลมคลั่งก่อตัวและมีสายฟ้าแปลบปลาบฟ้าร้องครืนๆ แล้ว
หวิว…หวิว…หวิว…
เปรี้ยง…
เมฆเคลื่อนบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว ปกคลุมท้องฟ้าแสงสว่างไปจนสิ้น แสงสายฟ้าเกลือกกลิ้งท่ามกลางเมฆดำไร้ขอบเขต
ลมคลั่งรุนแรงเปลี่ยนทิศทางอย่างต่อเนื่อง จี้หยวนถึงขนาดมองเห็นต้นไม้แห้งท่อนเท่าต้นขาถูกพัดม้วนขึ้นสูงบนท้องฟ้าสูง เดี๋ยวถูกพัดกระพือไปยังที่ไกล เดี๋ยวถูกพัดกลับมา น่าตื่นเต้นยิ่งกว่าการเล่นว่าวเสียอีก
เปรี้ยง…
สายฟ้าเส้นหนึ่งผ่าลงมา เกือบผ่าถูกจี้หยวนกับขอทานชรา ฝ่ายขอทานชราบังคังเมฆไม่ขยับเขยื้อน โบกมือเหวี่ยงสายฟ้าโดยรอบไปยังทิศทางอื่น
เห็นท่าทางขอทานหวาดกลัวใต้หล้าปั่นป่วน จี้หยวนรู้สึกน่าขันอย่างอดไม่ได้ ชี้บนท้องฟ้าพลางกล่าว
“ระวังถูกฟ้าผ่า!”
เปรี้ยง…ครืน…
เปรี้ยง…
เปรี้ยง…
ยังไม่ทันสิ้นเสียง สายฟ้านับไม่ถ้วนผ่ามาทางเมฆขาวซึ่งทั้งสองคนยืนอยู่อย่างแม่นยำในทันที อาจพูดได้ว่าผ่าใส่ขอทานชรา
“เอ๋!?”
แสงสายฟ้านี้เร็วเกินไป มาได้แปลกเกินไปเช่นกัน ไม่มีเค้าลางเลยสักนิด ขอทานชราไม่ทันป้อนกัน ไม่ทันหลบเลี่ยง ทำได้เพียงรวบรวมพลังยื่นมือไปต้านไว้
เปรี้ยง..
ครืน..
ซ่า…
สายฟ้าหลายต่อหลายสายพัวพันขอทานชราจนเหมือนกับคนแสง จี้หยวนข้างๆ ตกใจมาก รีบยกแขนเสื้อขึ้น ก่อนที่แสงสายฟ้าทั้งหมดจะถูกดูดเข้าไปภายใน
ขอทานชราบังคับเมฆอยู่นานไม่พูดจา เนิ่นนานผ่านไปถึงค่อยหันไปมองจี้หยวน
“ท่านจี้ ท่านมีความเห็นอะไรต่อข้าผู้ชราบ้างหรือไม่”
“เอ่อ หากข้าคนแซ่จี้บอกว่าแปลกใจ ท่านจะเชื่อหรือไม่”
ขอทานชรามองจี้หยวนอย่างจริงจังมาก ฝ่ายหลังแบมือด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ อย่างยากจะปิดบัง
“แปลกใจจริงๆ ก่อนหน้านี้ข้าคนแซ่จี้เคยได้รับบาดเจ็บ ต่อมาถือโอกาสนี้ฝึกฝนวิชาอสนี อาจมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง”
ขอทานชรายิ้มมุมปาก ท่านจี้หยวนมาเพื่ออวดโชคชะตาตนเองกระมัง