ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 436 เมื่ออสูรสมุทรบรรพกาลผงาด (1)

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 436 เมื่ออสูรสมุทรบรรพกาลผงาด (1)

ครั้งนี้ สวี่ชิงขยายพลังกฎเกณฑ์ของตน ทะยานขึ้นไปในอาณาเขตที่ตนสยบ หานักโทษที่เหมาะสม ขณะเดียวกันก็หยิบแผ่นหยกออกมา คัดเลือกรายชื่อ

ที่เขาหาอยู่ ล้วนเป็นพวกผู้บำเพ็ญที่ตอนที่ถูกจับมาอยู่ในระดับปราณก่อกำเนิดขั้นบริบูรณ์ นักโทษพวกนี้ที่นี่ อยู่ห่างจากเคราะห์สวรรค์แค่ประตูก้าวเดียวเท่านั้น

เพียงไม่นานสวี่ชิงก็เล็งไว้สี่คน ขณะทำปางมือก็ใช้พลังกฎเกณฑ์ออกค้นหา ไม่นานนักเขาก็พบกับผู้บำเพ็ญเผ่าปีกทะยานคนหนึ่ง

นักโทษคนนี้ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำใต้ดินแห่งหนึ่ง กำลังนั่งขัดสมาธิ

และพริบตาต่อมา จากการที่จุดที่เขาอยู่ส่งเสียงครืนครัน แผ่นดินแตกระเบิดเป็นรูกว้างขนาดยักษ์ เผ่าปีกทะยานคนนี้ก็หน้าเปลี่ยนสีท่ามกลางเสียงครืนครัน

แม้เขาจะปฏิกิริยาฉับไว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังที่แท้จริง ก็ไม่มีประโยชน์อันใด

พลังมหาศาลวูบหนึ่งโถมลงมา ฝืนกระชากร่างของเขาขึ้นไปบนท้องฟ้า

ไม่ยอมให้เขาปฏิเสธ และไม่ยอมให้ดิ้นรนแม้แต่น้อย

ด้วยพลังบำเพ็ญต่อสู้ของสวี่ชิง เขาสามารถสะกดนักโทษที่นี่ได้ทั้งหมดภายใต้กฎเกณฑ์

ดังนั้นในพริบตา ขณะที่ด้านนอกสายลมเมฆคำราม ปราณก่อกำเนิดเผ่าปีกทะยานที่ตบสวี่ชิงตายได้ด้วยมือเดียวก็ถูกสวี่ชิงคว้าคอเอาไว้มั่น

“ใต้เท้า”

แม้ว่าในใจจะอดสู แต่ผู้บำเพ็ญปีกทะยานคนนี้ก็ยังเอ่ยอย่างระมัดระวัง เผยสีหน้าเอาอกเอาใจ

สวี่ชิงไม่พูดจา สายตาเย็นเยียบ หลังจากสังเกตอย่างละเอียด ก็โยนเผ่าปีกทะยานคนนี้ทิ้งไว้ใกล้ๆ จากนั้นก็โยนยาลูกกลอนไปหลายเม็ด

ยาลูกกลอนเหล่านี้แฝงปราณวิญญาณที่เข้มข้นไว้ อยู่ด้านนอกก็ถือเป็นลูกกลอนที่ไม่เลว ยิ่งอยู่ที่นี่ก็ยิ่งล้ำค่าขึ้นไปอีก เมื่อนักโทษเผ่าปีกทะยานคนนั้นเห็นก็ตกตะลึง แต่ดวงตาที่เผยออกมากลับไม่ใช่ความดีใจ แต่เป็นความลังเล

เขาเข้าใจดี เมื่อเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นมักจะมีอะไรซ่อนอยู่ จึงมองไปทางสวี่ชิงอย่างกระวนกระวาย

“ใต้เท้า นี่คือ…”

“เจ้าจะกินลงไปเอง หรือจะให้ข้ายัดมันลงไปหลังจากเจ้าตาย” สวี่ชิงเอ่ยเสียงเรียบ

นักโทษเผ่าปีกทะยานเริ่มโมโหแล้ว แต่ก็ฝืนระงับ เขารู้ผลลัพธ์ที่ตามมาหากไม่ทำตามจะเป็นอย่างไร จึงกัดฟันกินยาลูกกลอนนั้นทั้งหมด

แต่ก็ยังเหลือความระแวดระวังไว้ ควบคุมความเร็วการสูดรับ

สวี่ชิงขมวดคิ้ว ฟาดฝ่ามือลงไปจนผู้บำเพ็ญเผ่าปีกทะยานคนนี้ร้องเสียงแหลม ร่างเกือบจะแตกดับ หลังจากล้มลงไปก็หายใจรวยริน

แต่เขาก็แค่กายเนื้ออ่อนแอเท่านั้น ปราณวิญญาณภายในจากการที่ยาลูกกลอนผสานเข้าไปจึงฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว หลังจากสวี่ชิงตรวจสอบก็พบว่ายังไม่พอ จึงง้างปากของอีกฝ่ายออก แล้วใส่เข้าไปอีกหลายเม็ด

พริบตาต่อมา ภายใต้การหลอมละลายของยาลูกกลอนเหล่านี้ ระลอกคลื่นที่ใกล้จะทะลวงขั้นก็แผ่ซ่านออกมาจากร่างของผู้บำเพ็ญปีกทะยานคนนี้

ตอนที่เขาถูกจับมาก็เป็นปราณก่อกำเนิดสูงสุด หลายปีมานี้ถึงระดับที่จะทะลวงขั้นแล้ว เพียงแต่การจะขึ้นสู่สมบัติวิญญาณจำเป็นต้องมีวิถีสวรรค์ เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่พร้อม การทะลวงขั้นจึงล้มเหลว

แต่…ไม่ว่าจะล้มเหลวหรือไม่ ก็ไม่ส่งผลกระทบกับกฎเกณฑ์ฟ้าดินที่นี่ การก่อร่างดาบทัณฑ์สวรรค์

ระลอกคลื่นนี้ ทำให้ผู้บำเพ็ญปีกทะยานคนนี้พรั่นพรึงทันที เขารู้ว่าสวี่ชิงคิดจะทำอะไร กำลังจะเอ่ยปาก แต่ก็ช้าไป ลมโหมเมฆโถมขึ้นในพริบตาบนท้องฟ้า เมฆาเคราะห์แผ่กระจาย

ผู้บำเพ็ญเผ่าปีกทะยานกรีดร้อง หนีทันที ทะยานออกไปไกล ยิ่งโจมตีใส่ร่างกายของตนเองไม่หยุด คิดจะสะกดพลังบำเพ็ญ ทำให้ทัณฑ์สวรรค์สลายไป

แต่ลงมือได้ไม่กี่ครั้ง ทั่วร่างเขาก็สั่นสะท้าน ร่างหยุดนิ่ง เผยสีหน้าคลุ้มคลั่ง แต่ดวงตากลับยังมีแววหวาดกลัว

ร่างกายราวกับถูกควบคุม ฝืนหันหลังคุกเข่าให้สวี่ชิง เอ่ยด้วยเสียงดัง

“นายท่าน…ข้ายอม…ตาย!”

คำพูดตะกุกตะกัก แสดงว่าเจ้าเงาควบคุมเขาได้ไม่มั่นคง ตอนนี้คำพูดของเผ่าปีกทะยานก็ดูดิ้นรนอย่างรุนแรง สีหน้าเปลี่ยนไป ความคุ้มคลั่งหายไปอย่างรวดเร็ว สีหน้าเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยว ดูเหมือนกำลังจะหลุดพ้น

ตอนนี้ก็มีเสียงอัสนีครืนครันบนท้องฟ้า สายอัสนีนับไม่ถ้วนก่อร่างเป็นดาบสวรรค์ตัดวิถี ฟาดลงมาที่เผ่าปีกทะยานด้านล่างทันที

จังหวะที่ฟาดลงมา เจ้าเงาก็ปลีกตัว เผ่าปีกทะยานที่กลับสู่สภาพปกติย่อมหลบหลีกไม่ทัน ดาบสวรรค์ก็ฟาดลงมาท่ามกลางเสียงกรีดร้อง

เสียงครืนครันกึกก้อง สนั่นไปทั่วทิศ

สวี่ชิงนั่งขัดสมาธิอยู่ที่เดิม ไม่สนใจนักโทษเผ่าปีกทะยานที่ถูกฟันรากฐานทิ้งจนหายใจรวยริน เขาเงยหน้าขึ้นมองดาบสวรรค์ และสัมผัสรับรู้อีกครั้ง

ช่วงเวลาสามร้อยอึดใจ ผ่านไปในพริบตา

จากการที่เมฆาเคราะห์สลายไปช้าๆ ดาบสวรรค์ก็สลายไปเช่นกัน ดวงตาสวี่ชิงฉายแววครุ่นคิด

ครู่ต่อมา เขาลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงไปอีกพื้นที่หนึ่ง หาตัวอย่างที่เหมาะสมรายต่อไป

เวลาก็ผ่านไปหลายวันเช่นนี้

ขณะที่สวี่ชิงทดลองสัมผัสรับรู้หลายต่อหลายครั้ง ก็มาถึงวันที่นัดไว้กับหนิงเหยียน

วันนี้ ท้องฟ้ายามเย็นสีส้มแดงสาดแสงพร่างพราว ราวกับสายน้ำไหลชโลมลงมาบนแผ่นดินใหญ่ รดลงมาที่หลังคาและจุดบันทึกวังครองกระบี่

ที่นั่น มีผู้ครองกระบี่ไม่น้อยเรียงแถวยาว

พวกเขาล้วนเป็นตัวสำรองที่มาจากมณฑลต่างๆ

ในนี้บางคนสีหน้าร้อนรน กำลังเฝ้ารออย่างขมขื่น หนิงเหยียนคือหนึ่งในนั้น

เขาคอยมองออกไปตลอดเวลา กระวนกระวายใจ วิตกกังวล เขารอมาครึ่งค่อนวันแล้ว

ด้านหลังของเขา มีผู้ครองกระบี่กลางคนนั่งทำหน้าเคร่งขรึมอยู่คนหนึ่ง คนผู้นี้พลังบำเพ็ญแก่นลมปราณ ดวงตามีประกายแปลบปลาบแล่นผ่าน เห็นได้ชัดว่าเกิดมาจากชีพจรอัสนีบรรพกาล คลื่นพลังไม่ธรรมดา

ตอนนี้เขาเงยหน้ามองตัวสำรองที่ไกลออกไปเจ็ดแปดคน เอ่ยเสียงเรียบ

“ตัวสำรองส่วนใหญ่ล้วนบันทึกการแนะนำเสร็จสิ้นแล้ว เหลือแต่พวกเจ้า

“พวกเจ้าหาผู้แนะนำจากมณฑลของตนมาได้หรือไม่”

ตัวสำรองเจ็ดแปดคนนี้หน้าขมขื่น บางคนอ้าปากจะอธิบาย บางคนนิ่งเงียบไม่พูดจา

หนิงเหยียนรีบร้อนพยักหน้า คารวะแก่ผู้ครองกระบี่กลางคน

“รบกวนท่านรออีกหน่อยเถิด คนที่รับปากจะแนะนำข้ามาแน่นอน”

หนิงเหยียนลังเล ไม่ได้พูดชื่อสวี่ชิงออกมา เขาไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะมาจริงหรือไม่ หากตนบอกออกไป แต่เขากลับไม่มา เรื่องนี้รู้ถึงไหนอายถึงนั่น

อีกอย่างตัวสำรองครั้งนี้ เขาร่วมทดสอบพร้อมกับคนที่มีฐานะแบบเดียวกันจากมณฑลอื่นตอนก่อนหน้านี้เพื่อช่วงชิงอันดับหนึ่งของตัวสำรอง ต่างฝ่ายต่างแข่งขันกันอย่างดุเดือด ยากที่จะหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง

ตอนนี้ในกลุ่มคนมีชายหนุ่มเลือดร้อนอยู่สามคน และเป็นคนที่เชือดเฉือนกับเขามาแล้ว

สามคนนี้เมื่อเห็นหนิงเหยียนร้อนรนและไม่เอ่ยชื่อผู้แนะนำออกมา สีหน้าฉายแววเย้ยหยัน แม้จะไม่ได้ชัดเจนนัก แต่หนิงเหยียนก็เห็น

สีหน้านี้ ทำให้หนิงเหยียนรู้สึกค่อนข้างลำบากใจ

หนึ่งในนั้นก้มหน้ายิ้ม

“อันดับหนึ่งการทดสอบตัวสำรอง แต่กลับไม่มีผู้แนะนำ เห็นได้ถึงนิสัยใจคอเลย”

หนิงเหยียนเงียบนิ่ง

ผู้ครองกระบี่สีหน้าไร้อารมณ์ เขาไม่สนใจการวิพากษ์วิจารณ์ของชายหนุ่มเลือดร้อนเหล่านี้ คนเช่นนี้มีอยู่มากมาย ถึงอย่างไรทุกคนก็นิสัยไม่เหมือนกัน มีทั้งพวกมืดมน มีทั้งพวกตรงไปตรงมา

แต่หลังจากกลายเป็นผู้ครองกระบี่ส่วนใหญ่ก็มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยย

เขาจึงพลิกอ่านประวัติของหนิงเหยียนดู หลังจากสังเกตว่ามาจากมณฑลรับเสด็จราชัน เขาก็เงยหน้าขึ้นอย่างคาดไม่ถึง กวาดตามองหนิงเหยียน

“เจ้ามาจากมณฑลเดียวกับศิษย์น้องสวี่ชิงหรือ”

หนิงเหยียนได้ยินก็พยักหน้า

ตัวสำรองที่ขัดแย้งกับเขาสามคนนั้นข้างๆ ในนี้มีคนหัวเราะออกมาเบาๆ

“พี่สวี่ชิงแสงหมื่นจั้ง ถ้ายังไม่ยอมมาแนะนำใครบางคนล่ะก็ แสดงว่ามองออกว่าคนคนนั้นมีปัญหาจริงๆ”

“ลำบากลำบนแย่งที่หนึ่งของตัวสำรองมา มีประโยชน์อันใด”

“พวกเจ้ารนหาที่ตาย!” หนิงเหยียนหน้าเคร่งขรึม หันไปมองทันที การท้าทายหลายครั้งต่อหลายครั้งของอีกฝ่าย ประกอบกับความร้อนรนของเขาเวลานี้ ความโกรธจึงพุ่งขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้

“ทำไม จะสู้กับพวกเราที่นี่อีกยกก็ได้นะ!” ชายหนุ่มสามคนนั้นสายตาไม่เป็นมิตร มองมาทางหนิงเหยียน พวกเขาจะยั่วให้หนิงเหยียนโมโห

หนิงเหยียนกัดฟัน ความโกรธในดวงตาค่อยๆ ลุกโชน

ส่วนผู้ครองกระบี่กลางคนที่จุดบันทึก ก็มองภาพนี้ด้วยสายตาเย็นชา ส่วนใหญ่ทุกครั้งจะเกิดเรื่องทำนองนี้ขึ้นกับพวกตัวสำรองด้วยกันทั้งนั้น ถึงอย่างไรคนจากต่างที่เมื่อมีมากก็ต้องขัดแย้งกันเป็นธรรมดา เขาจึงเอ่ยเสียงเรียบว่า

“ถ้าขัดแย้งกัน ก็ไสหัวไปจัดการให้เรียบร้อยแล้วค่อยกลับมา”

ชายหนุ่มสามคนนั้นพอได้ยิน ก็เหินขึ้นฟ้าทันที หนึ่งในนั้นชี้มาที่หนิงเหยียน

“ไม่ใช่ว่าเจ้าแย่งหัวแถวตัวสำรองของพวกข้าไปหรือ กล้าสู้อีกสักตั้งหรือไม่เล่า!”

“เจ้าพูดไม่ถูกนะ หนิงเหยียนจะไม่กล้าได้อย่างไร เขากำลังรอคนมาแนะนำอยู่ จึงมาประมือกับพวกเราไม่ได้ต่างหาก ใช่หรือไม่หนิงเหยียน เหตุผลในการปฏิเสธข้าคิดไว้ให้เจ้าหมดแล้ว”

ชายคนหนึ่งในสามคนนั้น เอ่ยกลั้วหัวเราะ

หนิงเหยียนในดวงตาเปล่งประกายเย็นวาบ กำลังจะเหินขึ้นไป แต่ตอนนี้เอง เสียงเรียบสงบเสียงหนึ่ง ก็ดังมาแต่ไกล

“หนิงเหยียน ข้ามีธุระจึงมาล่าช้าไปหน่อย”

ตามเสียงที่ดังมา เสียงหวีดหวิวก็ดังกึกก้อง บนท้องฟ้าห่างไกล ร่างเงาร่างหนึ่งก็เหาะเหินเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว

คนผู้นี้ผมยาวปลิวสยายท่ามกลางแสงสายัณห์ อยู่ในชุดนักพรตสีขาวราวหิมะ เข้าคู่กับใบหน้าหล่อเหลา ทำให้ดึงดูดสายตาคนทั้งหมดที่เห็นโดยสัญชาตญาณ

สวี่ชิงนั่นเอง

สวี่ชิงไม่ใช่คนรับปากใครพล่อยๆ หากรับปากแล้ว เขาต้องทำให้ได้

ก่อนหน้านี้ในเมื่อยินยอมแนะนำหนิงเหยียน เขาไม่ได้จงใจถ่วงเวลา แต่ในช่วงนี้เขาวุ่นอยู่กับการสัมผัสรับรู้ดาบสวรรค์ตัดวิถี วันนี้จึงมาช้า

ส่วนเรื่องที่ไม่สบอารมณ์กับหนิงเหยียนก็ยังมีอยู่ แต่ในเมื่อนายกองคิดว่าคนผู้นี้มีประโยชน์ สวี่ชิงก็จะสังเกตอีกสักพัก

ตอนนี้เมื่อเขามาถึง ศิษย์ตัวสำรองทั้งหมดที่จุดบันทึกก็ใจสั่น แต่ละคนดวงตาเผยความเลื่อมใส พากันคารวะ ส่วนชายหนุ่มที่ขัดแย้งกับหนิงเหยียนสามคนนั้น ก็ใจสั่นเช่นกัน รีบร้อนก้มหน้า ไม่กล้าเร่งเร้าต่อ

ชื่อเสียงของสวี่ชิงตอนนี้โด่งดังไม่น้อย ในวังครองกระบี่ ถูกเรียกว่าเป็นหนึ่งในปีศาจของรุ่นนี้ โดยเฉพาะปีศาจหลายคนในรุ่นนี้ก็มีความสัมพันธ์อันดีมากอีกด้วย เกาะกันเป็นกลุ่มก้อน ถ้าไปยั่วโมโหคนหนึ่งก็เท่ากับยั่วโมโหคนทั้งกลุ่ม

ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้แต่ละคนก็ดำรงตำแหน่งที่สำคัญ ก่อเป็นขั้วอำนาจ จึงยิ่งไม่มีใครอยากจะผิดใจด้วย

ชายกลางคนที่จุดบันทึกก็หัวเราะ ลุกขึ้นต้อนรับ

วันนั้นสวี่ชิงกับพวกข่งเสียงหลงหยั่งเชิงกับตระกูลเหยาที่วังครองกระบี่ จนมีผู้ครองกระบี่มากมายมา คนผู้นี้ก็อยู่ในนั้นด้วย เคยมีโอกาสได้พบปะกับสวี่ชิงครั้งหนึ่ง เมื่อได้รู้สิ่งที่พวกสวี่ชิงทำ ก็รู้สึกเลื่อมใสมาก

หนิงเหยียนตื่นเต้นยิ่ง รีบก้าวมา เสียงของสวี่ชิงสำหรับเขาแล้วเหมือนเป็นเสียงสวรรค์ ร่างเงาเป็นสายรุ้ง อารมณ์แปรปรวนทำให้เขารู้สึกซาบซึ้งกับการมาของสวี่ชิงอย่างมาก

สวี่ชิงพยักหน้าให้หนิงเหยียน จากนั้นก็คารวะตอบกลับผู้ครองกระบี่กลางคนที่มาต้อนรับ

“รบกวนพี่โจวด้วย ข้าเป็นผู้แนะนำของหนิงเหยียน”

ผู้ครองกระบี่สกุลโจวได้ยินสวี่ชิงเรียกนามสกุลตน ดวงตาก็เปล่งประกายทันที แอบคิดว่าคนผู้นี้ทำให้คนอย่างข่งเสียงหลงยอมรับได้ แสงหมื่นจั้งนั่นก็ด้านหนึ่ง แต่การประพฤติตนต่อผู้อื่นก็เป็นอีกด้านหนึ่ง

ต้องรู้ด้วยว่าตอนนั้นผู้ครองกระบี่ที่ตำหนักบัญญัติก็มีไม่น้อย แม้ต่อมาทุกคนจะได้พบหน้ากัน พวกของหวังเฉินมีการแนะนำ แต่ถึงอย่างไรก็ฉุกละหุก

สถานการณ์เช่นนี้ ยังจดจำนามสกุลได้ นี่ถือเป็นความสามารถ

เขาจึงหัวเราะ เอ่ยขึ้นมาว่า

“ศิษย์น้องสวี่ชิงแนะนำ แสดงว่าหนิงเหยียนคนนี้ซื่อสัตย์ จิตใจดีเที่ยงธรรม” พูดจบ เขาก็ทำการบันทึกให้หนิงเหยียนทันที จากนั้นในดวงตาก็ฉายแววเข้มงวด มองไปทางหนิงเหยียน

“หนิงเหยียน หวังว่าหลังจากเจ้าเป็นผู้ครองกระบี่แล้ว จะซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ อย่าทำให้ศิษย์น้องสวี่ชิงต้องอับอาย!”

หนิงเหยียนรีบร้อนขานรับ

สวี่ชิงก็ไม่ได้อยู่นาน หลังจากพูดกับผู้ครองกระบี่สกุลโจวคนนี้สองสามประโยค ก็ขอตัวจากไปพร้อมกับสายตาเลื่อมใสจากรอบด้าน

เขาต้องกลับไปสัมผัสรับรู้ที่กรมราชทัณฑ์ต่อ

ตอนที่กลับมายังกรมราชทัณฑ์ชั้นที่เก้า ร่างของสวี่ชิงเพิ่งปรากฏตัวที่บันได ก็ได้ยินเสียงเข้มงวดของเจ้าวังดังขึ้นไกลๆ

“อย่าคิดว่าถูกผู้อื่นชมไม่กี่คำว่าเป็นอัจฉริยะฟ้าประทานก็ถือดี ในสายตาข้า ข่งเสียงหลงอย่างเจ้ามันก็แค่ผู้ครองกระบี่หน้าใหม่ ไม่รู้ประสายิ่งนัก!”

สวี่ชิงชะงักฝีเท้า มองไป และเห็นว่าข่งเสียงหลงกำลังยืนก้มหน้าอยู่ที่ทางเชื่อมของชั้นนี้

เจ้าวังอยู่ตรงหน้าเขา ตอนนี้สีหน้าเคร่งขรึม ตำหนิด้วยใบหน้าเย็นชา

“เจ้าต่อให้จะยอดเยี่ยมเพียงใดในสายตาคนอื่น แต่เจ้าไม่เคารพกฎของผู้ครองกระบี่ ขาดงานหลายต่อหลายครั้งด้วยเหตุผลส่วนตัว สักวันคงได้เกิดมหันตภัยเป็นแน่ เจ้าเข้าใจจุดนี้หรือไม่”

เจ้าวังสีหน้าเคร่งขรึม น้ำเสียงมีความขุ่นเคือง

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง…รายละเอียดกำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท