บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – บทที่ 1437 ดินแดนกาลเวลา

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1437 ดินแดนกาลเวลา

เมื่อเห็นว่าจั่วชิวเฟิงกำลังคล้อยตาม เว่ยซิงก็กล่าวเสริมขณะที่เหล็กยังร้อน “เฉินซีนั่นซ่อนตัวอยู่ในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ข้าคิดว่าอาจต้องใช้วิธีการพิเศษบางอย่างในการฆ่ามัน”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ จั่วชิวเฟิงจึงระงับความนึกคิดและสงบลงอย่างสมบูรณ์

นิกายอำนาจเทวะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเว่ยซิง ดังนั้น แม้ว่าเขาจะตกลงที่จะร่วมมือกับเว่ยซิง แต่จั่วชิวเฟิงก็ยังคงมีความระมัดระวังไว้ในใจ เพราะถึงอย่างไร ชื่อเสียงของนิกายอำนาจเทวะในภพทั้งสามนั้นก็ไม่ใช่เรื่องดีนัก มันไล่ตามวิถีแห่งความไร้อารมณ์ ดังนั้นไม่ว่าใครที่ร่วมมือกับนิกายอำนาจเทวะ คนผู้นั้นก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องระมัดระวัง

“ใต้เท้าเว่ย ข้าขอถามได้หรือไม่ วิธีการพิเศษที่ท่านกล่าวถึงคือสิ่งใด?”

เว่ยซิงยิ้มและหลีกเลี่ยงด้วยการตอบคำถามด้วยคำถามแทน “ปัจจุบัน ตระกูลจั่วชิวเต็มไปด้วยความขัดแย้งภายใน ข้าสงสัยว่าท่านประมุขจั่วชิวมีแผนการอันใดหรือไม่”

จั่วฉิวเฟิงขมวดคิ้วทันที “แต่ความขัดแย้งก็สามารถคลี่คลายได้ในที่สุด มิใช่หรือ?”

เขาหยุดครู่หนึ่งแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แน่นอน ถ้าใต้เท้าเว่ยเต็มใจช่วยข้า ตระกูลจั่วชิวย่อมจดจำบุญคุณนี้อย่างแน่นอน”

เว่ยซิงยิ้มเช่นกัน “ในเมื่อท่านประมุขจั่วชิวกล่าวแล้ว ข้าจะไม่เห็นด้วยได้อย่างไร”

เมื่อกล่าวมาถึงจุดนี้ ทั้งคู่ก็เข้าใจความคิดของกันและกัน ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากจั่วชิวเฟิงตั้งใจที่จะพึ่งพาพลังของเว่ยซิง เพื่อคลี่คลายความขัดแย้งภายในตระกูล ในขณะที่เว่ยซิงตั้งใจที่จะคว้าโอกาสนี้เพื่อลากตระกูลจั่วชิวให้เข้าร่วมกับนิกายอำนาจเทวะ เมื่อไตร่ตรองดูแล้ว ก็ถือได้ว่าเป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์

ส่วนตระกูลจั่วชิวจะถูกควบคุมโดยนิกายอำนาจเทวะอย่างสมบูรณ์ หรือหากมันข้ามแม่น้ำได้แล้วรื้อสะพานทิ้ง ทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของทั้งสอง

“เพื่อต้านทานกองกำลังภายนอก เราจะต้องรักษาความมั่นคงภายในให้คงที่ ไยเราไม่ดำเนินการทันที และจัดการกับปัญหาภายในของตระกูลจั่วชิวก่อนล่ะ” เว่ยซิงหยั่งเชิง

“ฮ่า ฮ่า ใต้เท้าเว่ย เหตุใดจึงต้องรีบร้อนด้วย?” จั่วชิวเฟิงยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

“ข้าได้ยินมาว่า คนในตระกูลเหล่านั้นที่ต่อต้านท่านประมุขจั่วชิวล้วนเกี่ยวข้องกับจั่วชิวเสวี่ย มารดาของเฉินซี ดังนั้นเหตุใดเราจึงไม่ใช้สิ่งนี้เพื่อข่มขู่เฉินซี และบังคับให้มันมาหาเราอย่างเชื่อฟังเล่า” เว่ยซิงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “การทำเช่นนี้ จะสามารถช่วยให้ท่านประมุขจั่วชิวระงับความขัดแย้งภายใน และคุกคามเฉินซีได้ในคราวเดียว อาจกล่าวได้ว่าเป็นการยิงเกาทัณฑ์ลูกเดียว ได้นกถึงสองตัว ท่านเห็นด้วยหรือไม่?”

จั่วชิวเฟิงนิ่งเงียบไปนาน ก่อนจะถามอย่างฉับพลัน “เมื่อหลายปีก่อน บิดาของข้าถึงแก่กรรมอย่างกะทันหัน เรื่องนั้นเกี่ยวข้องกับนิกายของท่านหรือไม่?”

เว่ยซิงตกตะลึง ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย และอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ หลังจากนั้นครู่หนึ่ง “ท่านประมุขจั่วชิว เหตุใดถึงกล่าวเช่นนั้น”

“ฮึ่ม!” จั่วชิวเฟิงแค่นเสียงเย็น “ถึงใต้เท้าเว่ยจะไม่ทราบ แต่นิกายของท่านย่อมทราบเรื่องนี้ดี แน่นอนว่าข้าไม่ได้ปฏิเสธความร่วมมือ แต่ท่านอย่าคิดว่าจะสามารถปกปิดทุกอย่างได้”

สีหน้าของเว่ยซิงยังคงไม่เปลี่ยนแปลง “แน่นอน”

“ถ้าอย่างนั้นข้าขอทราบได้หรือไม่ ตอนนี้ใต้เท้าเว่ยมีกองกำลังอยู่ในมือกี่กองกำลัง?” จั่วชิวเฟิงถามด้วยท่าทีสบาย ๆ

เว่ยซิงยิ้ม “มากมาย! เกินจินตนาการของท่านประมุขจั่วชิวอย่างแน่นอน อย่างน้อยที่สุด ผู้อาวุโสของสำนักศึกษานภาไพศาล สำนักศึกษามหาเดียวดายและสำนักศึกษาระทมสันต์ ต่างมีความยินดีที่จะร่วมมือกับเรา

เขาหยุดครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ “แน่นอนว่านี่เป็นเพียงกองกำลังบางส่วนที่นิกายของข้าวางไว้ในภพเซียน หากท่านผู้นำจั่วชิวต้องการมัน ก็จะมีกองกำลังมาเพิ่มมากขึ้น เพื่อที่จะช่วยตระกูลจั่วชิวกวาดล้างอุปสรรคทั้งปวง”

จั่วชิวเฟิงเงียบไปนานหลังจากได้ยินสิ่งนี้ และกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาในท้ายที่สุด “เช่นนั้น ข้าจะไม่เกรงใจใต้เท้าเว่ย ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะกดดันคนในตระกูลที่ต่อต้านข้า ถึงเวลานั้น ข้าคงต้องพึ่งพาความแข็งแกร่งของใต้เท้าเว่ยแล้ว”

เว่ยซิงพยักหน้า “ข้ายินดีรับใช้!”

ในวันเดียวกัน จั่วชิวเฟิงใช้เวลาไปเยี่ยมจั่วชิวหวงหลิน และปรึกษาหารืออยู่เป็นเวลานาน

ในคืนนั้นเอง จั่วชิวเฟิงเรียกประชุมตระกูล เขาได้รวบรวมผู้อาวุโสของตระกูลมารวมกัน ก่อนที่จะประกาศอย่างแข็งกร้าวว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ความขัดแย้งภายในตระกูลจะเป็นสิ่งต้องห้าม หากผู้ใดฝ่าฝืน เขาจะลงโทษโดยไร้ความเมตตา! อย่างน้อยที่สุด ก็ถูกไล่ออกจากตระกูล และอย่างหนักที่สุด อาจถึงขั้นถูกประหารชีวิต!

ทันทีที่สิ้นคำ มันทำให้ผู้อาวุโสทุกคนตะลึงงัน

ตัวอย่างเช่น จั่วชิวเฟยหมิงและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ที่สนับสนุนจั่วชิวเสวี่ย พวกเขาต่างโกรธมาก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องกดมันเอาไว้ ภายใต้สัญญาณของจั่วชิวเฟยหมิง และดูเหมือนการยอมรับโดยปริยาย

ทุกคนตระหนักดีว่า ไม่ว่าจั่วชิวเฟิงจะกล่าวอะไร เขาก็จะเริ่มลงมือตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป และเป้าหมายของการปราบปรามนี้ ก็คือคนในตระกูลทั้งหมดที่นำโดยจั่วชิวเฟยหมิง

ชั่วขณะหนึ่ง ตระกูลจั่วชิวก็เต็มไปด้วยความวิตกกังวล และแสดงสัญญาณของความขัดแย้งภายในอย่างรุนแรง

จั่วชิวเฟยหมิงและคนอื่น ๆ จะนิ่งเฉย และรอให้ความตายมาถึงหรือ?

แน่นอนว่าย่อมไม่!

จั่วชิวเฟิงคาดเดาเรื่องนี้ไว้แล้ว ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ความขัดแย้งภายในปะทุขึ้น ในวันนั้น ภายใต้คำแนะนำของจั่วชิวเฟิง เว่ยซิงปรากฏตัวต่อหน้าสายตาเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลจั่วชิว พร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า

ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ใช่แค่เว่ยซิง เขามาพร้อมกับผู้อาวุโสของสำนักศึกษานภาไพศาล สำนักศึกษาระทมสันต์ และสำนักศึกษามหาเดียวดาย รวมถึงบรรดาราชันเซียนครึ่งขั้นจากทวีปอื่น ๆ

ในขณะนี้ ทุกคนล้วนเข้าใจแล้วว่า เหตุผลที่จั่วชิวเฟิงกระทำการในลักษณะแข็งกร้าวเช่นนี้ ก็เพราะได้รับการสนับสนุนจากกองกำลังภายนอกที่น่ากลัวอย่างยิ่ง!

ในอดีต การพึ่งพาความช่วยเหลือจากภายนอก เพื่อแทรกแซงเรื่องสำคัญของตระกูลถือว่าเป็นข้อห้ามอย่างใหญ่หลวง เป็นการกระทำที่น่ารังเกียจ และสร้างความเกลียดชังให้กับตระกูลจั่วชิวทั้งหมด

ทว่าในยามคับขันเช่นนี้ ไม่มีใครกล้าวิพากษ์วิจารณ์จั่วชิวเฟิง เพราะถึงอย่างไร จั่วชิวเฟิงก็เป็นผู้นำตระกูลคนปัจจุบัน ประกอบกับจั่วชิวหวงหลินและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ของตระกูลจั่วชิวก็หนุนหลังเขาอยู่ ดังนั้นในเมื่อพวกเขากระทำการเช่นนี้ จะมีใครกล้าวิพากษ์วิจารณ์จั่วชิวเฟิงอีก?

สำหรับจั่วชิวเฟยหมิงและคนอื่น ๆ พวกเขาตกเป็นเป้าหมายของการปราบปรามของจั่วชิวเฟิงมาโดยตลอด ดังนั้นจะวิพากษ์วิจารณ์หรือไม่ ก็หาสำคัญ

ในตอนนี้ หากพวกเขากล้าวิพากษ์วิจารณ์ นั่นจะเป็นการเปิดโอกาส ให้จั่วชิวเฟิงบดขยี้พวกตนทั้งหมดทันที!

เมื่อเผชิญหน้ากับแผนการของจั่วชิวเฟิง จั่วชิวเฟยหมิงและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ต่างเลือกที่จะนิ่งเงียบ ไม่ต่อต้าน ราวกับยอมรับความพ่ายแพ้

ทว่าจั่วชิวเฟิงก็ไม่รู้สึกยินดีใด ๆ เพราะนั่นหมายความว่า เขาจะไม่มีข้ออ้างอันชอบธรรมในการบดขยี้พวกจั่วชิวเฟยหมิง ซึ่งการมีอยู่ของคนเหล่านี้ เปรียบดั่งหนามยอกอกจั่วชิวเฟิงอย่างยิ่ง

“เหตุใดไม่กวาดล้างคนในตระกูลเหล่านี้ให้สิ้นเลยเล่า!” นี่คือคำแนะนำของเว่ยซิง

แต่จั่วชิวเฟิงกลับปฏิเสธ เพราะเขามีแผนอยู่ในใจแล้ว ก่อนอื่นจะเรียกคืนอำนาจที่จั่วชิวเฟยหมิงและคนอื่น ๆ ครอบครอง ก่อนจะยึดตำแหน่งผู้อาวุโส แล้วค่อยจัดการทีละคน บีบบังคับให้ยอมจำนน

ด้วยวิธีนี้ เขาจะสามารถจัดการกับปัญหาภายในตระกูลได้โดยไม่ต้องเสียเลือด!

แน่นอนว่าจั่วชิวเฟิงไม่คิดเปิดเผยด้านที่โหดเหี้ยมของตน ให้เหล่าคนดื้อรั้นที่ยอมตายมากกว่ายอมจำนน

“การทำเช่นนี้จะใช้เวลานานมาก” เว่ยซิงขมวดคิ้วอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อได้ยินเกี่ยวกับแผนการของจั่วชิวเฟิง อันที่จริงแล้ว เขารู้ว่ากระทำทั้งหมดนี้ เป็นเพราะคนไม่ได้คลายความระมัดระวัง และเกรงว่าเขาจะฉวยโอกาสนี้ เพื่อให้กองกำลังของนิกายอำนาจเทวะแทรกซึมเข้าไปในตระกูลจั่วชิว

“ใต้เท้าเว่ย มันไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ท่านบอกเองนี่ว่า ขอเพียงเจ้าเด็กเฉินซีถูกฆ่าภายในหนึ่งร้อยปี เวลาเท่านี้ก็เพียงพอที่จะกวาดล้างความขัดแย้งภายในตระกูลข้าได้อย่างสมบูรณ์” จั่วชิวเฟิงยิ้มขณะที่ตบไหล่เว่ยซิงอย่างพึงพอใจ

เว่ยซิงถอนหายใจและไม่ได้กล่าวคำใด แต่กลับหัวเราะเสียงเย็นในใจ ฮึ่ม! หากนิกายอำนาจเทวะ ต้องการยึดครองตระกูลจั่วชิวจริง ๆ เจ้าคิดว่า เจ้า จั่วชิวเฟิง จะสามารถหยุดได้หรือ? ไม่เป็นไร จัดการกับเฉินซี แล้วค่อยจัดการกับตระกูลจั่วชิวก็ยังไม่สาย!

ฉากวสันตฤดูที่มีหมอกปกคลุม และดอกท้อที่งดงามตระการตาราวกับพระอาทิตย์ตกดิน

เฉินซีจ้องมองฉากตรงหน้า นี่เป็นฉากอันงดงามและน่าหลงใหลของฤดูใบไม้ผลิ ท้องฟ้าปลอดโปร่ง สายลมอันเขียวชอุ่มพัดผ่าน ดอกท้อบานสะพรั่ง ช่างเป็นฉากที่งดงามจับใจ

“นี่คือดินแดนกาลเวลาที่เจ้าสำนักได้สร้างขึ้นด้วยตนเอง มันสร้างมาจากมหาเต๋าแห่งเวลา เมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ข้าเข้าใจกฎแห่งเวลา ข้าบำเพ็ญสมาธิอยู่ที่นี่ หากเจ้าตั้งใจที่จะเข้าใจพลังแห่งกาลเวลา บางทีเจ้าสามารถเริ่มต้นจากที่นี่” เสียงของหัวเจี้ยนคงยังคงก้องอยู่ในหูของเขา แต่หัวเจี้ยนคงก็หายไปแล้ว

ดินแดนกาลเวลา!

นี่คือสถานที่บ่มเพาะที่หัวเจี้ยนคงเตรียมไว้ให้เฉินซี มันเต็มไปด้วยพลังแห่งกาลเวลา หลังจากนี้จะสามารถเข้าใจมันได้สำเร็จหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับโชคของเฉินซีเอง

สถานที่ที่เฉินซียืนอยู่คือ ป่าท้อในดินแดนกาลเวลา และมันเป็นตัวแทนของวสันตฤดู

วสันตฤดูเป็นฤดูที่ความมีชีวิตชีวาปรากฏขึ้นจากผืนดิน ทุกสรรพสิ่งเริ่มงอกงาม

เฉินซียืนนิ่งเป็นเวลานาน จากนั้นก็ส่ายศีรษะ

เพราะไม่ว่าจะพยายามเท่าใด ก็ไม่อาจค้นพบร่องรอยของพลังแห่งกาลเวลาโดยใช้ญาณมหาเทวะอมตะ ดวงจิตแห่งเต๋า หรือวิญญาณ เพื่อตรวจสอบพื้นที่อันกว้างใหญ่นี้ ดังนั้นการคิดต่อไปจึงเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ

ชายหนุ่มเอามือไพล่หลังขณะเดินลัดเลาะผ่านป่าท้อ ก้าวข้ามลำธารน้ำใสที่คดเคี้ยว และบังเอิญได้เห็นแสงตะวันที่สาดส่องท้องฟ้ายามเย็น

ในเวลาไม่นาน ม่านแห่งราตรีก็เคลื่อนคล้อยลงมา ดวงดาวลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า เสียงร้องอันแผ่วเบาของแมลงดังก้องไปทั่วฟ้าดิน ขณะที่สายลมแห่งราตรีพัดมาอย่างแผ่วเบา ทำให้ต้นไม้ส่งเสียงดังหวีดหวิว มันเป็นฉากที่เงียบสงบเกินจะพรรณนา

รัตติกาลนี้ว่างเปล่าและเงียบงัน มีเพียงเฉินซีเท่านั้นที่เดินเพียงลำพังในฟ้าดินอันกว้างใหญ่นี้

หัวใจของเขาค่อย ๆ สงบลง เพียงเหลือบมองทุกสิ่งที่ผ่านไป มองดูภูเขา ลำธาร และทิวทัศน์ เมื่อใดที่รู้สึกพึงพอใจก็จะหยุดมอง แล้วหากไม่สนใจก็จะจากไป

ชายหนุ่มกระทำตามความพอใจ และปล่อยไปตามใจต้องการ

หากเขามีอารมณ์ เขาจะดึงใบหญ้า หรือเด็ดลูกท้อสองสามลูกเพื่อเติมลงในสุราของตน

ต้นไม้โบราณ หินขนาดมหึมา น้ำตก… ร่างสูงใหญ่ย่ำก้าวไปทุกหนทุกแห่ง หยอกล้อกับเหล่าหิ่งห้อยในตอนกลางคืนและเหล่าผีเสื้อท่ามกลางดอกไม้

เมื่อหมดความสนใจ ชายหนุ่มจะสะบัดแขนเสื้อแล้วจากไป ฟันผ่าภูเขา แยกน้ำ และเดินผ่านพื้นที่นั้นในทันที

หลังจากนั้น ม่านแห่งรัตติกาลเลือนหาย ดวงอาทิตย์ที่แผดเผาลอยเด่นกลางนภา สลายม่านสีดำหมึกแห่งราตรี ปล่อยให้ฟ้าดินเข้าสู่เวลากลางวัน และจากนั้นเวลาก็เคลื่อนจากวสันต์สู่คิมหันต์!

ดวงอาทิตย์อันวิจิตรตระการตาลอยสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า ขณะที่คลื่นความร้อนม้วนตัวขึ้น ดอกบัวบานสะพรั่งท่ามกลางความร้อนแรง

กลางวันและกลางคืนนั้นผันเปลี่ยนในชั่วพริบตา วสันต์ผันเปลี่ยนเป็นคิมหันต์ น่าเสียดายที่ข้าไม่สามารถสัมผัสมันได้

เฉินซีเงยหน้าขึ้นมองและดื่มสุราเข้มข้นหนึ่งอึก ใบหน้าประดับรอยยิ้ม ท่าทางดูไร้กังวล เส้นผมรวบไว้หลวม ๆ ในขณะที่ก้าวไปข้างหน้า

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท