บทที่ 1440 เบญจนิมิตแห่งอาสัญ
ปราการไร้แดน?
ปราการไร้แดนคืออะไร?
แล้วปราการชีวันและมรณาอันลึกลับทั้งสิบแปดในนั้นคืออะไร?
มันเป็นคำถามสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ในใจเฉินซีก่อนเขาจะถูกรอยแยกแห่งความโกลาหลกลืนกินเข้าไป พริบตาต่อมา จิตสำนึกของเขาก็ขุ่นมัว ก่อนจะตกลงสู่ห้วงแห่งความมืดมิด
…
เมื่อเฉินซีตื่นขึ้น เขาก็เห็นประตูแสงตั้งอยู่ตรงหน้า ขวางทางเดินไว้
เหนือประตูแสงคือสัญลักษณ์ลึกลับลอยอยู่ มันดูบิดเบี้ยวไปมาไม่อาจเข้าใจได้ ส่งผลให้เฉินซีไม่อาจแยกแยะ จึงไม่อาจเข้าใจความลึกล้ำเบื้องหลังได้
ดูท่าจะเป็นปราการไร้แดน
เขาไม่ได้รีบร้อนเข้าไป แต่กลับปล่อยใจครุ่นคิดบางอย่าง
หลายปีก่อนตอนอยู่ที่แดนโบราณจักรพรรดิเต๋า เฉินซีเคยรับมือกับจอมกระบี่ในสุสานแห่งราชันนิรันดร์ เจอความเป็นความตายมานับไม่ถ้วน สุดท้ายก็ผ่านบททดสอบมาได้
ตอนนั้นเขาก็เข้าใจความเป็นความตายอย่างลึกซึ้งแล้ว
ชั่วจังหวะเป็นตายจะมีความกลัวเหลือคณนาอยู่!
ในฐานะที่มันเป็นหนึ่งในสามสุดยอดพลังแห่งกฎของสามภพ กฎแห่งชีวิตและความตายไม่ใช่ชีวิตหลังการเกิดใหม่ แต่เป็นความเป็นและความตายของแท้ ไม่ว่าจะเป็นเทพเซียนบนฟ้า หรือสิ่งมีชีวิตบนดิน ต่อหน้าความเป็นความตายก็ไม่มีใครสามารถคงความสุขุมไว้ได้อีก
ยกตัวอย่างเช่น สาเหตุที่ราชันเซียนแทบจะสามารถมีชีวิตอยู่อย่างเป็นอมตะได้ ไม่เกรงกลัวกาลเวลา ก็เป็นเพราะว่าพวกเขาสามารถทำความเข้าใจกฎแห่งชีวิตและความตายได้
เช่นนั้นแล้ว กฎแห่งชีวิตและความตายคืออะไรกันแน่?
เฉินซีเองก็ไม่อาจรู้ เพราะเขายังไม่เข้าใจมัน หลายปีก่อนตอนประมือกับจอมกระบี่ ก็ทำให้เขาเข้าใจเพียงว่า หากในใจถูกครอบงำ ก็สามารถทำให้ไม่กลัวความเป็นความตายได้ จิตใจจะเป็นอิสระจากข้อจำกัดทั้งหลายได้ก็ต่อเมื่อไม่เกรงกลัวความตาย
น่าเสียดายที่การไม่กลัวตายและการทำความเข้าใจกฎแห่งชีวิตและความตายมันต่างกันอย่างสิ้นเชิง
พลังแห่งความเป็นและความตายไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถทำความเข้าใจได้ง่ายอยู่แล้ว
ขอข้าดูหน่อยสิว่า ในปราการชีวันและมรณาอันลึกลับทั้งสิบแปดจะมีอันตรายใดรออยู่บ้าง หากมันสามารถทำให้เข้าใจพลังแห่งความเป็นตายได้ เช่นนั้นไม่ว่าจะร้ายแรงแค่ไหนก็ไม่นับเป็นอะไร… เมื่อจิตใจสงบลงแล้ว เฉินซีจึงตัดสินใจไม่เสียเวลาลังเลอีก และเดินเข้าประตูแสงนั่นไป ทำให้เงาร่างเขาหายไปทันที
…
พริบตาเดียวเวลาก็หมุนเวียนเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
นับตั้งแต่ที่เฉินซีเข้าปราการไร้แดนมา ก็ไร้ข่าวคราวใดจากเขาอีก
หรือพูดโดยสรุปก็คือ นับตั้งแต่ที่เฉินซีเข้าดินแดนกาลเวลาไปทำความเข้าใจกฎแห่งเวลาเมื่อยี่สิบปีก่อน เขาก็หายไปจากสาธารณชนเลย
นอกจากเจ้าสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าคนปัจจุบันอย่างเหมิงซิงเหอ หัวเจี้ยนคง และคนอื่น ๆ แล้ว ก็ไม่มีใครรู้เลยว่าเฉินซีไปไหน ไม่มีใครรู้ข่าวเรื่องที่อยู่ของเฉินซีเลย
ความผิดปกติเช่นนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนนึกไม่ถึง ถึงขั้นที่ทำให้ใครหลายคนออกมาถกเถียงและคาดเดากันไปต่าง ๆ นานา
บ้างก็บอกว่าเฉินซีปิดด่านบ่มเพาะ
บ้างบอกว่าเขาออกจากสำนักไปนานแล้ว ออกไปใฝ่หาขอบเขตราชันเซียนด้วยตนเอง
ถึงขั้นมีใครหลายคนสงสัยว่าการหายตัวไปของเฉินซีอาจเกี่ยวข้องกับตระกูลจั่วชิว เพราะหลังจากที่เขาสังหารจั่วชิวคงและจั่วชิวหลิงหงไป ก็เป็นที่รู้กันว่าเฉินซีกับตระกูลจั่วชิวเป็นเหมือนน้ำกับไฟที่เข้ากันไม่ได้
ตอนนี้เฉินซีหายตัวไปหลายสิบปี จึงมีหลายคนสงสัยว่าตระกูลจั่วชิวคงลอบทำร้ายเฉินซีเป็นแน่
แต่มันก็เป็นเพียงแค่ความสงสัย เพราะหากเฉินซีถูกตระกูลจั่วชิวสังหารไปแล้วจริง เช่นนั้นสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าคงไม่ยอมนิ่งเฉยแน่
สถานการณ์ปัจจุบันคือ สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋ายังไม่ได้ประกาศอะไรแก่สาธารณชน ซึ่งทำให้หลายคนรู้สึกว่าการหายตัวไปของเฉินซีครั้งนี้คงไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องตระกูลจั่วชิว
นอกจากนั้นแล้ว คนที่เป็นห่วงเรื่องที่เขาหายตัวไปมากที่สุดในหลายปีที่ผ่านมานี้ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากผองเพื่อนและผู้อาวุโสที่เขารู้จัก อย่างเช่นจ้าวเมิ่งหลี จี้เซวียนปิง เจิ่นลู่ เยี่ยถัง หลิงชิงอู๋ และอีกหลายคน ซึ่งรวมถึงสมาชิกในพันธมิตรดาราด้วย
แต่พวกที่สบายอกสบายใจนักคือพวกที่มีความเป็นปฏิปักษ์ต่อเฉินซี แต่กลับไม่ร่วมกับตระกูลจั่วชิว
กลับกันแล้ว ตระกูลจั่วชิวกลับมีความตื่นตัวต่อการหายตัวไปครั้งนี้มากกว่าผู้ใด เพราะทุกเรื่องแปลกย่อมมีสาเหตุ พวกเขาไม่เชื่อว่าเฉินซีจะหายตัวไปอย่างไร้สาเหตุแน่
ถึงขั้นที่ผู้นำตระกูลจั่วชิวคนปัจจุบัน จั่วชิวเฟิง รู้สึกว่า เฉินซีอาจกำลังซ่องสุมกองกำลังเตรียมตัวแก้แค้นตระกูลจั่วชิวอยู่!
แล้วก็เป็นเพราะความคิดนี้ จั่วชิวเฟิงจึงร่วมมือกับเว่ยซิงเพื่อเร่งลงมือกวาดล้างคนในตระกูลที่ต่อต้านตน ชั่วระยะเวลาไม่กี่ปีผ่านไป ผู้อาวุโสหกคนของตระกูลจั่วชิวหายตัวไปตลอดกาลอย่างไร้ร่องรอย…
พวกที่ต่อต้านแต่มีฐานะต่ำกว่าเล็กน้อย หากไม่ใช้การติดสินบนก็สังหารทิ้งเสีย ทั้งยังเป็นคนจำนวนมากที่นับกันไม่ไหวทีเดียว
แต่ที่มั่นใจได้อย่างหนึ่งคือ คนฝ่ายจั่วชิวเฟยหมิงที่สนับสนุนจั่วชิวเสวี่ยได้รับผลกระทบใหญ่หลวงจากการกวาดล้างครั้งนี้ จนแทบจะแตกแยกย่อยยับเต็มที!
…
ทว่าไม่ว่าจะเป็นการหายตัวไปของเฉินซีหรือการไล่ล่าและความเปลี่ยนแปลงฉับพลันภายในตระกูลจั่วชิว ไม่นานก็ไม่มีใครให้ความสนใจอีก เพราะช่วงเวลาหกสิบเจ็ดปีที่เฉินซีหายไป ทั่วทั้งภพเซียนก็ตกอยู่ในความวุ่นวายเพราะข่าวน่าตกใจเรื่องหนึ่ง
กลิ่นอายเบญจนิมิตแห่งอาสัญได้ลงมาปรากฏ ณ ทวีปคนเถื่อนบรรพกาลแล้ว!
ทวีปคนเถื่อนบรรพกาลอยู่ที่พื้นที่ทางตะวันตกสุดของภพเซียน เป็นพื้นที่แสนธรรมดาท่ามกลางทวีปกว่าสี่พันเก้าร้อยทวีปของภพเซียน แต่เมื่อกลิ่นอายเบญจนิมิตแห่งอาสัญมาถึงก็ทำให้ทวีปคนเถื่อนบรรพกาลกลายเป็นจุดรวมความสนใจของภพเซียนไปแล้ว
“เบญจนิมิตแห่งอาสัญมาถึงแล้ว สามภพกำลังจะตกอยู่ในความโกลาหล!” หลังจากตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว กองกำลังใหญ่หลายแห่งของภพเซียนก็มีความคิดเห็นเหมือนกัน นั่นคือกลียุคแห่งสามภพที่ทำนายทายทักไว้กำลังจะเข้าสู่สามภพแล้ว
เพราะกลิ่นอายเบญจนิมิตแห่งอาสัญเป็นสัญญาณการมาถึงของความวิบัติ!
ทั่วภพเซียนจึงเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกตกใจอยู่ชั่วขณะ กองกำลังใหญ่ทั้งหลายล้วนวางแผนกันข้ามคืน ทั้งภพเซียนตกอยู่ในบรรยากาศหมองมัวและเป็นกังวล
เพราะทุกคนรู้ดีว่าเมื่อความวิบัติแห่งสามภพมาถึง เทพเซียนยังเปรียบดั่งมด เทพอสูรเหมือนใบหญ้า ไม่มีใครรอดพ้นไปได้!
หมายความว่าอย่างไรน่ะหรือ?
ความตาย!
ความโกลาหล!
ความวิบัติ!
โลหิต!
โดยเฉพาะเหล่าเซียนที่ใฝ่หาชีวิตนิรันดร์ การมาถึงของกลียุคแห่งสามภพอาจนับได้ว่าเป็นความวิบัติที่อาจทำลายล้างทั้งโลก ไม่มีใครอาจหาญมั่นใจได้ว่าตนเองจะรอดพ้นจากความวิบัติครั้งนี้ไปได้
ไม่มีใครกล้ามั่นใจว่าตนเองจะไม่ได้รับผลกระทบจากมัน ดังนั้นมันจึงน่าตกใจและน่ากลัวเป็นอย่างมาก
ตอนนี้กระทั่งกองกำลังใหญ่ยังคงความสุขุมไว้ไม่อยู่ ใช้เวลาทุกชั่วขณะไปกับการเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติที่กำลังจะมาถึง
…
“คุณหนู เราจะช้ากว่านี้ไม่ได้แล้ว!” ในคุกเนตรเซียน จั่วชิวเฟยหมิงมาพบจั่วชิวเสวี่ยอีกครั้ง เขาพูดด้วยน้ำเสียงเจือแววกังวลยิ่ง “ตอนนี้ฐานกองกำลังของเรากำลังจะถูกถอนราก หากเรายังไม่แข็งขืน เช่นนั้นก็จะเสียทุกโอกาสไป”
ตอนนี้ จั่วชิวเสวี่ยเองก็มีสีหน้าหนักใจเช่นกัน นางได้ยินเรื่องที่จั่วชิวเฟิงทำไปในช่วงหลายปีนี้มาบ้าง ย่อมเข้าใจดีว่าตนเองอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบเพียงใด
นางสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วกล่าว “หลายปีมานี้เราเสียคนไปเท่าไหร่?”
“เกือบหกในสิบ!” จั่วชิวเฟยหมิงเอ่ยเสียงต่ำ “แต่เรื่องดีอย่างหนึ่งคือ พวกระดับสูงหน่อยไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย แต่ว่า…”
“แต่อะไร?” จั่วชิวเสวี่ยมุ่นคิ้วถาม
“แต่ท่านลุงบรรพบุรุษเป่ยหยงกับท่านป้าบรรพบุรุษเหลิงฮวา… เลือกฝั่งจั่วชิวเฟิงแล้ว!” จั่วชิวเฟยหมิงเอ่ยเสียงขื่น
“หึ! ข้าคิดไว้อยู่แล้ว หลายปีก่อนตอนท่านพ่อจากไป ข้าก็รู้ว่าพวกเขาจะต้องตัดสินใจเช่นนั้น แต่ไม่คิดว่าศึกยังไม่ทันจบก็รีบเลือกข้างเสียแล้ว” ตอนนี้จั่วชิวเสวี่ยกลับดูสงบนิ่ง นัยน์ตาเต็มไปด้วยประกายเย็นชา
“อาเสวี่ย เราควรฉวยโอกาสนี้ลงมือ ตอนนี้กลิ่นอายเบญจนิมิตแห่งอาสัญปรากฏแล้ว ความวิบัติแห่งสามภพกำลังจะมา เราลงมือในจังหวะนั้นได้ ทุ่มหมดหน้าตักไปเลย ไม่แน่ว่าอาจมีโอกาสพลิกสถานการณ์กลับมาได้บ้าง” จั่วชิวเฟยหมิงเอ่ยเสียงทุ้ม หว่างคิ้วฉายแววเด็ดขาด
“แล้วซีเอ๋อร์เล่า? ยังไม่มีข่าวเรื่องเขาเลยหรือ?” จั่วชิวเสวี่ยครุ่นคิดอยู่นานแล้วเปลี่ยนมาถามเรื่องเฉินซี
“ไม่มีเลย” จั่วชิวเฟยหมิงส่ายหน้าถอนใจ “แต่ข้าว่าสหายน้อยคงกำลังมุ่งมั่นเตรียมการบางอย่างอยู่เป็นแน่ อีกทั้งเขายังทำให้จั่วชิวเฟิงรู้สึกกดดันยิ่ง ไม่เช่นนั้นจั่วชิวเฟิงคงไม่รีบเร่งแผนการปราบปรามให้เร็วขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้หรอก”
นัยน์ตาจั่วชิวเสวี่ยเผยแววเรืองรองออกมายามได้ยิน มุมปากยกโค้งขึ้นเล็กน้อยแล้วเอ่ยยิ้ม ๆ “เช่นนั้น เราก็ลงมือเถอะ!”
พอเห็นนางตอบตกลงโดยง่าย จั่วชิวเฟยหมิงกลับเป็นฝ่ายอึ้งไปชั่วขณะก่อนพยักหน้า “เอาละ! เช่นนั้นข้าจะไปเตรียมการ” พูดจบเขาก็หันหลังเดินจากไป
“ท่านลุงสาม” จั่วชิวเสวี่ยเอ่ยรั้งจั่วชิวเฟยหมิงไว้ “จริง ๆ แล้วถึงท่านไม่บอก ข้าก็พอจะเดาได้ว่าจั่วชิวเฟิงคงสมรู้ร่วมคิดกับนิกายอำนาจเทวะ หากพึ่งเพียงความแข็งแกร่งของเราในตอนนี้ ถึงจะต้านได้แต่ก็ไม่อาจเอาชนะได้”
“อาเสวี่ย เจ้า… รู้มาตั้งแต่ต้นเลยหรือ?” จั่วชิวเฟยหมิงเอ่ยด้วยสีหน้าตกตะลึง เห็นได้ชัดว่าตกใจไม่ใช่น้อย เพราะเขาไม่เคยบอกจั่วชิวเสวี่ยว่าจั่วชิวเฟิงร่วมมือกับเว่ยซิงแห่งนิกายอำนาจเทวะ ด้วยเกรงว่าจะทำให้นางหดหู่ใจและไม่คิดต่อต้านอีก
ทว่าเหตุการณ์ตรงหน้าแสดงให้เห็นว่าจั่วชิวเสวี่ยคงเดาออกนานแล้ว
“ไม่ต้องเดาอะไรมากหรอก เพราะนิสัยระวังตัวเกินเหตุของจั่วชิวเฟิง ย่อมไม่อาจยอมรับการถูกกดดันเช่นนั้นได้” ดวงตาจั่วชิวเสวี่ยเผยแววนิ่งสงบยามเอ่ยคำช้า ๆ
“เช่นนั้นเจ้า…” จั่วชิวเฟยหมิง
“ท่านลุงสามไม่ต้องห่วง ข้าย่อมไม่เสียกำลังใจเพราะเรื่องนี้หรอก” จั่วชิวเสวี่ยยิ้มสุขุมด้วยใบหน้ามั่นใจ “เพียงแต่หวังว่าหลังจากนี้ท่านจะสามารถออกมาจากตระกูลจั่วชิวได้อย่างปลอดภัย ตระกูลนี้… ไม่เหลือค่าให้เราใส่ใจอีกแล้ว!”
จั่วชิวเฟยหมิงสะดุ้ง กำลังจะพูดบางอย่างขึ้น ทว่าจั่วชิวเสวี่ยกลับเอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน “ท่านลุงสามไม่ต้องกล่าวอะไรแล้ว หากท่านอยากทิ้งเมล็ดพันธุ์ไว้ให้ตระกูลได้เติบใหญ่ใหม่อีกครั้ง ก็ให้ทำอย่างที่ข้าบอก”
จั่วชิวเฟยหมิงเปลี่ยนสีหน้าทันใด จ้องจั่วชิวเสวี่ยอยู่นานก่อนกัดฟันกล่าว “อาเสวี่ย รอฟังข่าวดีจากข้าได้เลย!”
พูดจบ ร่างของเขาก็แวบหายไป เหมือนไม่อยากอยู่ที่นี่ต่ออีกแม้แต่ลมหายใจเดียว
จั่วชิวเสวี่ยเห็นดังนั้น ไม่เพียงแต่รู้สึกไม่สบายใจ แต่ยังเกิดความกังวลขึ้นอีกด้วย นางรู้จักนิสัยจั่วชิวเฟยหมิงดี รู้ว่าเขาคงไม่ทำตามที่นางบอกเป็นแน่
หรือว่า… ชะตาตระกูลจะหมดหนทางแก้แล้ว? จั่วชิวเสวี่ยพึมพำ ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้าผิดหวังเหลือคณนา