บทที่ 823 ตั๊กแตนตำข้าวจับจักจั่นโดยมีนกขมิ้นอยู่ด้านหลัง (2)
ผู้พิทักษ์หยวนก้าวถอยหลังต่อเนื่องด้วยความตกใจ แล้วส่ายหัวอย่างแรง “เปล่า เปล่า…”
หลี่เมี่ยวเจินจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนถลึงตาใส่พวกเหมียวโหย่วฟางแวบหนึ่งแล้วเอ่ยว่า
“การเลื่อนขั้นครั้งนี้ค่อนข้างอันตราย อีกนิดก็ตกสู่เส้นทางมารแล้ว”
“เคราะห์ดีที่ทะลวงขั้นได้อย่างราบรื่น” ฉู่หยวนเจิ่นกระแอมครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างทอดถอนใจราวกับแก้เก้อ
“คิดถึงตอนนั้น ในสมาชิกพรรคฟ้าดินมีเพียงข้าและเทพบุตรที่มีพลังการต่อสู้ขั้นสี่ ตบะของพวกเจ้ายังตามหลังอยู่บ้าง พริบตาเดียวก็จะสามปีแล้ว ข้ายังหยุดอยู่ที่ขั้นสี่ พวกเจ้ากลับขึ้นสู่ขั้นเหนือมนุษย์กันทีละคน”
ความรำพันของจ้วงหยวนหลางหาใช่การเสแสร้ง
เมื่อครั้งที่พรรคฟ้าดินเพิ่งก่อตั้ง พวกลี่น่า หลี่เมี่ยวเจิน และเหิงหย่วนต่างอยู่ต่ำกว่าขั้นสี่ พูดอย่างเข้มงวดหน่อย หลี่หลิงซู่เองก็เลื่อนขึ้นขั้นสี่หลังเดินทางลงจากเขาได้หนึ่งปีเท่านั้น
หากไม่นับหมายเลขแปดและจินเหลียนหมายเลขเก้า ฉู่หยวนเจิ่นก็จะเป็นสมาชิกที่ทรงพลังที่สุด
ทว่าตอนนี้ หมายเลขหนึ่ง หมายเลขสองทยอยกันก้าวเข้าขั้นเหนือมนุษย์แล้ว หมายเลขสามเป็นถึงจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง แม้หมายเลขหกจะเป็นขั้นสี่เหมือนกันแต่ก็มีระดับเต๋าแยกขันธ์ หาใช่ขั้นสี่ตามความหมายทั่วไป
หมายเลขแปดและหมายเลขเก้าอยู่ขั้นสอง
สถานการณ์เช่นนี้ แม้ฉู่หยวนเจิ่นจะมีนิสัยโอนอ่อนผ่อนตาม ไม่ชอบการต่อสู้เพื่อชื่อเสียงลาภยศ ก็ยังอดไม่ได้ที่จะ ‘รู้สึกถึงวิกฤต’ อันถาโถมเข้ามาอย่างรุนแรง หากยังไม่เลื่อนขั้นอีกก็จะถูกทิ้งระยะห่างไกลลิบแล้ว
“ดูเจ้าพูดเข้าสิ ข้าก็ยังอยู่ขั้นสี่ไม่ใช่รึ”
หลี่หลิงซู่เอ่ยปลอบว่า “ยังมีลี่น่ากับไต้ซือเหิงหย่วน”
ฉู่หยวนเจิ่นหัวเราะ “เทพบุตรกล่าวมีเหตุผล”
ผู้พิทักษ์หยวนจ้องจ้วงหยวนหลาง แล้วจู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า
“ไม่ ท่านโกหก ใจของท่านบอกข้าว่า คนหนึ่งเอ้อระเหยลอยชายไปกับแสงสีโลกีย์ อีกคนก็แค่ยายหนูซื่อบื้อที่รู้จักแต่กิน ข้าจะเหมือนกับพวกเจ้าได้อย่างไร”
ผู้พิทักษ์หยวนสีหน้าเต็มไปด้วยความสุขในการแก้แค้น
บรรยากาศพลันเงียบกริบ!
สวี่ชีอัน หลี่เมี่ยวเจิน นักบวชเต๋าจินเหลียน อาซูหลัวและคนอื่นๆ เบือนหน้าหนีพลางเม้มปากกลั้นหัวเราะ
ฉู่หยวนเจิ่นสีหน้าแข็งค้าง จิกฝ่าเท้ายึดพื้นด้วยความกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
‘รีบส่งเจ้าลิงนี่กลับซินเจียงตอนใต้เถอะ มิเช่นนั้นช้าเร็วต้องมีสักวันที่ตุ๋นเขากินแน่…’ หลี่หลิงซู่เองก็ไม่รู้ว่าควรตอบสนองอย่างไรดี จึงแสร้งทำมองทิวทัศน์รอบตัว
“แค่ก แค่ก!”
นักบวชเต๋าจินเหลียนส่งเสียงกระแอมทำลายบรรยากาศน่าอึดอัด พลางว่า
“ดึกแล้ว พรุ่งนี้หารือว่าจะโจมตีอรัญตาอย่างไร คืนนี้กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ”
พูดจบก็ลุกขึ้นกลางสายลม แล้วหายไปในรัตติกาล
ทุกคนต่างทะยานขึ้นกลางอากาศหนีไปยังทิศทางที่แตกต่าง และกลับสู่ที่พักของตน
ซุนเสวียนจีพาผู้พิทักษ์หยวนกลับห้องนอน ผู้พิทักษ์หยวนจุดตะเกียงน้ำมัน แสงเทียนสลัวขึ้นภายในห้อง ก่อนเอ่ยว่า
“ข้าจะไปห้องน้ำหน่อย”
หลังจากรอให้ซุนเสวียนจีพยักหน้าแล้ว ผู้พิทักษ์หยวนก็หยิบยันต์ส่งตัวออกจากอกอย่างระมัดระวังแล้วถือไว้ในมือ จากนั้นจึงออกไปอย่างสบายใจ
เผ่าพันธุ์ปีศาจที่จากบ้านมาอยู่ข้างนอกเพียงลำพัง ต้องเรียนรู้ที่จะปกป้องตัวเองให้ดี
ครู่หนึ่ง ผู้พิทักษ์หยวนก็กลับมา หลังจากล้างมือในอ่างทองเหลืองแล้วจึงหยิบลูกท้อฤดูใบไม้ผลิลูกหนึ่งจากในจานผลไม้บนโต๊ะขึ้นมากัด
“แค่กๆ!”
ซุนเสวียนจีนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ขั้นแรกเขาใช้ค่ายกลปิดผนึกปิดกั้นกลิ่นอายและเสียงภายในห้อง จากนั้นจึงส่งเสียงไอส่งสัญญาณให้ผู้พิทักษ์หยวนมองตน
ผู้พิทักษ์หยวนจับจ้องเขาอยู่นานก่อนเอ่ยว่า
“ข้าบอกเสียงในใจของหลี่เมี่ยวเจินไม่ได้ หากนางรู้เข้านางจะฆ่าข้า…ท่านปกป้องข้าได้หรือ ให้ตาย ท่านไม่ได้คิดจะปกป้องข้าตั้งแต่แรกแล้ว ยายหนูสกุลสวี่สองคนนั่นให้ข้าคุกเข่าตั้งหลายวัน…ข้าไม่ยอมรับคำอธิบายของท่านหรอก ข้าไม่ฟัง ข้าไม่ฟัง ผู้พิทักษ์เช่นข้าให้ตายก็ไม่ขายนักบวชเต๋าหลี่เมี่ยวเจิน”
‘ก๊อกๆ!’
เวลานี้ เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น จากนั้นประตูก็เปิดออก แผ่นหลังของหยางเชียนฮ่วนยืนอยู่ที่หน้าประตู ก่อนก้าวถอยหลังเข้ามา แล้วเอ่ยช้าๆ ด้วยเสียงต่ำว่า
“ตอนที่หลี่เมี่ยวเจินกลั่นบุญบารมี ในใจคิดอะไรอยู่”
ถามพลางปิดประตู
ผู้พิทักษ์หยวนยังคงส่ายหัว
“ข้าพูดไม่ได้ ข้าเป็นปีศาจที่เชื่อถือได้ ท่านอยากรู้ก็ไปถามเองสิ”
หยางเชียนฮ่วนเอ่ยเสียงเข้ม
“หากฟ้าไม่สร้างข้าหยางเชียนฮ่วน ราชวงศ์ต้าฟ่งคงราวกับค่ำคืนอันยาวนาน ผู้แซ่หยางก็เป็นคนมีชื่อเชื่อถือได้ วางใจ”
‘ก๊อกๆ!’
เสียงเคาะประตูขัดจังหวะคำพูดของหยางเชียนฮ่วน เนื่องจากห้องถูกปกคลุมด้วยค่ายกลปิดผนึก เขาจึงส่งตัวหนีไปไม่ได้ ทั้งมิอาจเดินผ่านประตูได้ด้วย
ศิษย์พี่หยางจึงตัดสินใจเฉพาะหน้า ไปซ่อนตัวในตู้เสื้อผ้าข้างกำแพง
ซุนเสวียนจียื่นฝ่ามือออกไปผลักเบาๆ ผลักค่ายกลวงกลมที่ติดอยู่กับประตูตู้ออก และปิดผนึกกลิ่นอายของหยางเชียนฮ่วน
เมื่อทำทั้งหมดเสร็จแล้ว ผู้พิทักษ์หยวนจึงลุกขึ้นเปิดประตู
ด้านนอกประตู เหมียวโหย่วฟางและหลี่หลิงซู่ถูมือเข้ามา เมื่อเห็นหน้าจึงถามว่า
“พี่หยวน มีเรื่องจะถาม”
ผู้พิทักษ์หยวนปิดประตู พลางจ้องพวกเขาด้วยสีหน้าไม่แสดงอารมณ์
“เสียงในใจของหลี่เมี่ยวเจินว่าอย่างไร”
เหมียวโหย่วฟางและหลี่หลิงซู่มองหน้ากันแล้วพร้อมใจพยักหน้า
“ดีใจที่ได้คุยกับพี่หยวน พวกเราล้วนเป็นคนใจกว้าง จึงควรพูดอย่างเปิดอก ดังนั้น…”
พูดยังไม่ทันขาดคำ ก็มีเสียงเคาะประตูก๊อกๆ ดังมาอีกครั้ง
เหมียวโหย่วฟางและหลี่หลิงซู่กวาดสายตาไปในห้อง แล้วรีบไปยังตู้เสื้อผ้า ก่อนเปิดประตูตู้อย่างไร้ซึ่งความลังเล…
พวกเขาเห็นท้ายทอยของคนผู้หนึ่ง
เอ่ยโดยไม่หันหน้ามาว่า “บังเอิญจริง”
เหมียวโหย่วฟางและหลี่หลิงซู่ “…”
ทั้งสองเบียดกันเข้าไป ก่อนปิดประตูตู้เบาๆ กลิ่นอายหายไปอย่างสมบูรณ์
ผู้พิทักษ์หยวนเปิดประตูด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ท่ามกลางเสียงเอี๊ยดอ๊าด นักกระบี่ชุดดำด้านนอกประตูจึงปรากฏตัวในสายตาของซุนเสวียนจีและผู้พิทักษ์หยวน
ฉู่จ้วงหยวนเอ่ยด้วยสีหน้าสงบว่า
“ดึกดื่นยังพูดเป็นต่อยหอย หาใช่วิสัยของสุภาพชน ข้าจึงมาที่นี่เพื่อดูแลสถานการณ์ปัจจุบันของผู้พิทักษ์หยวนเป็นหลัก…”
ผู้พิทักษ์หยวนตัดบทเขาว่า
“จะได้ถือโอกาสหยั่งเชิงถามความในใจของหลี่เมี่ยวเจินสินะ”
ฉู่หยวนเจิ่นตะลึงงัน ก่อนเผยรอยยิ้มเก้อแต่คงความสุภาพ
“ได้ก็ดี ได้ก็ดี!”
ผู้พิทักษ์หยวนกลับมานั่งที่โต๊ะแล้วส่ายหัวพลางว่า
“ข้ารับปากนักบวชเต๋าหลี่เมี่ยวเจินไว้แล้ว ว่าจะไม่เปิดเผยเสียงในใจของนาง พี่ฉู่โปรดอย่าทำให้ข้าลำบากใจเลย”
ฉู่หยวนเจิ่นไม่เปลี่ยนสีหน้า
“แต่บอกศิษย์พี่ซุนได้อย่างนั้นรึ หากพวกท่านไม่ได้กำลังพูดเรื่องนี้ เหตุใดต้องใช้ค่ายกลปิดห้องด้วย”
ผู้พิทักษ์หยวนเหลือบมองซุนเสวียนจี มนุษย์ผู้นี้ฉลาดนัก หลอกไม่ได้ง่ายๆ
ขณะกำลังจะอธิบาย เสียงเคาะประตูก็ดังมาอีกครั้ง
ฉู่หยวนเจิ่นหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ก่อนกวาดสายตาไปยังประตูตู้ลงกลอน แล้วลุกขึ้นเดินไปพลางว่า
“รบกวนศิษย์พี่ซุนปิดกั้นกลิ่นอายแทนข้าด้วย”
พิจารณารอบด้าน กระทำการอย่างเหมาะสม เห็นได้ว่าในสมองของทั้งสามคนก่อนหน้าไม่สู้ฉู่จ้วงหยวนจริงๆ
ขณะที่พูด ฉู่หยวนเจิ่นก็เปิดประตูตู้ จึงได้เห็นรอยยิ้มสองใบหน้าที่เก้อกระดากแต่ยังคงความสุภาพ และยังมีท้ายทอยของคนอีกผู้หนึ่ง
“พวกเจ้า…”
ฉู่หยวนเจิ่นตะลึงงันอยู่ตรงนั้น ก่อนผิวหน้าจะร้อนฉ่า
“รีบเข้ามาหน่อย ดูสิว่าคนต่อไปจะเป็นใคร” เหมียวโหย่วฟางท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาว
ฉู่หยวนเจิ่นเบียดเข้าไปอย่างจนปัญญา
ผู้พิทักษ์หยวนเปิดประตู เห็นอาซูหลัวร่างสูงเก้าฉื่อยืนอยู่ปากประตู
“…” ผู้พิทักษ์หยวนยังคงยำเกรงเขาอยู่บ้าง จึงรีบก้าวถอยร่นสองสามก้าว
อาซูหลัวถือโอกาสเดินเข้ามา พยักหน้าให้ซุนเสวียนจีและผู้พิทักษ์หยวน ก่อนปิดประตูแล้วถามว่า
“เมื่อครู่หลี่เมี่ยวเจินคิดอะไรอยู่ในใจ”
เมื่อคนถามคืออาซูหลัว ผู้พิทักษ์หยวนไม่รู้ว่าควรตอบดีหรือไม่ จึงหันไปทางซุนเสวียนจี
ผู้พิทักษ์หยวนพยักหน้าพลางว่า
“ศิษย์พี่ซุนถามท่านว่า เหตุใดกระทั่งคนสถานะเช่นท่านยังชอบมาเกลือกกลั้วกับเรื่องพรรค์นี้อีก”
พูดจบ ผู้พิทักษ์หยวนก็พึมพำในใจว่า ตัวท่านแตกต่างรึ!
อาซูหลัวเอ่ยอย่างใจเย็น
“สมาชิกพรรคฟ้าดินดูเหมือนจะชอบเล่นเช่นนี้กันมาก นอกเหนือจากความจริงจังตอนทำงานแล้ว เวลาปกติก็มักวางแผนใส่กัน แทบอดใจรอไม่ไหวที่จะทำให้อีกฝ่ายขายหน้า มุดดินด้วยความอับอาย
“ข้าใช่จะชอบการกระทำนี้ แต่ในเมื่อยังต้องติดต่อกับพวกเขา เช่นนั้นก็ต้องวางแผนรับมือ ควบคุมความลับส่วนตัวของพวกเขา เพื่อให้ตัวเองอยู่ในตำแหน่งที่มิอาจปราชัย”
ซุนเสวียนจีรอจนผู้พิทักษ์หยวนเอ่ยความในใจออกมา แล้วจึงโบกแขนเสื้อ มีเสียงดังปัง แล้วประตูตู้ก็เปิดออก
อาซูหลัวจึงเห็นสามใบหน้าที่มีรอยยิ้มเก้อหากยังรักษามารยาท รวมทั้งท้ายทอยของคนคนหนึ่ง
“บังเอิญจริง!”
คนทั้งสี่เอ่ยทักทาย
“พวกเจ้า…”
อาซูหลัวสีหน้างงงัน ก่อนรีบทบทวนคำพูดของตนเมื่อครู่ หลังแน่ใจว่าไม่มีคำพูดอะไรน่าละอายแล้ว เขาจึงกลับสู่ความสุขุมอีกครั้ง
“ดูท่าพวกเราล้วนเป็นคนฉลาดที่รู้จักปิดประตูหน้าต่างก่อนฝนตกกันสินะ” ฉู่หยวนเจิ่นเอ่ยกู้หน้า
“มิผิด มิผิด” เหมียวโหย่วฟางและหลี่หลิงซู่คล้อยตาม
พวกเขาทั้งสามเดินออกจากตู้ หยางเชียนฮ่วนถอยหลังออกมา
คนทั้งกลุ่มนั่งลงที่โต๊ะ หยางเชียนฮ่วนยืนที่มุมกำแพง อาซูหลัวคิดแล้วจึงเอ่ยว่า
“พวกเราเปิดประตูไปโต้งๆ เลย ดูว่ายังมีใครมาหรือไม่ หากหลี่เมี่ยวเจินมา พวกเราก็แยกย้าย หากไม่มา…”
เขาเหลือบมองผู้พิทักษ์หยวน ความหมายชัดแจ้งโดยไม่ต้องออกปาก
ทุกคนเห็นด้วย
ประตูห้องเปิดออก เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ครึ่งเค่อให้หลัง แมวส้มที่ยกหางชี้อยู่ตลอดก็ก้าวย่างอย่างสง่างามผ่านประตูของซุนเสวียนจี
มันเหลือบมองในห้องอย่างไม่ได้ตั้งใจ แล้วชักสายตากลับด้วยความสงบเยือกเย็น ก่อนเดินหน้าต่อ
“ไม่ต้องเสแสร้งแล้ว นักบวชเต๋าจินเหลียน!”
ฉู่หยวนเจิ่นตะโกน
แมวส้มทำเมินเฉยแล้วเดินหน้าต่อ
“เจ้าแมวนั่น เราพูดถึงเจ้าอยู่นะ!”
หลี่หลิงซู่เอ่ย
แมวส้มลังเลครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยด้วยความสงบยิ่งว่า
“บังเอิญจริง ทุกท่าน!”
“ความจริงแล้วอาตมามีเรื่องมาพบผู้พิทักษ์หยวน…”
ทุกคนเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า
“เสียงในใจของหลี่เมี่ยวเจิน!”
เจ้าแมวทำหน้างงงัน
…
แมวส้มนั่งยองบนโต๊ะ แล้วมองรอบๆ พลางว่า
“สวี่หนิงเยี่ยนไม่มารึ”
ผู้พิทักษ์หยวนพยักหน้า
“เขาไม่ได้มา มีแค่พวกท่าน”
“ข้าไม่เชื่อ!” ทุกคนเอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน
นักบวชเต๋าจวี๋เมาครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า
“พวกเจ้าใครมาก่อน”
ผู้พิทักษ์หยวนจึงไล่ลำดับก่อนหลังให้แมวส้มฟัง
สวี่หนิงเยี่ยนซ่อนตัวได้เพียงสองวิธี คือวิชาดวงดาราผันเปลี่ยนและการหลบซ่อนในเงามืด วิธีแรกทำได้เพียงปิดกั้นกลิ่นอายแต่ซ่อนร่างกายไม่ได้ เช่นนั้นก็เหลือเพียงวิธีที่สองแล้ว หยางเชียนฮ่วนเชี่ยวชาญวิชาเคลื่อนย้าย มิอาจทันการหลบซ่อนในเงามืดได้…นักบวชเต๋าจวี๋เมาสะดุดใจ จึงมองไปทางเหมียวโหย่วฟาง แล้วพ่นแสงเรืองรองออกจากปาก
ลำแสงเรืองรองปกคลุมเหมียวโหย่วฟาง ทำให้ร่างกายของเขาเปล่งประกาย เงาสลายหายไป
ในเงาของเหมียวโหย่วฟางยังมีเงาหนึ่งซ่อนอยู่ ภายใต้แสงแห่งบุญกุศลสาดส่องจึงไร้หนทางหลุดรอด และกลับคืนสู่สภาพมนุษย์อย่างช้าๆ
สวี่ชีอันไม่เปลี่ยนสีหน้า ก่อนยิ้มแล้วเอ่ยว่า
“บังเอิญเหลือเกิน ทุกท่าน!”
เจ้าคนต่ำทราม…ทุกคนมองเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
สวี่ชีอันแสร้งไม่เข้าใจการแสดงออกของทุกคน แล้วหันไปมองผู้พิทักษ์หยวนพลางว่า
“พูดได้หรือยังล่ะ”
สวี่ชีอันตามเหมียวโหย่วฟางมา เดิมตั้งใจจะฟังข่าวเงียบๆ
คิดไม่ถึงว่าคนกลุ่มพรรคฟ้าดินนี้ ไม่มีใครตรงไปตรงมาสักคน ไม่สิ มีเพียงไต้ซือเหิงหย่วนที่มีมโนธรรม
ฮว๋ายชิ่งไม่มา น่าจะเป็นเพราะเสียหน้าไม่ได้ หรืออาจไม่สนใจ
คนใหญ่คนโตทั้งห้องมองไปทางผู้พิทักษ์หยวนโดยไม่พูดอะไร และกดดันอย่างเงียบๆ
ผู้พิทักษ์หยวนเหลือบมองพวกเขาด้วยความสงบอย่างน่าประหลาด ก่อนตอบว่า
“ข้าน่ะอย่างไรก็ได้ แต่พวกท่านต้องถามนางก่อนว่าเห็นด้วยหรือไม่”
พูดจบ เขาก็หยิบถุงผ้าดิ้นออกจากอกแล้วเปิดออก!
ทันใดนั้น พลังแห่งบุญกุศลก็แผ่เต็มห้อง เทพเจ้าหยางของหลี่เมี่ยวเจินลอยออกจากในถุงผ้าดิ้น แล้วลอยคว้างอยู่กลางอากาศ พลางก้มหน้ามองทุกคนในห้องด้วยความเฉยเมย
ตอนที่ผู้พิทักษ์หยวนออกไปเข้าห้องน้ำ ได้พบกับหลี่เมี่ยวเจิน
ทุกคน “!!!”
………………………………