บทที่ 824 โหมโรง
หลี่เมี่ยวเจินรึ?!
เหตุใดนางจึงอยู่ที่นี่
ภายในห้องเงียบลงชั่วขณะ สีหน้าทุกคนเปลี่ยนไปเล็กน้อย ทั้งอับอาย ประหลาดใจ ละอายใจและอื่นๆ ระคนกัน ในหมู่พวกเขา คนที่ดูอึดอัดที่สุดนั่นคือนักบวชเต๋าจินเหลียนและฉู่หยวนเจิ่น คนหนึ่งเป็นผู้อาวุโสที่สุขุมน่านับถือ อีกคนหนึ่งเป็นจ้วงหยวนหลางผู้มากด้วยความรู้ความสามารถ
ยิ่งตำแหน่งสูงเท่าไร ยิ่งอับอายมากขึ้นเท่านั้นในเวลานี้
อาซูหลัวประนมสองมืออย่างอดไม่ได้เพื่อบรรเทาความอับอาย แม้ว่าปากจะบอกว่าเตรียมตัวไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่ยอดฝีมือขั้นสองผู้สง่าผ่าเผยร่วมซุบซิบนินทาเรื่องส่วนตัวของผู้อื่น สุดท้ายก็มีแต่เสียหน้าและเสียจริต
กลับกัน สวี่ชีอัน เหมียวโหย่วฟางและหลี่หลิงซู่กลับเป็นผู้ที่อับอายน้อยที่สุด ตามข้อดีของการเป็นคนต่ำต้อย โจรชั่ว อันธพาลและชายหน้าหม้อประจำยุทธภพ
“เหอะ ไฉนไม่ถามกันแล้วล่ะ?”
หลี่เมี่ยวเจินกวาดมองรอบห้อง รู้สึกพึงพอใจกับการแสดงออกของทุกคน
ทุกคนฉีกยิ้มแหยๆ
นักบวชเต๋าจินเหลียนไม่ปล่อยโอกาสนี้หลุดลอย ยิ้มเยาะเอ่ยว่า
“อาตมาไม่ถือสา อยากรู้อะไรก็ถามมาเถิด”
คลุกคลีอยู่ด้วยกันมานาน นิสัยของสมาชิกพรรคฟ้าดินเป็นอย่างไร นางจะไม่รู้เลยหรือ?
พอได้ยินพวกเขายุยงผู้พิทักษ์หยวนให้อ่านใจที่แท่นแปดทิศ หลี่เมี่ยวเจินก็คิดขึ้นได้ว่าต้องมีคนคอยสอดแนมแน่นอน นางจึงแสร้งออกจากสำนักโหราจารย์ แล้วค่อยแอบย้อนกลับมา ประจวบเหมาะกับเจอผู้พิทักษ์หยวนเข้าห้องน้ำพอดี ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้น จึงซ่อนตัวอยู่ในซอกหลืบรอกระต่ายวิ่งชนต้นไม้
แต่ไม่คิดว่ากระต่ายจะเยอะเท่านี้…
บรรยากาศค่อนข้างอึดอัด หลี่หลิงซู่ เหมียวโหย่วฟางและคนอื่นๆ เสมองไปทางสวี่ชีอัน หวังว่าเขาจะก้าวออกมาคลี่คลายบรรยากาศที่น่าอับอายจนอยากแทรกแผ่นดินหนีแบบนี้ได้
มีเพียงเขาเท่านั้นที่จะทำให้หลี่เมี่ยวเจินอารมณ์ดี
หลี่เมี่ยวเจินฉลาดขึ้นมาก ยิ่งรับมือยากขึ้นเรื่อยๆ…อืม ถ้าทุกคนกำลังอับอาย ก็เท่ากับว่าไม่ต้องอายแล้วสิ ค่อยยังชั่ว…สวี่ชีอันกระแอมไอ พลางเอ่ย
“ไม่เจอกันเดี๋ยวเดียว ผิดหูผิดตาจนต้องขยี้ตามองเลยนา เมี่ยวเจินเอ๋ย พอเห็นเจ้าโตขึ้น ข้าฆ้องเงินผู้นี้ภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง”
หลี่เมี่ยวเจินถอนหายใจ
สวี่ชีอันรีบเปิดหัวข้อสนทนา เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจทุกคน
“ในเมื่ออยู่กันเกือบพร้อมหน้าพร้อมตา เช่นนั้นก็ไม่ต้องรอถึงพรุ่งนี้ มาหารือเรื่องที่ต้องโจมตีอรัญตาเพื่อช่วยชีวิตเสินซูเลยแล้วกัน”
นักบวชเต๋าจินเหลียนเอ่ยตรงไปตรงมา
“บอกความคิดเห็นของพวกเจ้ามา”
ทุกคนแสดงสีหน้าจริงจังพร้อมเพรียงกัน ทำทีราวกับว่าเป็นเรื่องสำคัญ
เมื่อถูกบังคับให้มีส่วนร่วมในเรื่องสำคัญ หลี่เมี่ยวเจินจึงเลิกคิดจะล้อเลียนคนในกลุ่มต่อไป พลางค่อนแคะในใจ
‘สวี่หนิงเยี่ยนต้องเล่นลูกไม้แน่!’
“ข้าตั้งใจจะให้ฮว๋ายชิ่ง หยางกง โค่วหยางโจวและราชครูคอยอยู่ที่เมืองหลวง เพื่อรับมือการโจมตีของผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์จากสำนักพ่อมด สนามรบฝั่งอรัญตา พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ให้ข้าจัดการเอง ส่วนพระโพธิสัตว์หลิวหลีและพระโพธิสัตว์กว่างเสียนจะจัดการอย่างไร นี่คือสิ่งที่เราต้องมุ่งเน้นกัน”
สวี่ชีอันเหลือบมองอาซูหลัว เอ่ยว่า
“ในบรรดายอดฝีมือขั้นสอง อาซูหลัวกับจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางล้วนเป็นประเภทต้องต่อสู้ในระยะประชิดทั้งคู่ เกรงว่าอาจเป็นเรื่องยากที่จะต่อกรกับร่างธรรมพระโพธิสัตว์ทั้งสองรูป”
ถึงแม้ว่าพวกจอมยุทธจะหุนหันพลันแล่น แต่ข้อบกพร่องที่ใหญ่ที่สุดก็คือไม่สามารถรั้งอยู่
พอเผชิญหน้ากับยอดฝีมือระดับเดียวกัน หากพวกเขาเอาชนะไม่ได้ก็จะวิ่งหนี ไม่แน่ว่าอาจหันกลับมาถ่มน้ำลายใส่แล้วพูดว่า
‘ถุย พวกจอมยุทธหยาบช้า!’
แล้วก็ทำอะไรพวกเขาไม่ได้
อาซูหลัวเคาะโต๊ะ ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยมีความสุขนัก
“แม้เส้นทางของข้าจะคล้ายจอมยุทธ แต่ข้ามีระดับเต๋าแยกขันธ์ มีระดับเต๋าอรหัตผล เมื่อเทียบกับจอมยุทธแล้ว ขีดความสามารถย่อมแข็งแกร่งกว่า”
เขาดูหยิ่งผยองเฉกเช่น ‘อย่าดึงข้าลงมาเทียบชั้นกับจอมยุทธแสนหยาบช้า’
“นอกจากนี้ จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเองก็มีอีกหลายวิธีเช่นเดียวกัน เพียงแต่จิตวิญญาณของนางยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ หรือไม่บางทีก็อาจจะแข็งแกร่งเท่ากายหยาบ เหตุนี้จึงยังไม่หยิบออกมาใช้”
อาชีพจอมยุทธนี่เป็นอาชีพที่ใครเขาก็ดูหมิ่นดูแคลนซะจริงนะ รอข้าเลื่อนขั้นก้าวสู่เทพยุทธ์เสียก่อน ข้าจะทำให้ผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ทุกระบบในจิ่วโจวคุกเข่ายอมศิโรราบ…สวี่ชีอันถามกลับ
“แล้วอย่างไร?”
อาซูหลัวเอ่ย
“สำหรับพระโพธิสัตว์กว่างเสียน ข้ากับจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางจะร่วมมือกัน ขอแรงจากจ้าวโส่วสนับสนุนอีกแรง เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”
จ้าวโส่วสวมมงกุฎขงจื๊อและดาบสลักซึ่งเทียบเท่าขั้นสอง ในสงครามที่ผ่านมา พวกเขาเจอผู้แข็งแกร่งขั้นสองทั้งหมดสามคน ที่เกือบรับมือกับขั้นหนึ่งจากสำนักพุทธได้
แน่นอนว่าทุกอาชีพจะต้องคอยส่งเสริมและประสานงานกัน
หากอยู่ในขอบข่ายเดียวกัน ถ้าขั้นสองทั้งสามคนเผชิญหน้ากับขั้นหนึ่ง ก็แค่ได้รับความทรมานเท่านั้น
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดได้แก่ ยุทธการหนีเคราะห์กรรมของลั่วอวี้เหิง ที่มีอาซูหลัว จ้าวโส่วและนักบวชเต๋าจินเหลียน
ตัวอย่างที่ตรงกันข้ามได้แก่ การต่อสู้เหนือธรรมชาตินอกเมืองสวินโจว ที่มีอาซูหลัว โค่วหยางโจวและสวี่ชีอัน
นอกจากนี้ ทั้งสามคนยังพุ่งเป้าไปที่พระโพธิสัตว์สำนักพุทธ ขั้นหนึ่งจากระบบอื่นๆ ยังไม่มีการบันทึกสถิติต่อสู้จึงไม่นับรวมด้วย
อาซูหลัวเอ่ยต่อ
“ในบรรดาพระโพธิสัตว์ ผู้มีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดคือเจียหลัวซู่ แต่คนที่รับมือได้ยากที่สุดคือพระโพธิสัตว์หลิวหลี”
หลี่เมี่ยวเจินขมวดคิ้ว
“พระโพธิสัตว์หลิวหลีรึ?”
อาซูหลัวพยักหน้าและเอ่ยต่อ
“นางเป็นผู้ควบคุมร่างธรรมแก้วอัญมณี ซึ่งเรียกว่า ‘ร่างธรรมแก้วอัญมณีไร้สี’ รวมถึง ‘ร่างธรรมธุดงค์’ อย่างแรกคือเขตแดนอย่างหนึ่ง เมื่อติดอยู่ในเขตแดนนั้น ทั้งสติปัญญา ความคิดและการเคลื่อนไหวจะช้าลง มีเพียงตัวหลิวหลีเท่านั้นที่สามารถควบคุมได้อย่างอิสระ”
เขตแดนนี้ทำให้พวกเหนือมนุษย์ที่ไม่ใช่จอมยุทธใจสั่นสะท้าน
สำหรับพวกเขา ถือเป็นความสามารถของท่าไม้ตายเลยก็ว่าได้
“ขอบเขตแก้วอัญมณีไร้สีมีขนาดประมาณหกสิบจั้ง ไม่ใหญ่นัก แต่นางดันควบคุมร่างธรรมธุดงค์ด้วย หากพูดถึงความเร็ว พระโพธิสัตว์หลิวหลีถือว่าตอนนี้เป็นอันดับหนึ่งในจิ่วโจว เมื่อเขตแดนขยายออก หลังจากความเร็วถึงขีดสุด ก็ไม่มีผู้ใดหลบหนีไปได้
“นั่นคือเหตุผลที่ข้าบอกว่า เหตุใดหลิวหลีถึงจัดการได้ยากที่สุด”
รอจนอาซูหลัวพูดจบ หลี่หลิงซู่จึงเอ่ยเสียงขรึม
“หากจะใช้วรยุทธขงจื๊อยับยั้งการขยายเขตแดน จะควบคุมได้หรือไม่?”
จ้าวโส่วไม่อยู่ สวี่ชีอันจึงตอบแทน
“นั่นเป็นเพียงวิธีการหนึ่ง แต่ถ้าต้องการสร้างความบาดเจ็บ จำกัดพลังผู้แข็งแกร่งคนละระดับกับตน จะสะท้อนกลับรุนแรงมาก ดังนั้นจึงไม่สามารถใช้ได้ตามอำเภอใจจนกว่าจะถึงช่วงเวลาวิกฤต แต่สามารถใช้เป็นท่าไม้ตายได้”
หลี่เมี่ยวเจินเหลือบมองทางนักบวชแมวส้ม
“ให้ท่านนักบวชพลีชีพตน ใช้พลังบุญกุศลฆ่านางได้หรือไม่?”
“เป็นความคิดที่ดีมาก!” ทุกคนโห่ร้องดีใจ
…แมวส้มยกกรงเล็บขึ้น ตบโต๊ะหนึ่งที
“อย่ามาล้อเล่นน่า!
“หากอาตมาตายด้วยน้ำมือหลิวหลี เช่นนั้นนางคงเผชิญกับโชคร้าย จนเอาตัวรอดในสงครามเหนือมนุษย์ที่แสนวุ่นวายไม่ได้ ถึงแม้อาตมาจะตั้งจิตยอมพลีชีพจริง และหลิวหลีเองก็คงไม่ได้เต็มใจฆ่าข้า”
นักบวชเต๋าจินเหลียนถือว่าเป็นตัวเสี้ยมได้เลย หากคู่ต่อสู้ไม่คิดจะยอมตายไปด้วยกัน คงไม่มีผู้ใดกล้าท้าชนกับเขา นิกายปฐพีเป็นพวกอันธพาลจะตาย…สวี่ชีอันแขวะ
“ย่อมใช้โชคชดเชยโชคร้ายได้ ถ้าสำนักพุทธใช้โชคช่วย ท่านนักบวชเต๋าคงตายอย่างเปล่าประโยชน์”
ใบหน้าแมวส้มแสดงท่าทีระแวดระวัง
สวี่ชีอันเอ่ยปลอบใจ
“เรื่องโชคชะตาเป็นของล้ำค่าของสำนักพุทธนะ คงไม่เอามาใช้กับเจ้าหรอก พูดก็พูด ผู้ที่สามารถควบคุมและใช้โชคชะตาได้นั้นมีเพียงพวกโหร พระโพธิสัตว์ของสำนักพุทธคงไม่มีความสามารถดังกล่าวหรอก”
แม้แต่เขาเอง หลังจากโดนค้อนก่อกวนชะตากรรมทุบกบาลอย่างบ้าคลั่ง ชะตาบ้านเมืองในร่างกายถึงได้ตื่นขึ้นมาควบคุมพลังแห่งเวไนยสัตว์
และทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็ได้รับการช่วยเหลือจากโหร
พระพุทธเจ้าผู้เหนือกว่าอาจจะสามารถควบคุมโชคได้ แต่พระโพธิสัตว์ไม่มีความสามารถนี้อย่างแน่นอน
แมวส้มถอนหายใจด้วยความโล่งอกเบาๆ
ฉู่หยวนเจิ่นเหลือบมองหลี่หลิงซู่ที่ขมวดคิ้วอยู่อย่างคิดไม่ตก จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ข้าจำได้ว่าพระโพธิสัตว์หลิวหลีผู้นั้นงดงามยากจะเจอได้ง่ายๆ ไยจึงไม่ลองส่งเทพบุตรออกไปเล่า เรื่องผู้หญิงหน่ะเขาเหมาะสมที่สุดแล้ว”
หลี่หลิงซู่กลับเอ่ยด้วยความไม่มั่นใจ
“เหตุใดไม่ใช้สวี่หนิงเยี่ยน เห็นอยู่ทนโท่ว่าเขาเป็นพวกกะล่อน เจ้าชู้ มากตัณหา”
ไม่ ไม่ใช่สักหน่อย เส้นทางของข้ามีแต่ของคุณภาพ มุ่งเน้นเฉพาะหญิงสาวที่มีคุณภาพ อายุน้อย หน้าตาสละสลวย ส่วนเจ้าเป็นเพียงจักรยานสาธารณะที่พวกสาวๆ ผลัดกันขี่เท่านั้น…หลังสวี่ชีอันแซะจบในใจ ก็พลิกฝ่ามือตบผู้พิทักษ์หยวนหงายหลังลงพื้น
ผู้พิทักษ์หยวนปิดหน้าพลางหยัดกายลุกขึ้น พูดด้วยความคับข้องใจ
“ไฉนมาตีข้าเล่า”
สวี่ชีอันขอโทษ
“ขอโทษ ชินมือไปหน่อย”
ผู้พิทักษ์หยวนค่อยๆ ขดตัวอยู่ข้างซุนเสวียนจี ท่ามกลางที่ราบลุ่มภาคกลางอันแสนโหดร้าย มีเพียงซุนเสวียนจีเท่านั้นที่ให้ความรู้สึกปลอดภัยแก่เขา
เมื่อซุนเสวียนจีมองเขา ผู้พิทักษ์หยวนก็เข้าใจในทันที จึงอ่านใจ
“ข้าจำตอนที่สวี่หนิงเยี่ยนฆ่าเจินเต๋อ ท่านโหราจารย์ทำให้หลิวหลีบาดเจ็บ เขาทำได้อย่างไร”
สวี่ชีอันครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงตอบกลับ
“ไม่เกินจากที่คาดไว้นัก อาศัย ‘การใช้กำลัง’ อย่างรุนแรงทำลาย ประจวบเหมาะกับตอนนั้นหลิวหลีอยู่ในที่ราบลุ่มภาคกลางพอดี ท่านโหราจารย์จึงรวบรวมพลังแห่งเวไนยสัตว์ได้”
กลวิธีของโหรไม่มีอะไรมาก พลังเหนือธรรมชาติของปรมาจารย์ลิขิตฟ้าคือการสอดแนมอนาคต ดังนั้นวิธีการทำลายของท่านโหราจารย์จึงไม่ได้เยอะนัก
แมวส้มกระดิกหาง เอ่ยว่า
“กล่าวอีกนัยหนึ่ง ขอเพียงแค่มีพลังต่อสู้ของท่านโหราจารย์อย่างตอนนั้น ก็จะทำลายเขตแดนอัญมณีไร้สีของหลิวหลีได้”
ทุกคนมองทางสวี่ชีอันพร้อมเพรียงกัน
แมวส้มส่ายศีรษะ
“ตอนสวี่หนิงเยี่ยนรวบรวมพลังต่อสู้แห่งเวไนยสัตว์นั้นเหนือกว่าท่านโหราจารย์อยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นแดนประจิม ยังห่างชั้นเล็กน้อย”
หลังพูดจบ ทุกคนบนโต๊ะต่างหน้านิ่วคิ้วขมวด
พระโพธิสัตว์หลิวหลีเป็นตัวปัญหามาก คุกคามการดำรงอยู่ของพวกเขาเสียจริง
ในที่แห่งนี้นอกเหนือจากอาซูหลัวกับสวี่ชีอัน ผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์คนอื่นๆ ล้วนตกอยู่ในอันตราย
ขณะเดียวกันนี้ สวี่ชีอันค่อยๆ กล่าว
“ถ้าร่วมมือกับดาบสยบดินแดน ข้าน่าจะทำลายเขตแดนไร้สีของพระโพธิสัตว์หลิวหลีได้”
ทุกคนประหลาดใจ
อาซูหลัวค่อนข้างยากจะทำใจเชื่อ
“ตบะเจ้าก้าวหน้ารวดเร็วขนาดนั้นเชียวหรือ?”
เขาไม่เชื่อว่าหลังจากสวี่หนิงเยี่ยนเลื่อนขึ้นขั้นหนึ่ง จะยังก้าวหน้าต่อไปได้อีก เป็นไปไม่ได้
‘หรือจะเป็นสัตว์ประหลาด? ถึงแม้จะมีชะตาเมืองคอยเสริมกำลัง ก็ไม่น่าคุยโวเกินจริงแบบนี้หรอกกระมัง…’ ฉู่หยวนเจิ่นรวมถึงคนอื่นๆ อ้าปากค้างชั่วขณะ
“ก็ไม่เชิง!” สวี่ชีอันอธิบาย “เจ็ดยอดกู่ของข้าเลื่อนระดับเป็นขั้นเหนือมนุษย์แล้ว ‘การสังเวยเลือด’ ของลี่กู่ทำให้พลังต่อสู้ข้าก้าวหน้าในระยะเวลาอันสั้น หากใช้ดาบสยบดินแดนร่วมด้วย พลังต่อสู้คงไม่เลวร้ายไปกว่าของท่านโหราจารย์ตอนนั้น”
เกือบลืมแล้วเชียวว่าเจ้าเด็กนี่รู้ไสยศาสตร์กู่ อาซูหลัวรู้สึกดีขึ้นมาก
‘เจ็ดยอดกู่จะมีอันตรายซ่อนอยู่หรือไม่นะ ค่อยหาโอกาสเตือนเขาหน่อยแล้วกัน…’ หลี่เมี่ยวเจินยิ่งกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับเจ็ดยอดกู่ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากเทพกู่จะมีอันตรายย้อนกลับ
นักบวชแมวส้มเอ่ยด้วยความคาดหวัง
“บางที คราวนี้อาจจะตรวจสอบความเกี่ยวข้องกันระหว่างพระพุทธเจ้าและเสินซูได้อย่างละเอียด”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สมาชิกฟ้าดินต่างคาดหวัง พวกเขากําลังจะเปิดเผยความลึกลับของปรมาจารย์ขั้นสุดยอด
หลังจากปรึกษาหารือกันอีกครึ่งชั่วโมง เหมียวโหย่วฟางจึงถือโอกาส ถามด้วยความใคร่รู้
“เป็นไปได้หรือไม่ว่า ผู้ที่เหนือมนุษย์จากสำนักพ่อมดจะซุ่มโจมตีเราในแดนประจิม? เราคิดว่าเราเดาแผนของพวกเขาออกแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่าพวกเขาก็เดาแผนของเราออกเช่นกัน”
ไม่มีใครพูดอะไร
“ไม่หรอก!”สวี่ชีอันทำลายความเงียบงัน เอ่ยตอบอย่างรักษาน้ำใจลูกศิษย์ว่า
“ทั้งสำนักพ่อมดและสำนักพุทธต่างต้องการครอบครองที่ราบลุ่มภาคกลาง จนต้องแข่งขันกันเอง ถ้าเกิดเดินทางไปยังดินแดนประจิม ใครจะรับประกันได้ว่าสำนักพุทธจะไม่ลงมือกับสำนักพ่อมด? ควรเข้าใจว่า พระพุทธเจ้าทรงหลุดพ้นจากผนึกมานานแล้ว พระองค์ย่อมลงมือได้ แต่สำนักพ่อมดทำไม่ได้
“ซ่าหลุนอากู่อาจฉวยโอกาสที่นกกระยางสู้กับหอยกาบจัดการต้าฟ่ง แต่เขาจะไม่มีวันเสี่ยงแค่เพียงเพื่อฆ่าพวกเรา”
เหมียวโหย่วฟางกวาดตามองรอบหนึ่ง เห็นสีหน้าทุกคนเป็นปกติ ก็รู้ได้ทันทีว่าพวกเขากลุ่มนี้คิดถึงจุดนี้แต่แรกแล้ว
‘ข้ายังฉลาดไม่พอสินะ…’ เหมียวโหย่วฟางรู้สึกอับอาย
“พี่ซุน มีวิธีใดบ้างที่จะสกัดแก่นแท้จากยอดฝีมือขั้นหนึ่ง?” สวี่ชีอันพลันถามขึ้น
ผู้พิทักษ์เหยียนกำลังอ่านใจอยู่ข้างๆ พร้อมแปลออกมา
“ข้ารู้จักแค่ค่ายกลกลั่นโลหิต แต่ไม่รู้วิธีกลั่นแก่นแท้จากกายเนื้อขั้นหนึ่ง เจ้าตั้งใจ…”
ทุกคนบนโต๊ะเลิกคิ้ว มองสวี่หนิงเยี่ยน ในใจก็คาดเดาสุดแรงกล้า
สวี่ชีอันพยักหน้า
“ข้าตั้งใจจะใช้โอกาสนี้ ตัดเศียรเจียหลัวซู่ แล้วกลั่นเอาแก่นแท้กายเนื้อของเขา เลื่อนระดับสู่ช่วงกลางของขั้นหนึ่ง
“แน่นอนว่านั่นไม่ใช่เป้าหมายหลัก ไม่จำเป็นต้องฝืน การป้องกันของเจียหลัวซู่นั้นน่ากลัวเกินไป พวกเราเอาชนะเขาได้ แต่ฆ่าเขาไม่ได้ นอกเหนือจากที่เจ้าพูดแล้ว วิธีกลั่นยาโลหิตไม่สามารถใช้ได้กับการกลั่นแก่นแท้กายเนื้อยอดฝีมือขั้นหนึ่ง”
นี่เป็นวิธีเลื่อนระดับสู่ช่วงกลางของขั้นหนึ่งที่จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางหยั่งถามมาได้จากเสินซู การฝึกฝนของเจียหลัวซู่เป็นระบบบำเพ็ญคู่ระหว่างฉานซือและจอมยุทธภิกษุ ถือว่าเป็นจอมยุทธกึ่งหนึ่ง ซึ่งตรงกับสวี่ชีอันพอดี
แต่การกลืนเลือดเนื้ออย่างหยาบคายจะดูดซับแก่นแท้ได้จำกัด อาจไม่เพียงพอที่จะหนุนนำให้เขาเลื่อนระดับเป็นช่วงกลางของขั้นหนึ่ง
หยางเชียนฮ่วนเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
“งี่เง่า! เรื่องหนักสมองแบบนี้ให้ซ่งชิงจัดการก็สิ้นเรื่อง ให้โอกาสเขากลั่นแก่นแท้จากกายเนื้อ เขาคงศึกษาค้นคว้าอย่างมีความสุขตลอดเจ็ดวันเจ็ดคืน”
“ถ้าซ่งชิงช่วยไม่ได้ เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องพิจารณาแล้ว”
ใช่แล้ว ยังมีอัจฉริยะซ่งชิงด้วย การเล่นแร่แปรธาตุคือความสามารถพิเศษของเขา ดวงตาสวี่ชีอันเปล่งประกาย
ถึงแม้สาวกท่านโหราจารย์เหล่านี้จะเป็นคนประหลาด แต่พวกเขาก็มีประโยชน์มากจริงๆ…ทุกคนลอบถอนหายใจในใจ
สวี่ชีอันกล่าวสรุปในการสนทนาครั้งนี้
“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ก็พอแค่นี้ก่อน อีกสองวันสำนักโหราจารย์จะมาเข้าร่วมช่วยโจมตีอรัญตาด้วย”
………………………………………………………..