บทที่ 589 ชีวิตประจำวันที่ต้องเลี้ยงลูก
เผยอวิ่นเกอเพิ่งจะครบหนึ่งเดือน เผยยวนก็เริ่มหมักเหล้านารีแดงแล้ว ใครอาสาช่วยก็จะถูกปฏิเสธหมด เพราะเขาต้องการหมักด้วยตัวเอง รอเสี่ยวเกอเอ๋อร์ออกเรือน เหล้าพวกนี้ก็จะเป็นสินเดิมของนางด้วย
แต่เมื่อเผยยวนคิดว่าลูกสาวต้องออกเรือน ในใจก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา
ก่อนจะดึงอาอินมาพูดเกลี้ยกล่อมนางไม่หยุด บอกนางว่าไม่ต้องรีบออกเรือน พ่ออยากอยู่กับเจ้านาน ๆ!
อาอินจึงตบหน้าอกตัวเอง บอกว่าหากนางยังอายุไม่ถึงยี่สิบจะไม่แต่งงานอย่างแน่นอน!
จำได้ว่าเซียวเซวียนจิ่นได้ยินก็ถึงกับยืนเซอยู่ตรงนั้น และกลับบ้านไปนับนิ้วคำนวณเวลาไม่หยุด
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว สิ่งแรกที่อาฉือต้องทำหลังเลิกเรียนก็คือการพาน้องสาวตัวน้อยไปเดินเล่นบนคันนาหนึ่งรอบ ขณะเดียวกันเรื่องในราชสำนักก็เริ่มมีประสบการณ์มากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว
เสิ่นเยี่ยนชิวกลับบ้านไปอยู่กับพ่อแม่ในช่วงปลายปี เมื่อใดก็ตามที่มีจดหมายส่งมา อาฉือก็จะเก็บจดหมายเหล่านั้นไว้ในกล่องไม้จันทน์
อาอินยังคงไม่ใช่เด็กที่ชอบเรียนหนังสือเหมือนเช่นเคย แต่ศิลปะการต่อสู้ของนางกลับก้าวหน้าเร็วมาก! ไม่นานก็สามารถสร้างชื่อให้ตัวเองในค่ายทหารใหม่ของกองทัพได้แล้ว!
จี้จือฮวนได้สอนทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองได้เรียนรู้และทำเป็นให้นางเท่าที่จะถ่ายทอดให้ได้ โดยหวังว่าภายหน้านางจะเก่งกว่าเผยยวน
ส่วนอาชิงกลับเป็นราชาตัวสร้างปัญหารุ่นใหม่ของสำนักศึกษา แต่ใครก็ไม่สามารถจับจุดอ่อนของเขาได้ มือสังหารที่ส่งมาทำร้ายพวกเขาต่างก็รู้ดีว่าการวางยาพิษในหมู่บ้านตระกูลเฉินนั้นเปล่าประโยชน์ ไม่เพียงแต่เปล่าประโยชน์เท่านั้น หากถูกราชาพิษนั่นจับตัวได้ก็เท่ากับจบเห่
หย่งหนิงเองก็ได้ย้ายมาเรียนที่สำนักศึกษาชิงอวิ๋นแล้ว แต่น่าเสียดายที่อยู่ในสำนักศึกษาหญิงล้วน ทุกเจ็ดหรือแปดวันอาชิงจะอ้อมไปทางนั้นเพื่อไปเจอนาง หลังจากตอนแรกได้มอบงูเหลือมน้อยให้หย่งหนิงจนนางตกใจจนร้องไห้ เขาก็เปลี่ยนมาเป็นของอย่างอื่นแทน
เสี่ยวเกอเอ๋อร์โตขึ้นเรื่อย ๆ แต่สิ่งที่น่าแปลกก็คือ นางกลับเอานิสัยของเด็กทั้งสามคนมารวมเข้าด้วยกัน มีจิตใจอบอุ่นเหมือนกับอาฉือ เฉลียวฉลาดและมากแผนการเหมือนกับอาอิน และเรียนรู้การออดอ้อนมาจากอาชิง คนทั้งหมู่บ้านต่างก็พ่ายแพ้ให้กับนาง
แม้แต่ไท่ซ่างหวงและองค์หญิงใหญ่ก็ยังยกมือยอมแพ้ให้นาง ตามใจเสียยิ่งกว่าอะไร
ดังนั้นจี้จือฮวนจึงตัดสินใจรับบทเป็นแม่เสือ เข้มงวดมากกว่าคนอื่น
อาทิ การเลือกกิน การเล่นของเล่นตอนกินข้าว และกินทิ้งกินขว้าง!
จี้จือฮวนจึงตัดสินใจจะพูดเรื่องนี้กับเผยอวิ่นเกออย่างตรงไปตรงมา
ทว่าเด็กน้อยกลับก้าวขาสั้น ๆ ไปกอดขาของพ่อตัวเองแล้วเริ่มออดอ้อน “ท่านพ่อ ท่านแม่จะตีเสี่ยวเกอเอ๋อร์ เสี่ยวเกอเอ๋อร์กลัวจังเลยเจ้าค่ะ”
ทันทีที่นางออดอ้อน หัวใจของเผยยวนก็ละลายไปหมด
ทว่าจี้จือฮวนกลับไม่คล้อยตาม ยืนกรานที่จะให้นางเก็บข้าวที่ตกลงบนพื้นขึ้นมาทีละเม็ดแล้วเอาออกไปให้ไก่กิน
หากเหลือหนึ่งเม็ดก็จะถูกตีมือหนึ่งที วันหน้าในบ้านมีของว่างใหม่ หรือขนมใหม่ ๆ นางก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้กินอีก
หลังจากพูดจบ เสี่ยวเกอเอ๋อร์ที่ยังไม่เข้าใจเหตุผลก็เบ้ปากและร้องไห้เสียงดัง แทบจะเห็นลิ้นไก่อยู่แล้ว ร้องไห้ไปก็เหลือบมองปฏิกิริยาของจี้จือฮวนไปด้วย
ทว่าเมื่อเห็นท่านแม่หันไปอ่านหนังสือด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง คราวนี้นางก็เริ่มใจเสียขึ้นมาแล้วจริง ๆ
เผยยวนกำลังคิดจะไปช่วยลูกสาวเก็บข้าวขึ้นมา ก็พลันเห็นสายตาข่มขู่ของจี้จือฮวนเสียก่อน
“หากเจ้ายังตามใจนางเช่นนี้อีก ต่อไปก็ไม่ต้องเข้าห้องข้า”
จี้จือฮวนวางกิ่งไม้เนื้ออ่อนลงบนโต๊ะ
องค์หญิงใหญ่จึงออกจากบ้านไปเล่นไพ่นกกระจอกทันที อืม ปฏิทินวันนี้เหมาะที่จะเล่นไพ่!
ส่วนไท่ซ่างหวงก็รีบพาเป็ดออกไปเดินเล่น หากยังไม่ออกไปอีกละก็ต้องแย่แน่
เผยยวนย่อมไม่กล้าพูดอะไรอีก
และรีบกล่อมลูกสาวให้ไปเก็บข้าวทันที
สุดท้ายก็ถูกจี้จือฮวนไล่ออกบ้านไปด้วย ตอนนี้ในบ้านพวกพี่ ๆ ของนางต่างก็ไม่อยู่ พวกพี่อาฝูก็โตแล้ว จึงออกไปเรียนที่สำนักศึกษากันหมด ส่วนคนที่อายุเท่ากับนางก็อยู่ช่วยทำงานที่บ้าน ดังนั้นจึงมีแค่นางที่เป็นองค์หญิงน้อยและมีคนตามใจทั้งบ้าน แทบไม่อยากให้นางถูกลมพัดแดดเผาแม้แต่นิดเดียว
หลังจากร้องไห้อยู่นาน เผยอวิ่นเกอก็หยิบผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กออกมา สั่งน้ำมูกแรง ๆ หนึ่งทีแล้วเช็ดน้ำตา และอาศัยตอนที่จี้จือฮวนไม่ได้สังเกต วิ่งออกไปเล่นตัวต่อ
จี้จือฮวนจะดูสิว่านางจะทำอะไรต่อ!
สุดท้ายเจ้าปีศาจน้อยกลับฉลาดอย่างมาก เมื่อพบว่าในครัวไม่มีอะไรให้กิน ก็วิ่งไปที่กล่องยาน้อยเพื่อหาของกิน
บางครั้งกล่องยาน้อยก็จะมีวุ้นผลไม้เพื่อสุขภาพมาให้ ซึ่งเป็นสิ่งที่นางชอบกินที่สุด
จะว่าไปแล้วก็แปลก เพราะกล่องยาน้อยนอกจากนางและเผยยวนแล้ว ใครก็ใช้ไม่ได้ทั้งนั้น ทว่าตอนนี้กลับเอาใจเผยอวิ่นเกอยิ่งกว่าอะไร สรรหาวิธีเอาของมาให้นางตลอดเวลา
เสี่ยวเกอเอ๋อร์เมื่อเห็นลูกอมก็ยื่นมือไปหยิบ ทว่ากลับมีเสียง ‘แกรก’ ดังขึ้นเสียก่อน เป็นเสียงจี้จือฮวนปิดกล่องยาน้อย
สองแม่ลูกสบตากัน
เสี่ยวเกอเอ๋อร์เบะปากเล็กน้อย “เกอเอ๋อร์หิว เกอเอ๋อร์จะกิน ท่านแม่ใจร้าย!”
จี้จือฮวนก็ยังไม่มีปฏิกิริยาอะไร นางเพียงพูดขึ้นช้า ๆ “เจ้าร้องไห้โวยวายก็ไม่มีประโยชน์ หากไม่ไปเก็บข้าวขึ้นมา คืนนี้เจ้าก็จะไม่มีข้าวกิน”
“ข้าไม่ทำ ๆ!” เวลาที่นางดื้อรั้นขึ้นมา ก็จะแปลงร่างเป็นลาน้อยที่ดื้อรั้น
จี้จือฮวนจึงจูงมือนางออกมาจากเรือนและไปหยุดที่หน้าประตูบ้าน ก่อนจะอุ้มนางขึ้นมาให้นางมองลงไป “นั่นคืออะไร?”
“ท่านย่าหยาง”
“ท่านย่าหยางกำลังทำอะไร?”
“ทำนา”
“แดดร้อนเพียงนี้นางลำบากหรือไม่?”
เสี่ยวเกอเอ๋อร์เช็ดน้ำตาหนึ่งที “อืม ร้อนมากเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นข้าวที่เจ้ากินล้วนมาจากการที่ท่านย่าปลูกให้เจ้าด้วยความยากลำบากเช่นนี้ทุกวัน นางต้องก้ม ๆ เงย ๆ ทั้งวัน เพื่อให้เจ้าเอามาทิ้งขว้างเช่นนี้หรือ? เผยอวิ่นเกอ แม่ไม่ได้พูดเล่นกับเจ้า และกำลังพูดเหตุผลกับเจ้าดี ๆ หากเจ้าต้องการจะทะเลาะกับแม่ แม่ก็จะทะเลาะเป็นเพื่อนเจ้า”
เสี่ยวเกอเอ๋อร์มุ่ยปากเล็ก ๆ ลง และไม่ส่งเสียงใด ๆ อีก เมื่อผ่านไปสักพักก็ดิ้นลงจากอ้อมกอดจี้จือฮวน
จี้จือฮวนมองนางวิ่งกลับเข้าไปในห้อง ยังรู้จักหาม้านั่งตัวเล็กมาให้ตัวเองนั่งด้วย
ก่อนจะหยิบชามใบเล็กของตัวเองขึ้นมา และเริ่มเก็บข้าวขึ้นมาทีละเม็ด
“ท่านแม่ เก็บหมดแล้วจะมีข้าวกินหรือไม่เจ้าคะ?”
“ไม่มีแล้ว แต่แม่มีของว่างให้เจ้านิดหน่อย และเจ้าต้องรอมื้อเย็นจึงจะสามารถกินข้าวได้”
“เพราะอะไรเจ้าคะ!” เผยอวิ่นเกอทำท่าจะร้องไห้ออกมาอีกแล้ว
“เพราะเจ้าโยนข้าวกลางวันที่เป็นส่วนของเจ้าทิ้งไปหมดแล้ว”
เผยอวิ่นเกอในที่สุดก็รับรู้ถึงความเป็นจริง
เมื่อถึงตอนเย็น จี้จือฮวนก็กินข้าวเร็วขึ้น เสี่ยวเกอเอ๋อร์ที่ปกติต้องให้หลายคนคอยเกลี้ยกล่อมให้กินข้าว ครั้งนี้กลับหยิบช้อนคันเล็กขึ้นมาตักกินข้าวเองอย่างตั้งใจ แทบจะเลียชามจนสะอาด ข้าวที่ติดอยู่ที่ผ้ากันเปื้อนก็ยังเก็บขึ้นมากินจนหมด
ตอนนี้อาชิงสูงกว่าอาอินแล้ว เขาจึงอาสาอุ้มน้องสาวตัวน้อยไปล้างมือล้างหน้า จากนั้นก็ถามนางว่าอยากไปที่แม่น้ำเพื่อเล่นปาเป้าหรือไม่
เผยอวิ่นเกอส่ายหน้า วันนี้นางเหนื่อยมากจริง ๆ!
อาชิงจึงอุ้มน้องสาวกลับไปที่ห้อง “ได้ เช่นนั้นพี่สามจะเล่านิทานให้เจ้าฟังเอง เจ้าอยากฟังเรื่องใด? นางเงือกน้อย ซินเดอเรลล่า หรือสโนว์ไวท์?”
“ข้าจะฟังนิทานที่พี่ใหญ่เล่า!”
ที่พี่สามเล่ามีแต่เรื่องไร้สาระ!
อาชิงกลับไม่ยอม “ทำไม นิทานของพี่สามต่างหากที่เหมาะกับเด็กน้อยอย่างเจ้า”
“ข้าไม่ใช่เด็กน้อยเสียหน่อย ตอนนี้ข้าเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ หึ!” เด็กน้อยลงจากเตียง ก่อนจะไปกอดอาฉือที่เดินเข้าประตูมาเอาไว้แน่น
คาดว่าคงเพราะเมื่อตอนกลางวันนางร้องไห้มา ดังนั้นอาฉือจึงนวดตาให้นางก่อน จากนั้นจึงกอดนางแล้วเล่านิทานให้นางฟัง
อาชิงที่นอนอยู่บนเตียงชั้นบน จู่ ๆ ก็โน้มตัวลงมา “พี่ใหญ่ ผ่านปีใหม่ไปท่านก็จะสิบสี่แล้ว ข้าได้ยินท่านทวดบอกว่าจะให้หมั้นหมายแล้ว ท่านจะไปสู่ขอพี่เยี่ยนชิวหรือไม่?”
เสี่ยวเกอเอ๋อร์ก็กะพริบตามองอาฉือเช่นกัน
บนใบหน้าหล่อเหลาของเด็กหนุ่มพลันแดงเรื่อขึ้นมา “แค่หมั้นหมายกันก่อนเท่านั้น แต่เรื่องแต่งงานยังต้องรอให้อายุถึงสิบเจ็ดปีก่อน”
แต่เผยยวนและไท่ซ่างหวงได้ตัดสินใจแล้ว ว่าปีนี้จะให้อาฉือขึ้นครองบัลลังก์ ประเด็นสำคัญก็คือ ไท่ซ่างหวงอายุมากแล้วจึงทรงงานหนักไม่ไหว และตอนนี้เขาเองก็เริ่มเป็นงานแล้ว นอกจากเรื่องที่จัดการไม่ได้จริง ๆ เท่านั้นที่พวกเขาจะยื่นมือเข้ามาช่วย ความจริงแล้วอาฉือก็คือคนที่คุมอำนาจจริง ๆ มาตั้งนานแล้ว สิ่งที่เหล่าขุนนางกังวลอย่างเรื่องที่เนี่ยเจิ้งอ๋องอาจจะไม่เต็มใจจะคืนอำนาจให้นั้น จึงเป็นเพียงแค่เรื่องเพ้อฝัน