ตอนที่ 297 เฮ่อชิงเซียวชอบอาโย่ว
เรียกท่านว่าชิงเซียว จะทำให้ท่านรู้ว่าข้าชอบท่านแล้ว
เสียงพึมพำแผ่วเบาของสาวน้อยดังขนนก แต่กลับดังสายอสุนีบาตฟาดลงกลางใจเฮ่อชิงเซียวจนใจเขาแหลกเป็นเศษเสี้ยว
ภาพมายาหรือ
เขายกมือกดตำแหน่งหัวใจเอาไว้ รับรู้ได้ถึงหัวใจที่เต้นรัว แต่กลับรู้สึกว่าไม่ใช่ความจริง ยื่นมือออกไปแตะริมฝีปากสาวน้อยที่เข้ามาใกล้ชิด
ริมฝีปากนางมีไออุ่นเพราะพิษไข้ ลมหายใจร้อนผ่าวรดลงบนนิ้วมือยาวเรียวทรงพลังของชายหนุ่ม ความจริงที่สัมผัสได้
อาโย่ว…ชอบเขา?
เฮ่อชิงเซียวไม่อยากเชื่อคำพูดที่ได้ยินกับหูตนเอง
ชอบเขาตรงไหน
แต่เล็กมาไร้บิดามารดา ชะตาย่ำแย่เพียงนี้ แม้มีสถานะสูงศักดิ์ แต่กลับไร้ฐานตระกูล ยังมากลายเป็นกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินที่ผู้คนต่างพากันหลีกเร้น…
เขาเช่นนี้มีอันใดคู่ควรให้อาโย่วชอบ
ไฟเผากิ่งไม้เกิดเสียงดังเปรี๊ยะเบาๆ ก่อนจะมีแสงสว่างส่องใบหน้าชายหนุ่ม
ใบหน้าขาวของเขาดังหยกเรียบเย็น แววตาเย็นเยียบ หากมองให้ละเอียด ดวงตาแฝงความเยียบเย็นจางๆ นี้ กลับมีดวงไฟลุกโชนอยู่ภายใน
เป็นกองไฟข้างๆ ส่องกระทบนัยน์ตา และเป็นเปลวไฟจากก้นบึ้งของจิตใจที่ลุกโชน ทำให้เขาไม่รู้ควรทำเช่นไร
“เฮ่อชิงเซียว”
“ข้า…อยู่นี่” เฮ่อชิงเซียวกุมมือสาวน้อยไว้
“ฟ้ามืดจริง”
“อืม กลางคืนแล้ว รอกลางวันก็สว่าง” แม้ว่ารู้ว่านางไข้ขึ้นจนละเมอ แต่เขาก็ยังอดทนตอบนาง
“ข้าอยู่นี่”
“ข้ารู้สึกว่า…เจ้าเองก็ชอบอาโย่ว”
คำตอบครั้งนี้เว้นระยะห่างไปนานครู่หนึ่ง เอ่ยน้ำเสียงเบายิ่งว่า “ใช่ ข้าก็ชอบอาโย่ว”
เขาก็มิใช่ท่อนไม้หรือก้อนหิน ยามได้พบกับสาวน้อยฉลาดมีไหวพริบ ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคและเมตตาอารี จะไม่ชอบได้อย่างไร
“น่าเสียดายที่พวกเราพบกันที่เมืองหลวง…”
เฮ่อชิงเซียวฟังออกว่านางยังพูดไม่จบ ก็นิ่งรอฟังนางพูดต่อไป
สาวน้อยดวงตาปิดสนิทและแย้มยกมุมปาก ค่อยๆ เอ่ยออกมาเบาหวิวว่า “ถ้าหากพบกันก่อนหน้านี้ ข้าจะแต่งเจ้าเป็นสามี…”
เฮ่อชิงเซียวอึ้งไปทันที
ความรู้สึกฉับไวเช่นเขา จะไม่เข้าใจได้อย่างไรว่าคำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร
เขามองใบหน้าอย่างสงสัย มีความรู้สึกผ่อนคลายลง มากไปกว่านั้นก็คือความว่างเปล่า
คล้ายดังในใจมีรูทะลุออก ที่กรอกเติมเข้าไปก็คือกระแสลมเยียบเย็นที่ดึงสติเขาคืนมา
โลกใบนี้ไม่มีคำว่าถ้าหาก
พวกเขาพบกันที่เมืองหลวง นางเป็นคุณหนูสูงศักดิ์ที่สูญเสียมารดาและต้องการแก้แค้น เขาเป็นขุนนางโดดเดี่ยวคู่พระทัยที่ความรู้สึกฉับไว นางไม่คิดต้องการเขา และเขาก็ไม่อาจปกป้องนางไว้ใต้ปีกเขาได้
“เฮ่อชิงเซียว”
“อืม”
“ความจริงข้ารู้สึกเสียใจอยู่บ้าง…”
เฮ่อชิงเซียวนิ่งเงียบไปนาน ไม่ทันรอให้ซินโย่วพูดจบ ลมหายใจนางก็ทอดยาวเป็นจังหวะลงสู่ห้วงนิทรา
เขานำผ้ามาชุบน้ำใหม่ วางไว้บนหน้าผากเยียบเย็นของนาง
ค่ำคืนดึกแล้ว สายลมพัดลอดเข้ามาในถ้ำส่งเสียงดัง ความอบอุ่นจากกองไฟในถ้ำไม่เพียงพออย่างเห็นได้ชัด
นางขมวดคิ้วแน่น เห็นชัดว่าทรมานมาก
เขาคิดถึงคำพูดครึ่งหลังมากมายของนาง
อาโย่วกำลังเสียใจที่พวกเขาไร้วาสนาเป็นสามีภรรยาหรือ
ผ่านไปครู่หนึ่ง เฮ่อชิงเซียวก็แนบไหล่ชิดกับซินโย่วอย่างระมัดระวัง
เขาคิดว่า สามีภรรยาร่วมเรียงเคียงหมอน ก็คงเป็นภาพเช่นนี้กระมัง
ค่ำคืนยาวนานแต่ก็สั้นมากเช่นกัน กองไฟค่อยๆ ดับมอด แสงตะวันยามเช้าเริ่มสาดส่องเข้ามา
ซินโย่วปวดหัวแทบระเบิด รู้สึกได้ถึงความเย็นจากริมฝีปาก
“อาโย่ว ดื่มน้ำสักหน่อย พวกเราจะออกเดินทางแล้ว” มีเสียงผู้ชายดังขึ้นข้างใบหูนาง
ซินโย่วพลันลืมตาโพลง มองใบหน้าด้านบนอย่างงุนงง “…ใต้เท้าเฮ่อ?”
เสียงเรียกขานที่แสนคุ้นเคยทำให้เฮ่อชิงเซียวได้สติคืนมา ยิ้มตามพลางถามขึ้นว่า “รู้สึกดีขึ้นแล้วหรือยัง”
ซินโย่วพยายามลุกขึ้นนั่ง เฮ่อชิงเซียวรีบประคองนางขึ้น
“ข้าหมดสติมาถึงตอนนี้?”
“อืม เจ้าไข้ขึ้น ตอนนี้ยังไม่ลด พวกเราต้องรีบออกเดินทางตอนเช้า จะได้ออกจากภูเขานี้ก่อนตะวันตกดิน”
ซินโย่วมองชายที่กำลังพูดราวกับไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นอย่างรู้สึกสงสัย “ใต้เท้าเฮ่อ เมื่อครู่เรียกข้า…อาโย่ว?”
“คุณหนูซินฟังผิดแล้ว”
“ไม่ ข้าได้ยิน” ซินโย่วน้ำเสียงยืนยัน
หมดสติไปทั้งคืน แม้ว่าสมองไม่ค่อยแล่นนัก แต่โสตประสาทรับเสียงของนางไม่มีปัญหา
เหตุใดอยู่ๆ ใต้เท้าเฮ่อจึงเรียกขาน…สนิทสนมเช่นนี้
ซินโย่วรู้สึกมึนงง ส่ายหน้าไปมาเบาๆ สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย คงมิใช่ว่านางไข้ขึ้นพูดจาเหลวไหล พูดอันใดเลอะเทอะออกไปกระมัง
นางแอบเหลือบมองสีหน้าเฮ่อชิงเซียวทีหนึ่ง เขาดูแล้วปกติมาก ไม่มีอันใดผิดแปลกไป
“ข้าให้ใต้เท้าเฮ่อเรียกข้าเช่นนี้หรือ”
ซินโย่วเอ่ยออกไป ก็เห็นร่างเฮ่อชิงเซียวเกร็งทีหนึ่งอย่างชัดเจน
ภาพเข้าจุมพิตเขาด้วยตนเองผุดขึ้นมาในห้วงความคิด นางยกมือลูบหน้าผาก ไม่มีความกล้าที่จะถามต่อไป
นางกล้ามั่นใจได้ว่า นางพูดจาเหลวไหลไปไม่น้อย
ในยามนี้เอง เฮ่อชิงเซียวแน่ใจว่าซินโย่วจดจำคำพูดเหล่านั้นไม่ได้แล้ว บอกไม่ถูกว่าโชคดีหรือว่าผิดหวัง อดเห็นนางคิดเหลวไหลไม่ได้ รีบอธิบายด้วยท่าทางสงบนิ่งว่า “คุณหนูซินเสียใจที่มีเพียงฮองเฮาเรียกเจ้าว่าอาโย่ว ข้าจึงตัดสินใจเรียกเช่นนี้ด้วยตนเอง ขอคุณหนูซินอย่าได้ถือสา”
ซินโย่วค่อยๆ หลุบตาลง ครู่หนึ่งจึงได้เงยหน้าขึ้นสบดวงตาใสกระจ่างคู่นั้น “อย่างนั้นหรือ”
เพื่อไม่ทำให้นางรู้สึกอึดอัด ใต้เท้าเฮ่อก็ช่างเอาใจใส่ดูแลอย่างดี
“อืม กินอะไรก่อนเถอะ กินอิ่มก็จะได้มีกำลังวังชา” เฮ่อชิงเซียวเปลี่ยนบทสนทนา
ซินโย่วคล้ายได้กลิ่นหอม “ปลาย่าง?”
กองไฟข้าง ๆ มีปลาตัวอ้วนถูกย่างเป็นสีเหลืองทองสองตัวย่างอยู่ แค่มองก็รู้ว่าย่างด้วยไฟพอดี รสชาติไม่เลว
ซินโย่วมักรู้สึกเลื่อมใสคนถนัดทำอาหาร ดวงตาที่มองเฮ่อชิงเซียวพลันส่องประกายวาบขึ้น
เฮ่อชิงเซียวค่อยๆ แกะเนื้อปลาส่งไปที่ปากนาง
ซินโย่วหมดเรี่ยวแรงไปทั้งตัว มิได้แสดงท่าทีเขินอาย อ้าปากกินเนื้อปลาลงไป พลางขมวดคิ้ว
เฮ่อชิงเซียวเห็นก็เอ่ยขออภัยว่า “ไม่มีเกลือ รสชาติแย่อยู่สักหน่อย”
“ไม่ใช่” ซินโย่วยิ้มเฝื่อน “เจ็บคอมาก”
แม้กล่าวเช่นนี้ แต่นางกลับรู้สึกว่ากินอาหารให้มาก เรี่ยวแรงกำลังจึงจะฟื้นคืนมาได้ จึงพยายามฝืนกินปลาตัวนี้ลงไป ก่อนจะดื่มน้ำตาม ถึงกับยังมีผลไม้ป่ารสชาติเปรี้ยวหวานสองเม็ดไว้แก้เลี่ยน
ขณะเดินทาง ซินโย่วพาดตัวอยู่บนแผ่นหลังเฮ่อชิงเซียว ถามขึ้นว่า “ใต้เท้าเฮ่อไม่ได้นอนทั้งคืนใช่หรือไม่”
ต้องดูแลนางที่มีไข้สูง ยังต้องทำปลาย่าง เด็ดผลไม้ป่า ทำกระบอกไม้ไผ่รับน้ำ
“วางใจ สุขภาพข้าทนไหว เมื่อก่อนออกไปปฏิบัติงานนอกเมืองหลวง นอนกลางดินกินกลางทรายเป็นเรื่องปกติ”
ซินโย่วทำใจนิ่งลงก่อนเอนศีรษะลงพิงหัวไหล่เฮ่อชิงเซียว แอบมองเม็ดเหงื่อที่ไหลจากหน้าผากเขาไปยังลำคอก่อนจะหายลับไปในสาบเสื้อ
ความทรงจำตอนเกิดเรื่องค่อยๆ ฟื้นคืนมาทีละน้อย
“ขอบคุณใต้เท้าเฮ่อที่ช่วยเหลือ”
“ปฏิบัติภารกิจ คุณหนูซินอย่าได้เก็บมาใส่ใจ”
“แม้เป็นการปฏิบัติภารกิจ แต่ใต้เท้าเฮ่อก็ไม่ควรกระโดดตามข้าลงมา เกิดท่านเกิดเรื่องขึ้นจะทำอย่างไร” ซินโย่วคิดถึงภาพที่เขากระโดดลงมาอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย ในใจก็รู้สึกเหมือนถูกกดทับจนหนักอึ้ง
“คุณหนูซินวางใจ ข้าพอรู้ตนเอง”
ซินโย่วเม้มปาก หากไม่ใช่คิดขึ้นมาได้ทั้งหมดแล้ว ได้ยินเขาเอ่ยน้ำเสียงนิ่งเรียบเช่นนี้ ก็คงถูกเขากลบเกลื่อนไปเช่นนี้จริงๆ
ใช่ นางนึกได้แล้ว
เขาบอกว่า เขาเองก็ชอบอาโย่ว
ซินโย่วหลับตาลงฟังเสียงหัวใจเต้นของตนเอง
คำพูดเหลวไหลเหล่านั้นของนาง เขาล้วนตอบรับทุกคำ