ปลายจวักครองใจ – ตอนพิเศษ 1 สวรรค์มีความยุติธรรม

ปลายจวักครองใจ

ตอนพิเศษ 1 สวรรค์มีความยุติธรรม

เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว

นี่คือฤดูหนาวแรกของลั่วเซิงในจวนไคหยางอ๋อง

หิมะปลิวว่อนแต่เช้า ฟองหิมะล่องลอยอย่างมีชีวิตชีวา ค่อยๆ ปกคลุมทุกสิ่งด้วยสีขาว

เว่ยหานคลุมเสื้อคลุมตัวใหญ่ จุมพิตแก้มลั่วเซิง “ข้าออกไปก่อนนะ”

“กางร่มให้เรียบร้อย ระวังพื้นลื่นด้วย” ลั่วเซิงยกมือจัดการผูกเชือกให้เขา พลางกำชับเสียงนุ่ม

เว่ยหานพยักหน้ายิ้มๆ “รู้แล้ว ข้าจัดการเรื่องราวเสร็จก็จะกลับมา คืนนี้พวกเรากินหม้อไฟผักดองกับเนื้อหมูเถอะ”

“ได้ ผักดองที่อาซิ่วทำเมื่อหลายวันก่อนกินได้พอดี”

เว่ยหานได้รับคำยืนยัน ดวงหน้าหล่อเหลาก็เกลื่อนยิ้ม ทั้งยังขบริมฝีปากลั่วเซิงเล็กน้อย ถึงได้ก้าวเท้ายาวเดินออกไป

ลั่วเซิงเดินไปข้างหน้าต่าง มองส่งบุรุษที่สวมเสื้อคลุมสีดำตัวใหญ่จากไป มุมปากมีรอยยิ้มประดับโดยไม่รู้ตัว

หิมะนอกหน้าต่างตกหนักกว่าเดิมแล้ว ฟองหิมะกลายเป็นขนห่านอ่อนนุ่ม ร่ายรำเป็นเพื่อนลมหนาว

ลั่วเซิงเพิ่งจะเตรียมไปจากข้างหน้าต่างก็เห็นเงาร่างสีดำที่ออกจากสายตาไปไม่นานย้อนกลับมา

ทำไมถึงกลับมาล่ะ

ลั่วเซิงออกไปต้อนรับด้วยความสงสัย

ม่านประตูถูกเลิกขึ้น ลมหนาวพัดเข้ามา

เว่ยหานรีบปล่อยม่านลง

“ทำไมถึงกลับมาล่ะ” ลั่วเซิงถาม

เว่ยหานมองนาง นิ่งเงียบไปแวบหนึ่ง “สือเยี่ยนกลับมาแล้ว”

เมื่อได้ยินวาจานี้ ลั่วเซิงก็หัวใจกระตุก พยายามรักษาความสงบนิ่ง แล้วเอ่ยว่า “เรียกเขาเข้ามาเถอะ ข้าจะถามสถานการณ์สักหน่อย”

เว่ยหานไปยังห้องรองฝั่งตะวันตกที่จัดเป็นห้องหนังสือเป็นเพื่อนลั่วเซิง

“ยังราบรื่นไหม” ลั่วเซิงเอ่ยถาม

สือเยี่ยนเอ่ยยิ้มๆ “อ้างอิงจากกระดาษวาดรูปของท่านจึงตามหาเจอได้ราบรื่นมากขอรับ โลงศพก็ลากกลับมาแล้วเช่นกัน…”

ลั่วเซิงไม่วางใจอยู่บ้าง “โลงศพสองโลงใช่ไหม อย่าได้เอามาปนกันนะ”

“ท่านวางใจได้ขอรับ ปะปนกันไม่ได้แน่นอน ล้วนปฏิบัติตามคำกำชับของท่าน”

ลั่วเซิงถึงได้เผยรอยยิ้มออกมา “ลำบากแล้ว”

สือเยี่ยนรีบส่ายหน้า “ไม่ลำบากขอรับ ไม่ลำบาก สามารถทำงานแทนพระชายาได้นั้น นับเป็นเกียรติของข้าน้อย”

เว่ยหานเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง

สือเยี่ยนตะลึง รีบหุบยิ้ม

“พาข้าไปดูเถอะ”

สือเยี่ยนตะลึง อดมองไปทางเว่ยหานไม่ได้

“ทำตามที่พระชายาบอก” เว่ยหานเอ่ยเรียบๆ

“เช่นนั้นท่านตามข้าน้อยมาขอรับ” สือเยี่ยนเก็บความอยากรู้อยากเห็นเอาไว้แล้วนำลั่วเซิงไปดูโลงศพที่ขนกลับมา

โลงศพดำสนิทสองโลงวางอยู่กลางลานเล็กแห่งหนึ่ง

หิมะสีขาวปกคลุมชายคา พื้นที่ปูด้วยอิฐเขียว สีดำของโลงศพทำให้ลานเล็กๆ แห่งนี้หนาวเหน็บและน่าหวาดหวั่น

ลั่วเซิงก้าวเท้าเดินเร็วเข้าไป สายตาวนเวียนอยู่ระหว่างโลงศพสองโลง

“โลงไหนคือเฉาฮวา”

สือเยี่ยนชี้ไปยังโลงหนึ่งในนั้น พลางเอ่ยว่า “โลงนี้ขอรับ”

ลั่วเซิงยื่นมือไปลูบโลงศพสีดำสนิทเบาๆ

โลงศพที่ต้องลมหิมะจากเป่ยเหอจนมาถึงเมืองหลวงนั้นเย็นเยือก

ลั่วเซิงเอ่ยในใจว่า ‘เฉาฮวา ในที่สุดเจ้าก็ได้กลับบ้านแล้ว’

หงโต้ววิ่งไปเรียกคนในครัวเล็ก “อาซิ่ว นายหญิงบอกว่าพี่น้องของเจ้ากลับมาแล้ว”

พี่น้องหรือ

ซิ่วเย่ว์ตะลึง ตามหงโต้วไปยังลานเล็กด้วยสีหน้างุนงง

สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาคือโลงศพสีดำสนิทสองโลง

“นายหญิง…” ซิ่วเย่ว์สังหรณ์ถึงอะไรบางอย่างได้อย่างเลือนรางจึงมองไปทางลั่วเซิง

ลั่วเซิงหัวเราะเบาๆ ให้ซิ่วเย่ว์ “ได้ยินเจ้าเล่าเรื่องของเจ้ากับเฉาฮวา ข้าจึงให้ซานหั่วไปเป่ยเหอ รับนางกลับมา”

ซิ่วเย่ว์ม่านตาสั่นไหว ชี้ไปทางโลงศพที่อยู่ใกล้กับลั่วเซิงโลงนั้น “โลงนี้…หรือเจ้าคะ”

ลั่วเซิงพยักหน้าเบาๆ

ซิ่วเย่ว์พุ่งเข้าไป ฟุบอยู่บนโลงศพ ร่ำไห้ด้วยความเจ็บปวด

ลั่วเซิงมองเงียบๆ พยายามควบคุมหยาดน้ำตา

ซิ่วเย่ว์มีฐานะที่เปิดเผย ตรงไปตรงมา สามารถร้องไห้ได้เต็มที่ แต่นางกลับทำไม่ได้

มือข้างหนึ่งวางลงบนไหล่นางแล้วดึงนางเข้าไป

ลั่วเซิงเหลือบตาขึ้นมองเว่ยหาน

“หากเสียใจก็ร้องไห้เถอะ ดีใจก็ยิ้ม เสียใจก็ร้องไห้ นี่คือปฏิกิริยาตามธรรมชาติของมนุษย์ ไม่แน่ว่าต้องมีเหตุผล”

ลั่วเซิงน้ำตาไหลพราก

เว่ยหานกุมไหล่นาง ในใจสงบและมั่นคง

ในคืนนั้นที่เป่ยเหอ ลั่วเอ๋อร์ร่ำไห้เงียบๆ กับศพของเฉาฮวา เขากอดนางเอาไว้

นั่นเป็นครั้งแรกที่เขากล้ากอดแม่นางที่ชอบ

เขาโชคดีเพียงใดที่ตอนนี้สามารถกอดนางได้ตลอดเวลา

ตอนนางเสียใจ ตอนมีความสุขและในช่วงเวลาต่างๆ

วันที่ฝังศพเฉาฮวานั้นอากาศแจ่มใส

ลั่วเซิงไม่ได้ให้เว่ยหานไปเป็นเพื่อน แค่ยืนอยู่หน้าหลุมศพใหม่กับซิ่วเย่ว์สองคนอยู่นานมาก

คนที่อยู่เป็นเพื่อนเหล่านั้นล้วนถูกไล่ไปไกล รวมถึงหงโต้วกับโค่วเอ๋อร์

สายลมที่พัดผ่านป่า พัดชายเสื้อคลุมสีขาวปลิวไสว

ซิ่วเย่ว์มองไปทางลั่วเซิงด้วยแววตาแดงก่ำ “นายหญิง พวกเรากลับกันเถอะเจ้าค่ะ”

ในที่สุดพี่เฉาฮวาก็สามารถหลุดพ้นจากฐานะอวี้เสวี่ยนซื่อได้แล้ว เมื่อออกจากเป่ยเหออันเหน็บหนาวได้ก็สามารถเฝ้านางกับท่านหญิงในละแวกใกล้ๆ นี้ได้แล้ว

หลังจากนี้ขอแค่คิดถึงเฉาฮวา พวกนางก็สามารถมาเยี่ยมนางได้ตลอด

มาเยี่ยมนางอย่างเปิดเผย ตรงไปตรงมา

นี่ช่างดีจริงๆ นี่เป็นเรื่องที่ในอดีตนางไม่กล้าจินตนาการ รอหลังจากนี้ร้อยปี นางก็จะถูกฝังที่นี่ เฝ้าท่านหญิงอยู่กับเฉาฮวา

“อืม กลับเถอะ”

ลั่วเซิงกระชับเสื้อคลุม เดินไปข้างหน้า

ซิ่วเย่ว์ตามอยู่ด้านหลังอย่างใกล้ชิด

หงโต้วกลอกตามองบน ดึงโค่วเอ๋อร์ พลางพึมพำเสียงเบา “คุณหนูดีกับอาซิ่วมาก เป็นการรักใครก็รักคนหรือสิ่งของของคนผู้นั้นด้วยแล้ว”

โค่วเอ๋อร์เม้มปาก “อาซิ่วฝีมือทำครัวดี นิสัยก็ดี คุณหนูดีกับนางก็ปกติมากนะ”

เหอะ ถึงอย่างไรสาวใช้อันดับหนึ่งก็ไม่ใช่นาง ใครเป็นก็ไม่ต่างกันหรอก

หงโต้วโมโหแล้ว “โค่วเอ๋อร์ ทำไมเจ้าถึงเข้าข้างคนอื่นล่ะ”

มิตรภาพของนางกับโค่วเอ๋อร์นั้นเกิดขึ้นตั้งแต่เด็ก ทำไมเวลาสำคัญถึงได้พึ่งพาไม่ได้กันนะ

โค่วเอ๋อร์กลอกตาใส่นาง “เข้าข้างคนอื่นอะไรกัน อาซิ่วเป็นคนของพวกเรา ไอ้หยา ดูเหมือนว่าคืนนี้อาซิ่วจะทำเนื้อแกะตุ๋นน้ำแดงด้วย”

“จริงหรือ” หงโต้วกลืนน้ำลาย โยนเรื่องรำคาญใจอย่างการช่วงชิงตำแหน่งสาวใช้อันดับหนึ่งไปไกลในทันที

ลั่วเซิงเพิ่งกลับถึงจวนก็มีคนมารายงาน “พระชายา ทางด้านอุทยานหลีหยวนมีจดหมายมาเจ้าค่ะ”

หลังจักรพรรดิหย่งอันสละราชบัลลังก์ก็เปลี่ยนราชทินนามเป็นจิ้งอ๋องและพาเหล่าสนมนางกำนัล รวมถึงเซียวกุ้ยเฟยเข้าไปพำนักในอุทยานหลีหยวน

ลั่วเซิงได้ยินว่าอุทยานหลีหยวนส่งจดหมายมาก็ประหลาดใจเล็กน้อย

เมื่ออ่านจดหมาย ที่แท้ก็เป็นการเชื้อเชิญจากเซียวกุ้ยเฟย

พิจารณาครู่หนึ่ง ลั่วเซิงก็ตัดสินใจไปเยี่ยมสหายเก่าผู้นี้

บุปผาและต้นไม้ในอุทยานหลีหยวนนั้นรกร้าง ว่างเปล่า ระหว่างเดินยังได้ยินเสียงร่ำไห้ที่เดี๋ยวมี เดี๋ยวไม่มีลอยตามลมเข้ามาในโสต

ใต้ฝ่าเท้าคือหิมะที่สะสมกันจนหนา ไร้คนกวาดทันท่วงที

“นายหญิง ระวังใต้เท้านะเจ้าคะ” โค่วเอ๋อร์เอ่ยเตือน

หงโต้วเบ้ปาก “ท่านไม่ควรมาสถานที่ไม่เป็นมงคลเช่นนี้เลย”

ระหว่างเอ่ยก็มาถึงสถานที่พำนักของเซียวกุ้ยเฟยแล้ว

สาวใช้ที่รออยู่นอกประตูเลิกม่านขึ้น

ลั่วเซิงเดินเข้าไปก็เห็นสตรีดวงหน้ามืดมนนางหนึ่ง

เซียวกุ้ยเฟยที่เคยดวงหน้างดงาม ดึงดูดสายตาผู้คนให้จับต้องนั้นเหมือนกับบุปผาที่ขาดน้ำ เปลี่ยนเป็นซีดขาว เปราะบาง

“คุณหนูลั่วมาแล้ว” เซียวกุ้ยเฟยจ้องลั่วเซิงแวบหนึ่งแล้วเอ่ยปาก

หงโต้วเลิกคิ้วตำหนิ “ตอนนี้นายหญิงของพวกเราเป็นพระชายาแล้ว ท่านอย่าเรียกมั่วซั่ว”

เมื่อเผชิญหน้ากับคำตำหนิอย่างรุนแรงของสาวใช้ใหญ่ เซียวกุ้ยเฟยก็ไม่ใส่ใจ เพียงแค่มองไปทางลั่วเซิง “คุณหนูลั่ว พวกเราคุยกันเป็นการส่วนตัวได้หรือไม่”

ลั่วเซิงลังเลเล็กน้อยแล้วสั่งหงโต้วกับโค่วเอ๋อร์ “พวกเจ้าไปรอข้างนอกเถอะ”

ทั้งสองคนไม่วางใจอยู่บ้าง “นายหญิง…”

“ไปเถอะ ข้ารู้ขอบเขตดี”

ได้ยินลั่วเซิงเอ่ยเช่นนี้ ทั้งสองคนก็ถอยออกไปเงียบๆ

“เหนียงเหนียงเรียกข้ามา มีธุระอันใดหรือ”

เซียวกุ้ยเฟยยิ้มเยาะตนเอง “ตอนนี้แล้ว คุณหนูลั่วยังเรียกข้าว่าเหนียงเหนียงทำไมอีก”

ลั่วเซิงเอ่ยเรียบๆ “ตอนนี้แล้ว เหนียงเหนียงก็ยังคงเรียกข้าว่าคุณหนูลั่วเช่นกัน”

เซียวกุ้ยเฟยชะงัก รอยยิ้มเย็นชาลง “ที่ข้าเรียกคุณหนูลั่วมา มีเพียงข้อสงสัยที่อยากถามให้กระจ่าง”

“เหนียงเหนียงเชิญกล่าว”

“อาซิ่ว…เป็นคนของเจ้าแต่แรกแล้วใช่หรือไม่”

ลั่วเซิงยิ้ม “อาซิ่วเป็นแม่ครัวของข้ามาตลอด”

เซียวกุ้ยเฟยยิ้มเยาะ “คุณหนูลั่วอย่าแสร้งทำเป็นโง่งมเพื่อหลอกข้า ความหมายของข้าก็คือ เจ้ารู้ฐานะของนางตั้งแต่แรกแล้วสินะ”

ลั่วเซิงพยักหน้าน้อยๆ

“เช่นนั้นการที่ข้าสามารถให้กำเนิดบุตรสาวได้ก็อยู่ในแผนการของพวกเจ้าเช่นกันหรือ”

ลั่วเซิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “นับว่าใช่”

“เป็นอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ…” เซียวกุ้ยเฟยพึมพำ

หลังจากร่วงลงมาจากที่สูง สัมผัสได้ถึงความเฉยชาระหว่างผู้คน ในทางตรงกันข้าม นางกลับสงบเยือกเย็นลง ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าผิดปกติ

การกลายสภาพมาเป็นเช่นตอนนี้นั้นเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อใดกัน

เริ่มตั้งแต่ปลดองค์รัชทายาท

หลังจากปลดองค์รัชทายาทแล้ว ทุกสิ่งก็ไหลลงสู่เหวลึกอย่างไม่อาจควบคุมได้ สุดท้ายก็เปลี่ยนรัชกาล เปลี่ยนผู้ปกครองแคว้น

ผู้ที่ได้รับประโยชน์มากที่สุด นอกจากฮ่องเต้เยาว์วัยพระองค์นั้นก็เป็นคนตระกูลลั่วอย่างมิต้องสงสัย

และที่ทำให้ฝ่าบาทตัดสินใจปลดองค์รัชทายาทก็เริ่มตั้งแต่ที่นางตั้งครรภ์

เซียวกุ้ยเฟยยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น ความแค้นดำเนินไปสู่จุดสูงสุดตามอาการป่วยที่หนักขึ้นของบุตรสาว และเกิดความคิดที่ว่าต้องพบกับลั่วเซิงให้ได้

“เจ้าไม่รู้สึกว่าต่ำทรามหรือ” เซียวกุ้ยเฟยถามระคนเคืองแค้น

ลั่วเซิงถามกลับนิ่งๆ “การที่เหนียงเหนียงกลัวว่าอาซิ่วจะใช้สูตรอาหารเป็นยาช่วยสนมชายาคนอื่นๆ ให้กำเนิดบุตรเลยบังคับให้นางดื่ม ‘น้ำบ๊วย’ นั่นกลับไม่รู้สึกว่าต่ำทรามหรือ”

เซียวกุ้ยเฟยแววตาเปล่งประกาย “ข้าคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ เหตุใดอาซิ่วดื่มน้ำบ๊วยลงไปแล้ว แต่กลับปลอดภัยไร้กังวล”

ลั่วเซิงยิ้ม “คนดี ทำดีย่อมได้ดี”

“เหอะ ทำดีได้ดี!” เซียวกุ้ยเฟยที่นับว่าสงบเยือกเย็นมาตลอดพลันโมโหขึ้นมา “เช่นนั้นบุตรสาวข้าเล่า นางมีความผิดอันใด เดิมนางเกิดมาก็เป็นองค์หญิง ตอนนี้กลับตกต่ำจนกลายเป็นนกในกรงที่ไร้ซึ่งอิสระ กระทั่งป่วยก็ยังไม่มีหมอที่ไหนรักษาได้ ทำได้แค่ปล่อยไปตามยถากรรม เจ้าพูดสิว่า เด็กมีความผิดอะไร”

เผชิญหน้ากับความบ้าคลั่งของเซียวกุ้ยเฟย ลั่วเซิงยังคงมีสีหน้าสงบนิ่ง “ใช่แล้ว เด็กเป็นผู้บริสุทธิ์”

ผู้ที่บริสุทธิ์มีเพียงบุตรสาวของเซียวกุ้ยเฟยเสียที่ไหนกัน

ต่อหน้าเด็กหนุ่มจำนวนมาก ทารกซึ่งถูกองครักษ์จวนอ๋องอุ้มหนีออกมานั้นไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์หรือ

“หากว่าเหนียงเหนียงไว้วางใจ ข้าจะเชิญหมอหลวงมาตรวจอาการเด็ก”

เซียวกุ้ยเฟยอึ้ง จ้องลั่วเซิงด้วยความสงสัย

ลั่วเซิงสีหน้าเอื้อเฟื้อ “ท่านหญิงน้อยสามารถกำเนิดมาสู่โลกใบนี้ได้ก็นับว่ามีต้นกำเนิดเกี่ยวข้องกับข้าอยู่บ้าง ข้าย่อมหวังว่านางจะเติบโตได้อย่างราบรื่น”

“จริงหรือ”

ลั่วเซิงยิ้ม “เหนียงเหนียงคิดว่าข้ามีความจำเป็นต้องโกหกท่านหรือ”

เซียวกุ้ยเฟยมองนางเงียบๆ แล้วเอ่ยพึมพำ “ขอแค่บุตรสาวของข้าอยู่ดี เช่นนั้น…ก็ช่างมันเถอะ…”

เดิมนางมีความคิดที่จะให้หยกศิลาล้วนแหลกลาญ[1] แม้ว่าจะสังหารลั่วเซิงไม่ตาย แต่ก็ต้องได้กัดเนื้ออีกฝ่ายสักคำ ให้นางได้สัมผัสรสชาติความเจ็บปวดบ้าง

แต่คุณหนูลั่วเอ่ยแล้วว่า จะให้บุตรสาวนางเติบโตไปอย่างราบรื่น…

เซียวกุ้ยเฟยนึกถึงเรื่องเหล่านี้ หยาดน้ำตาก็ร่วงหล่น

“เหตุใดเหนียงเหนียงไม่เปิดใจให้กว้าง แม้ว่าอุทยานหลีหยวนแห่งนี้จะโอ่อ่าตระการตาสู้พระราชวังไม่ได้ แต่ความยุ่งเหยิงก็น้อยลงไปมาก ที่สำคัญก็คือมีบุตรสาวซึ่งมีสายเลือดเดียวกันกับท่านอยู่เป็นเพื่อน หากให้ท่านเลือก เป็นกุ้ยเฟยผู้สูงศักดิ์ในวังหลวง หรือจะเป็นมารดาที่อ่อนโยนน่าเข้าใกล้ในอุทยานหลีหยวน”

เซียวกุ้ยเฟยเม้มปาก ยิ้มขื่น “คุณหนูลั่วฝีปากดียิ่ง”

แต่ว่านางดันถูกโน้มน้าวเสียได้

เทียบกับกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงที่สูงศักดิ์เหนือผู้คนในวังหลวง นางอยากจะเป็นมารดาของโหรวเอ๋อร์มากกว่าแน่นอน

ความโหดเหี้ยมตรงหว่างคิ้วเซียวกุ้ยเฟยเลือนหายไป

ลั่วเซิงออกจากอุทยานหลีหยวนแล้วก็ส่งหมอหลวงมาวินิจฉัยและรักษาบุตรสาวของเซียวกุ้ยเฟย

เด็กหญิงสุขภาพอ่อนแอเพราะคลอดก่อนกำหนด ไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงอะไร มีหมอหลวงมาถามอาการทุกวัน ทั้งยังมีคนข้างกายดูแลเอาใจใส่อาการจึงดีขึ้นอย่างรวดเร็ว

เพียงแต่ตอนที่หมอหลวงมาอีกครั้ง จักรพรรดิหย่งอันซึ่งสละราชบังลังก์กลายเป็นจิ้งอ๋องก็อาการไม่ดีเสียแล้ว

หมอหลวงวุ่นวายยื้อลมหายใจสุดท้ายของจักรพรรดิหย่งอันเอาไว้ได้ ข่าวก็แพร่เข้าไปในวังอย่างรวดเร็ว

ลั่วเฉินได้รับจดหมายก็ไม่ได้ใส่ใจ

ความจริงเรื่องการคืนบัลลังก์นั้น เขารู้ชัดเจนแจ่มแจ้ง สำหรับความรู้สึกที่มีต่อจักรพรรดิหย่งอันซึ่งเต็มไปด้วยโลหิตของคนในครอบครัวนั้นย่อมมีเพียงความเกลียดชัง ไม่มีความรู้สึกใด

มอบนามจิ้งอ๋องให้คนผู้นั้นก็เพื่อที่จะรับช่วงต่ออำนาจผู้ปกครองแคว้นได้อย่างราบรื่น ลดการต่อสู้นองเลือดเท่านั้นเอง

แต่เพื่อหยุดการวิพากษ์วิจารณาของผู้คน ยังคงต้องมีการแสดงออกบ้าง

ลั่วเฉินสั่งขันทีคนสนิทให้เป็นตัวแทนเขาไปเยี่ยม ทั้งยังจัดหมอหลวงมีชื่อหลายคนมุ่งหน้าไปด้วย

คนที่ได้รับข่าวแบบเดียวกันยังมีเว่ยหาน

เว่ยหานเดินเข้าไปในอุทยานหลีหยวน มาถึงตรงหน้าจักรพรรดิหย่งอันที่ป่วยหนักเกินเยียวยา

องค์จักรพรรดิซึ่งเคยน่าเกรงขามไม่เป็นสองรองใครในอดีต ตอนนี้ขยับตัวไม่ได้ ต้องนอนอยู่บนตั่ง เหมือนปลาที่อยู่ห่างจากน้ำนานเกินไป แผ่กลิ่นอายเหม็นคาวออกมาจางๆ

ย่ำแย่ อัปลักษณ์ ชวนให้ผู้คนทอดถอนใจ

คนในห้องพากันหันไปคารวะเว่ยหานด้วยความเกรงกลัวระคนระมัดระวัง

นับตั้งแต่ย้ายมาอุทยานหลีหยวน ความเฉยชาที่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่มีต่อคนทางนี้ น่าจะมีแค่คนที่อยู่ในนี้เท่านั้นถึงจะสามารถสัมผัสได้อย่างเข้าใจ และเพราะเป็นเช่นนี้ เมื่อเผชิญหน้ากับไคหยางอ๋องที่ค่อนข้างได้รับความสำคัญจากฮ่องเต้พระองค์ใหม่จึงมีเพียงความกลัวเกรง

เมื่อจิ้งอ๋องตาย พวกเขาเหล่านี้จะสามารถมีชีวิตต่อไปได้หรือไม่นั้น ไม่แน่ว่ายังต้องอาศัยไคหยางอ๋องพูดให้

เมื่อเห็นเว่ยหาน จักรพรรดิหย่งอันก็พยายามเบิกตากว้าง จ้องเขาเขม็ง

เว่ยหานเลิกคิ้วงามเบาๆ

ที่แท้ ‘เสด็จพี่’ ก็ยังมีสติอยู่

“พวกเจ้าหลบออกไปสักหน่อย ข้าจะสนทนากับ…เสด็จพี่สักสองสามประโยค”

เสียงเฉยชาดังขึ้น คนในห้องมองหน้ากันไปมาแล้วถอยออกไปอย่างรู้กาลเทศะ

ภายในห้องว่างเปล่า ทั่วทุกมุมเต็มไปด้วยกลิ่นยาเข้มข้น

เว่ยหานก้มหน้ามองจักรพรรดิหย่งอัน ถามเสียงเบาว่า “ความจริงแล้วข้าอยากถามมาตลอดว่า เหตุใดท่านจึงส่งคนไปสังหารบิดามารดาของข้า เหตุใดจึงให้ข้ากลายเป็นบุตรชายของซูไท่เฟย”

เมื่อได้ยินวาจานี้ จักรพรรดิหย่งอันก็ตรัสไม่ออก ผิวหน้าสั่นอย่างรุนแรง

“ข้าคิดมาหลายปี ก็คิดไม่ออก” เว่ยหานมองเขา สีหน้าเรียบเฉย “จนกระทั่งมีข่าวลือที่ท่านฟังคำของราชครูแพร่ออกมาในหมู่ชาวบ้านว่า ต้องสังหารสตรีที่เกิดในยามเหม่าวันที่เจ็ดเดือนเจ็ดปีอู้เฉินเพื่อเสริมสิริมงคลและเพิ่มอายุขององค์หญิงฉางเล่อให้ยืนยาว ข้าพลันเกิดการคาดเดาหนึ่ง…”

เขาชะงักไปเล็กน้อยแล้วเอ่ยเรียบๆ “ไม่ว่าเป้าหมายในการฟังคำของราชครูแล้วสังหารสตรีเหล่านั้นของท่านคืออะไร กล่าวโดยสรุปแล้ว ท่านเชื่อในคำของราชครูโดยไร้ซึ่งความสงสัยใดๆ ในปีนั้นที่ท่านทำเช่นนี้ก็เป็นเพราะราชครูเช่นกันหรือ”

จักรพรรดิหย่งอันพลันเบิกตากว้างหลายส่วน

เขาล้วนมีสติอยู่ตลอด และเพราะเป็นเช่นนี้วาจาของเว่ยหานจึงทำให้เขาทั้งตะลึง ทั้งเจ็บปวด

ที่แท้เว่ยหานล้วนจำได้ทั้งหมด!

ปีที่สองที่เขาขึ้นครองราชย์ โอรสองค์โตสิ้นชีพก่อนวัยอันควร สถานการณ์ชุลมุนวุ่นวาย ราชครูทำนายว่าเทพขุนพลซึ่งเป็นตัวแทนของดาวแห่งอำนาจที่จะสามารถช่วยเขาทำให้แว่นแคว้นสงบสุขได้ก็คือเว่ยหาน

เขาย่อมต้องการนำเทพขุนพลมาไว้ข้างกาย สั่งสอนเอาใจใส่ ฝึกฝนบ่มเพาะและมอบฐานะที่ต้องภักดีตามธรรมชาติให้ด้วย

ตอนนั้นเว่ยหานสี่ขวบ บุตรชายโง่งมของซูไท่เฟย พระสนมของฮ่องเต้พระองค์ก่อนก็อายุสี่ขวบเช่นกัน

น้องชายเยาว์วัยที่อายุน้อยกว่าเขาสามปีคนหนึ่ง เป็นฐานะที่เหมาะสมที่สุดแล้ว

เพียงแต่เขาวางแผนมากมาย แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเว่ยหานจะจำเรื่องในปีนั้นได้!

เว่ยหานยิ้มๆ เมื่อเห็นปฏิกิริยาตอบสนองของจักรพรรดิหย่งอัน “ดูท่าข้าจะเดาไม่ผิด วันนั้นที่สังหารราชครูในดาบเดียวก็ไม่ถือว่าปฏิบัติต่อเขาอย่างไม่เป็นธรรม”

จักรพรรดิหย่งอันเบิกตากว้างกว่าเดิม ลำคอส่งเสียงอืออาไม่น่าฟังออกมา

เว่ยหานมองเขา แววตาเย็นเยียบ “แค้นที่สังหารบิดามารดา ข้าไม่เคยลืม โชคดีที่สวรรค์มีความยุติธรรม สภาพในตอนนี้ของท่านก็นับว่าเป็นการทำตนเองทั้งนั้น”

สวรรค์มีความยุติธรรม ให้เขามีความจำที่ดี

เว่ยหานก้าวเท้ายาวเดินออกไปข้างนอก

ด้านหลังมีเสียงหายใจแรงและกระชั้นลอยมา แต่เขาก็ไม่ได้หันหน้ากลับไปตั้งแต่ต้นจนจบ

คนที่ถอยออกมาทะลักเข้ามา หมอหลวงที่ในวังส่งมาก็มาถึงแล้วเช่นกัน พวกเขาล้อมรอบกายจักรพรรดิหย่งอัน วุ่นวายอยู่พักหนึ่ง

แต่จักรพรรดิหย่งอันพลันกระตุกตัวแรงหลังจากหายใจกระชั้นระลอกหนึ่งแล้วตาเบิกโพลง หยุดหายใจไป

เว่ยหานเพิ่งจะกลับถึงจวนไคหยางอ๋องก็ได้รับข่าวจักรพรรดิหย่งอันสวรรคตจากการประชวร

“รู้แล้ว” เขารับคำเสียงเย็น ก้าวเท้าไปยังเรือนหลัก

วันก่อนเพิ่งจะหิมะตก ลั่วเซิงคลุมเสื้อคลุมสีเขียวยืนอยู่บนบันไดหิน อมยิ้มมองหงโต้วกับโค่วเอ๋อร์นำสาวใช้กลุ่มหนึ่งไปจับนกกระจอกบ้าน

เว่ยหานเดินมาถึงข้างกายนาง จูงมือนางเอาไว้

“จิ้งอ๋องตายแล้ว”

“อย่างนั้นหรือ” ลั่วเซิงน้ำเสียงสงบนิ่ง เข้าไปใกล้เว่ยหานอีกเล็กน้อยแล้วเอ่ยเสียงเบา “ก็นับว่าสวรรค์มีความยุติธรรม”

สวรรค์มีความยุติธรรม ให้นางได้เกิดใหม่จากเถ้าถ่าน

เว่ยหานกระชับกอดคนข้างกาย “ใช่แล้ว สวรรค์มีความยุติธรรม”

อาจจะเพราะจับนกกระจอกบ้านได้แล้ว เสียงหัวเราะปานกระดิ่งเงินของเหล่าสาวใช้ถึงได้ลอยมา

สองคนสิบนิ้วประสานกัน มองดูเรื่องสนุกกันอย่างมีความสุข

[1] หยกศิลาล้วนแหลกลาญ ใช้อุปมา ไม่ว่าคนดีคนชั่ว คนโง่คนฉลาด หรือไม่ว่าใคร และอะไรก็ตาม ล้วนต้องมอดม้วยมรณาไปด้วยกัน

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท