ตอนที่ 302 ค้างแรมที่วัดร้าง
หลังนับดูแล้ว แววตานายพรานก็ค้างเติ่ง “ท่านแม่ ยี่สิบตำลึง มียี่สิบตำลึง!”
มารดานายพรานเองก็ตกใจนิ่งอึ้งไปทันที “มากมายเพียงนี้เชียวหรือ”
หากไม่อาจนึกภาพได้ว่ายี่สิบตำลึงส่งผลอันใดต่อครอบครัวนายพราน ก็ลองนึกภาพว่า หากรื้อค้นทั้งบ้านนายพรานก็คงรวบรวมมาไม่ได้แม้แต่ตำลึงเดียว
แน่นอนไม่ได้หมายความว่านายพรานยากจน หลายปีมานี้เขาหาเงินได้หลายตำลึง แต่ว่าการหาได้กับการเก็บออมได้นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ครอบครัวยากจนรับมือกับชีวิตไม่ง่ายนัก นับประสาอันใดกับมีเหตุเหนือความคาดหมายให้ต้องใช้จ่ายอยู่มากมาย
“ลูกแม่ มากมายเพียงนี้ พวกเราไม่อาจรับไว้ได้!”
นายพรานคว้าถุงวิ่งออกไป ไม่นานก็กลับมา ถอนหายใจกล่าวว่า “ตามไม่ทัน ไม่เห็นเงาคนแล้ว”
นายพรานสองแม่ลูกำลังกลัดกลุ้มกับยี่สิบตำลึง องครักษ์กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินสองนายมุ่งกลับไปสมทบกับขบวน ยามนี้กำลังงุนงงไม่เข้าใจ
“ท่านน้าท่านนั้นบอกว่าให้ใต้เท้าเราไม่ต้องรีบมีบุตร หมายความว่าอย่างไร”
“ข้าเองก็ฟังไม่เข้าใจ ใต้เท้ายังไม่มีแม้แต่ภรรยาเลยนะ”
“อาจเพียงแค่บ่นไปเรื่อยเปื่อย ท่านน้าอายุวัยนี้ก็มักชอบพูดเรื่องพวกนี้ พวกเราก็รายงานไปตามจริงก็แล้วกัน”
ทั้งสองคนรีบเร่งควบม้าไปรวมกับขบวน
ซิ่วอ๋องลงใต้ครั้งนี้นำคนมาไม่น้อย แต่ทหารกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินสองนายกลับเข้ามาในขบวนเงียบ ๆ ก็ไม่ได้ทำให้เป็นจุดสนใจอันใด
“ใต้เท้า นำไปส่งแล้วขอรับ”
เฮ่อชิงเซียวพยักหน้าเล็กน้อย “ลำบากพวกเจ้าแล้ว”
“ท่านน้าท่านนั้นให้ข้าน้อยบอกท่านว่า ใช้ชีวิตให้ดีๆ ไม่ต้องรีบมีบุตร”
เฮ่อชิงเซียวได้ฟังก็เงียบงันไปนาน
“ใต้เท้า?”
ไล่ลูกน้องสองคนออกไปแล้ว เฮ่อชิงเซียวก็ทำหน้าตาเหมือนไม่มีอันใดเกิดขึ้นมองไปทางซินโย่ว “พี่ชายกับท่านน้าจะต้องมีชีวิตที่ดี วันหน้าหากมีโอกาส พวกเรามาเยี่ยมพวกเขาด้วยกันนะ”
“อืม”
พริบตาก็จบเรื่องราวฉากนี้ไป ตอนพวกซินโย่วหยุดพักก็ไปหาซิ่วอ๋อง
“ซินไต้จ้าวมีธุระหรือ”
“ตอนเข้าเขตอำเภอหลิง ก่อนหน้านี้กระหม่อมรับลูกน้องไว้นิดหน่อย ให้พวกเขารออยู่ที่นี่ คิดจะพาพวกเขากลับไปด้วย จึงมารายงานท่านอ๋องก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
ซิ่วอ๋องยิ้ม “ซินไต้จ้าวตามสบาย”
ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ซิ่วอ๋องก็เห็นโจรภูเขาสองร้อยกว่าคน ยามนี้ได้แต่มองตาค้าง
“ซินไต้จ้าว…” เขาค่อยๆ หันหน้ามาถามซินโย่ว “พวกเขาล้วนเป็นลูกน้องที่เจ้ารับไว้หรือ”
ซินไต้จ้าวเอ่ยว่า ‘นิดหน่อย’ แต่นี่มากเกินไปสักหน่อยหรือไม่
ซินโย่วพยักหน้านิ่ง “อืม ทั้งหมดนี่พ่ะย่ะค่ะ”
ซิ่วอ๋องนิ่งเงียบนาน ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่แน่ใจ “ข้าจำได้ว่าเสด็จพ่อพระราชทานจวนให้ซินไต้จ้าวไม่ใหญ่มาก คนเหล่านี้…”
เลี้ยงดูอย่างไร?
ซินโย่วยิ้มละไม “พอเข้าเมืองหลวงก็เตรียมจะซื้อโรงนาใหญ่หน่อยสักแห่ง ให้พวกเขาได้ทำนาปลูกพืชผักกัน”
ซิ่วอ๋องระงับความรู้สึกอยากเกลี้ยกล่อมลง “ซินไต้จ้าวคิดแผนจัดการไว้แล้วก็ดี เมืองหลวงไม่เหมือนที่อื่น คนมากมายเช่นนี้หากไม่จัดการให้ดี ข้าเป็นห่วงว่าจะนำความยุ่งยากมาสู่ซินไต้จ้าว”
“ขอบคุณซิ่วอ๋องที่เตือน กระหม่อมจดจำไว้แล้ว”
ทั้งขบวนออกเดินทางอีกครั้ง เพราะบรรทุกโลงศพมาสิบกว่าใบ ความเร็วจึงค่อนข้างจำกัด
ซิ่วอ๋องขี่ม้าเคียงข้างซินโย่ว เฮ่อชิงเซียวกับไป๋อิงตามอยู่ด้านหลัง
“ท่านอ๋องลงใต้เพื่อมาค้นหากระหม่อม ตอนนี้กระหม่อมกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว ท่านอ๋องเดินทางนำไปก่อนจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลาเดินทางอยู่ที่นี่” ซินโย่วเสนออย่างจริงใจ
เดิมขบวนคุ้มกันโลงศพท่านแม่เข้าเมืองหลวงก็สองร้อยกว่าคน ซิ่วอ๋องนำคนมาอีกหนึ่งร้อยกว่า รวมกับโจรภูเขาสองร้อย ทั้งขบวนยิ่งใหญ่เกินไปจริงๆ
ซิ่วอ๋องปฏิเสธอย่างไม่ต้องคิด “ข้าลงใต้มาเพื่อค้นหาซินไต้จ้าวก็จริง แต่ก็คิดทุ่มเททำเพื่อฮองเฮาบ้าง”
เขาแววตาหนักแน่น มองชายหนุ่มชุดขาวอย่างอ่อนโยน “ขอซินไต้จ้าวช่วยทำให้ความปรารถนานี้ของข้าได้เป็นจริงด้วย”
ซินโย่วกุมบังเหียนแน่น “คำพูดของท่านอ๋องทำให้กระหม่อมอายุสั้นแล้ว”
ซิ่วอ๋องนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นเบาๆ “ซินไต้จ้าวไม่จำเป็นต้องระมัดระวังตนเองเพียงนี้ ความจริงในใจข้า เห็นเจ้าเป็นน้องชายแล้ว”
ซินโย่วได้ฟังคำพูดนี้ก็เม้มปากเล็กน้อย
ซิ่วอ๋องยิ่งทำให้รู้สึกมองไม่กระจ่างว่าคิดเช่นไร
ในใจเขารู้สึกผูกพันเป็นพี่น้องกับผู้ที่อาจเป็นองค์ชายที่ถือกำเนิดจากฮองเฮาได้หรือ
เฮ่อชิงเซียวกับไป๋อิงที่ตามหลังอยู่ได้ยินคำพูดนี้ของซิ่วอ๋อง
ไป๋อิงผินหน้าไปจ้องมองแผ่นหลังซิ่วอ๋อง ฟังดูแล้ว ซิ่วอ๋องแสดงความเป็นมิตรต่อคุณชายซินมาก
นางยังจำได้ว่าก่อนออกเดินทาง ท่านแม่เตือนเรื่องความปลอดภัยของคุณชายซิน ให้นางอย่าได้ไว้ใจผู้ใดง่ายๆ
คำว่า ‘ผู้ใด’ สองแม่ลูกรู้กระจ่างในใจ บ่งชี้ไปที่ซิ่วอ๋อง
ระหว่างทางฝนก็เริ่มตกอีก ฝนตกปรอยๆ ไม่นานก็กลายเป็นเม็ดฝนทั่วผืนฟ้าจนมองไม่เห็นปลายทาง
เฮ่อชิงเซียวเงยหน้ามองไปยังก้อนเมฆดำที่จับก้อนหนา ก่อนกระแทกท้องม้าเข้าไปหาซิ่วอ๋อง
“ซิ่วอ๋อง เมื่อครู่กระหม่อมส่งทหารไปสำรวจเส้นทางด้านหน้า กลับมารายงานว่า ด้านหน้ามีวัดร้างแห่งหนึ่ง พวกเรารีบเร่งไปหลบที่นั่นกันเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ซิ่วอ๋องมองดูซินโย่วที่สวมหมวกสานทีหนึ่ง พยักหน้ารับคำ
ซินโย่ว เฮ่อชิงเซียว ซิ่วอ๋อง ไป๋อิง รวมทั้งหวังกงกง นำพาผู้คุ้มกันรีบเร่งเดินทาง
เดินทางรวดเร็วไม่ถึงหนึ่งเค่อ วัดร้างก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า
ส่งม้าให้ผู้คุ้มกันไปดูแลแล้ว ทั้งหมดก็เข้าไปด้านใน
วัดร้างไม่ใหญ่ พระพุทธรูปล้มลงแล้ว หยากไย่จับหนาชั้น บนพื้นที่รอยเท้าเหยียบย่ำมากมาย เห็นได้ชัดว่าเคยมีคนผ่านมาทางนี้และเข้ามาพักผ่อนที่นี่
ไป๋อิงสั่งการให้ผู้คุ้มกันตรวจสอบด้านในและด้านนอกรอบหนึ่ง รอจนขบวนใหญ่มาถึง ก็นำไม้กวาดและอุปกรณ์ออกไปทำความสะอาด ปูเบาะฟางให้พวกซินโย่วพักผ่อน
ฝนไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก เสียงท้องฟ้าร้องดังโครมคราม สายฟ้าแลบแปลบปลาบดังมังกรม้วนตัวแหวกว่ายอยู่ในผืนฟ้ามืดมิด
วัดร้างเต็มไปด้วยกลิ่นสาบโคลน น้ำหยดลงจากหลังคาเข้ามาด้านใน เสียงน้ำหยดดังไม่หยุด
“ดูท่าคืนนี้ต้องค้างคืนที่นี่แล้ว” ซิ่วอ๋องยกมือไพล่หลังมองออกไปนอกประตูวัดร้าง
“ลำบากซิ่วอ๋องแล้ว”
ซิ่วอ๋องยิ้มกล่าวกับเฮ่อชิงเซียวว่า “ท่านโหวอย่าได้กล่าวเช่นนี้ คนมากมายได้แต่พักค้างแรมด้านนอก ข้ามีหลังคาบังฝนก็ไม่เลวแล้ว”
เขาพูดพลางมองไปทางซินโย่ว แววตาแสดงความห่วงใย “แต่ซินไต้จ้าวสุขภาพยังไม่ฟื้นตัวดี คืนนี้ต้องลำบากแล้ว”
“ขอบคุณท่านอ๋องที่เป็นห่วง สุขภาพกระหม่อมไม่มีปัญหา”
“ซิ่วอ๋อง คุณชายซิน ใต้เท้าเฮ่อ ดื่มน้ำขิงอุ่นกระเพาะกันก่อน” ไป๋อิงก้าวมาตรงหน้า ผู้คุ้มกันถือน้ำขิงตามหลังมา
นางใช้เข็มเงินทดสอบต่อหน้าทุกคน ยิ้มเอ่ยขึ้นว่า “ข้าจับตาดูพวกเขาต้ม”
“ขอบคุณคุณหนูไป๋” ซินโย่วรับน้ำขิงมาหลุบตาลงดื่มไปคำหนึ่ง
ยามตากฝนและไม่อาจอาบน้ำได้ ดื่มน้ำขิงลงไปสักชามก็รู้สึกสบายขึ้นอยู่บ้าง แม้แต่กลิ่นสาบโคลนในวัดร้างก็คล้ายว่าถูกกลิ่นเผ็ดร้อนของขิงกลบให้จางลงไม่น้อย
ดึกแล้ว พวกซินโย่วหลับตาพักผ่อน มีผู้คุ้มกันสิบกว่าคนอยู่ด้านใน แบ่งเวรออกเป็นสองกะ
หลายร้อยคนด้านนอกล้อมวัดร้างไว้ตรงกลาง ในสามชั้นนอกสามชั้น ตั้งค่ายพักผ่อนเป็นปราการป้องกันดังกำแพงทองแดง
ฝนซาลงอย่างไม่ทันรู้ตัว เสียกรนดังขึ้นด้านนอกและด้านในวัดร้าง มีเสียงผลัดเปลี่ยนเวรของผู้คุ้มกัน เริ่มเฝ้าเวรยามหลังเที่ยงคืนต่อ
ท่ามกลางการอารักขาไม่ให้แม้แต่ลมเล็ดลอดเข้ามา ยามนี้งูน้อยตัวหนึ่งลอดผ่านช่องรูหนึ่งของวัดร้างเข้ามาเงียบๆ เลื้อยไปอย่างว่องไว ผงกศีรษะขึ้นแลบลิ้นหยุดครู่หนึ่ง ก่อนจะตรงไปยังทิศทางหนึ่ง
นั่นก็คือทิศทางที่ซินโย่วอยู่