ตอนที่ 303 งูพิษ
โต๊ะบูชาในวัดร้างมีตะเกียงจุดอยู่ดวงหนึ่ง ไม่ถึงกับมืดสนิทจนมองไม่เห็น เวรยามกระจายกันออกไปประจำตำแหน่งต่างๆ สายลมยามค่ำคืนพัดลอดเข้ามาตามร่องทำให้คลายความง่วง
คนเหล่านี้มีคนของซินโย่ว คนของเฮ่อชิงเซียว คนของซิ่วอ๋อง ทหารในกองกำลังไม่มาก แต่แยกกันหลายทาง เห็นได้ว่าพวกที่เข้ามาเฝ้าในวัดร้างได้ ย่อมเป็นพวกมีความภักดีและความสามารถ
แต่ตอนค่ำคืนดึกดื่นฝนปรอย ภายใต้การอารักขาของคนหลายร้อยด้านนอก คนระมัดระวังตัวกันมากมายเพียงนี้ ย่อมไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องลอบจู่โจม ยิ่งไม่คิดว่าจะมีงูตัวหนึ่งมุ่งไปหาคนที่พวกเขาอารักขา
งูตัวน้อยเลื้อยไปหาซินโย่วอย่างรวดเร็ว มันเลื้อยขึ้นเบาะทันที มุ่งตรงไปยังลำคอนางว่องไว
ขณะที่งูน้อยแลบลิ้นคิดฉก ซินโย่วก็กระโดดลุกขึ้นอย่างตกใจ “มีงู!”
คนที่เฝ้าอารักขาได้ยินก็กรูกันมา ความเร็วของพวกเขาเทียบไม่ได้กับเฮ่อชิงเซียว
เขายื่นมือรวดเร็วปานสายฟ้ากดงูยาวเจ็ดนิ้วเอาไว้
“งู? ที่ไหนมีงู?” หวังกงกงตกใจจนเสียงร้องยิ่งแหลมดัง
ซิ่วอ๋องเองก็ตกใจตื่น พอเห็นงูสีขาวสลับดำดิ้นอยู่ในมือเฮ่อชิงเซียวก็สีหน้าซีดเผือด
แม้ไป๋อิงฝึกยุทธ์แต่เล็ก แต่เพราะกลัวสัตว์เลื้อยคลายตัวยาวนุ่มนิ่มเย็นเยียบมาแต่กำเนิด ยามนี้สีหน้าย่ำแย่เช่นกัน
“งูไป๋เจี๋ย” เฮ่อชิงเซียวจ้องมองงูในมือ สบถออกมาสามคำด้วยน้ำเสียงดุดัน
งูไป๋เจี๋ยมีพิษ พบเห็นได้หลายพื้นที่ทางใต้ ด้วยความโชคร้ายติดตัวของเฮ่อชิงเซียว ยามออกมาปฏิบัติงานนอกเมืองหลวงก็มักประเหตุหลายครั้ง
คนไม่รู้เรื่องงูก็จะรู้สึกเพียงแค่น่ารังเกียจ แต่คนที่รู้ พอได้ยินว่าเป็นงูไป๋เจี๋ย ก็พากันสูดลมหายใจเฮือก “เจ้าสัตว์ตัวนี้มีพิษ และยังเจ้าเล่ห์ คนถูกกัดเข้าก็ถึงกับไม่รู้สึกเจ็บ ตอนรู้ว่าผิดปกติก็สายไปเสียแล้ว!”
ในวัดร้างมีสายลมค่ำคืนเล็ดลอดเข้ามาจากทุกสารทิศ คำพูดนี้ทำเอาทุกคนรู้สึกยะเยือกในใจขึ้นมาทันที นึกแล้วก็หวาดกลัวอย่างมาก
“ซินไต้จ้าวไม่เป็นอันใดกระมัง” เฮ่อชิงเซียวถาม
ซิ่วอ๋องเองก็ตั้งสติได้ “ซินไต้จ้าวเป็นคนพบหรือ”
ภายใต้แสงสลัว ชายหนุ่มท่าทางเหมือนกำลังระงับความตื่นกลัว “ข้ารู้สึกเล็กน้อย ว่ามีบางอย่างเย็นๆ จึงได้ตื่นขึ้น พอลืมตาก็เห็นงูตัวนี้แลบลิ้นคิดฉกข้า โชคดีที่ใต้เท้าเฮ่อช่วยเหลือได้ทัน…”
นางพูดต่อไปไม่ได้อีก มองไปทางเฮ่อชิงเซียวด้วยแววตาซาบซึ้ง
ไป๋อิงหงุดหงิดโทษตนเองอย่างมาก “ต้องตำหนิข้าที่ไม่รอบคอบพอ ควรให้พวกเขาตรวจหลายๆ รอบ”
ซิ่วอ๋องยิ้มเฝื่อน “วัดร้างนี้มีแต่รูให้ลมเล็ดลอด แม้ตรวจหลายรอบก็ไม่อาจป้องกันงูเลื้อยเข้ามา”
“แต่ในวัดมีคนมากมาย เหตุใดจึงมุ่งไปที่คุณชายซิน” ไป๋อิงฝืนหันหน้าไปมองงูในมือเฮ่อชิงเซียว “ตอนเด็กได้ยินมารดาเล่าว่า งูป่าพวกนี้ส่วนใหญ่ไม่โจมตีคนที่ไม่ขยับ คุณชายซินเดิมนอนอยู่ ในวัดยังมีผู้คุ้มกันที่ตื่นอยู่มากมาย…”
ซิ่วอ๋องสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที “คุณหนูไป๋สงสัยว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ?”
ไป๋อิงเอ่ยอย่างไม่แสดงสีหน้าใด “หม่อมฉันเพียงแค่เอ่ยข้อสงสัย”
แม้สงสัยซิ่วอ๋อง แต่จะกล้าพูดออกไปโดยไร้หลักฐานได้อย่างไร
“ไม่ใช่เรื่องบังเอิญจริงๆ” เสียงผู้ชายดังขึ้น เยียบเย็นแต่กลับกระจ่างชัดยิ่ง
ไป๋อิงหันขวับไปมองเฮ่อชิงเซียว ยากปิดบังแววตาประหลาดใจ
ใต้เท้าเฮ่อกล้าพูดจริงหรือ
“ใต้เท้าเฮ่อหมายความว่าอย่างไร” ซิ่วอ๋องแววตาวูบไหว
เฮ่อชิงเซียวไม่ได้ตอบซิ่วอ๋องทันที แต่สั่งการหวงเฉิง “เอากระบอกไม้ไผ่มาใส่งูไป๋เจี๋ยไว้”
หวงเฉิงหยิบกระบอกไม้ไผ่จากในถุงสัมภาระ รับงูน้อยไปใส่อย่างระมัดระวัง
เฮ่อชิงเซียวหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมือ ก่อนมองไปทางซิ่วอ๋อง
ในวัดร้างเงียบกริบ ทุกคนรวมทั้งซิ่วอ๋องต่างมองไปที่เขา รอคำอธิบาย
“ดังที่ซิ่วอ๋องกล่าว วัดร้างบนเขารกร้าง มีสัตว์เลื้อยคลานเลื้อยเข้ามาเป็นเรื่องปกติ เดิมกระหม่อมก็คิดเช่นนี้ แต่เมื่อครู่กระหม่อมพบว่าที่นอนซินไต้จ้าวมีกลิ่นประหลาด”
“กลิ่นประหลาด?” ซิ่วอ๋องมองซินโย่วอย่างไม่เข้าใจ
ซินโย่วสีหน้ายังคงตกใจเหมือนมีชีวิตใหม่อีกครั้ง แต่ก็อดหันไปค้อนใส่เฮ่อชิงเซียวทีหนึ่งไม่ได้
พูดทีเดียวให้กระจ่างได้หรือไม่
“กลิ่นผงล่องู” เฮ่อชิงเซียวเอ่ยทีละคำ
พอเอ่ยเช่นนี้ ทุกคนสีหน้าต่างแปรเปลี่ยน ผงล่องูใช้ทำอันใด ชื่อนี้ได้ยินก็รู้ได้แล้ว
ไป๋อิงก้าวเข้าไปดมใกล้ ๆ แต่กลับไม่ได้กลิ่นแปลก จึงได้ลงคุกเข่า แทบจะชิดกับที่นอนของซินโย่ว ในที่สุดก็ได้กลิ่นสาบอ่อนๆ
กลิ่นสาบนี้ไม่เหมือนกับกลิ่นสาบโคลนหลังฝนตก
นางลุกขึ้นไม่พูดอันใด ก่อนจะไปตรวจสอบที่นอนของตนเอง แล้วก็ลุกขึ้นมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ที่นอนคุณชายซินมีกลิ่นพิเศษจริงๆ ”
ซินโย่วเผยสีหน้าตกใจและโมโห ในใจแอบถอนหายใจ
ดังคาด ผู้หญิงรู้จักพูดจา ‘กลิ่นพิเศษ’ ได้ยินแล้วสบายหูกว่า ‘กลิ่นประหลาด’ มาก
ซิ่วอ๋องสีหน้าเคร่งเครียด “กล่าวเช่นนี้ มีคนจงใจทำร้ายซินไต้จ้าว?”
ไป๋อิงเงียบงัน ในใจคิดว่าหากมีคนทำร้ายคุณชายซิน คนที่น่าสงสัยที่สุดย่อมเป็นซิ่วอ๋อง
บรรยากาศพลันเคร่งเครียดขึ้นมาเล็กน้อย
ซิ่วอ๋องคล้ายว่าไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย ถามซินโย่วด้วยสีหน้าเปิดเผยไร้ความร้อนตัว “ซินไต้จ้าวมีคิดเห็นอย่างไร”
ซินโย่วสบตากับซิ่วอ๋องด้วยแววตาเปิดเผยเช่นกัน “หากมีคนคิดทำร้ายข้า คนผู้นี้ต้องอยู่ในขบวนคุ้มกันโลงศพมารดาข้าเข้าเมืองหลวง หรือไม่ก็เป็นคนที่ซิ่วอ๋องพามาด้วยเหล่านี้”
ไม่เอ่ยถึงค่ายเมฆาดำ นอกจากโจรภูเขาสองร้อยกว่ามีผลประโยชน์ร่วมกับนาง พวกเขายังไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้เบาะนอนของนาง ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้ว่านางนอนเบาะไหน
ได้ฟังซินโย่วกล่าวเช่นนี้ ขุนพลหลี่ที่รับหน้าที่คุ้มกันโลงพระศพฮองเฮาซินเข้าเมืองหลวงก็ลนลานเอ่ยว่า “คุณชายซินหมายความว่าอย่างไร”
หวังกงกงกุมมือเงียบงัน เขาทำงานในหน่วยงานตรวจทัพมาหลายปี หากในขบวนที่ขุนพลหลี่นำมามีไส้ศึก ก็ต้องไปกราบทูลฮ่องเต้ ส่วนคุณชายซินจะอย่างไร ไม่จำเป็นให้เขาต้องรับผิดชอบ
ซิ่วอ๋องกวาดตามองขุนพลหลี่ทีหนึ่ง เอ่ยน้ำเสียงเยียบเย็น “เช่นนั้นก็ตรวจสอบ อย่าปล่อยให้หลุดรอดไปได้!”
เฮ่อชิงเซียวเอ่ยขึ้น “พวกที่เข้ามาตรวจสอบวัดร้าง แล้วก็พวกที่เฝ้าวัดร้างไว้”
งูไป๋เจี๋ยอาจจับระหว่างทางได้ แต่ผงล่องูจำเป็นต้องเตรียมมาล่วงหน้า แม้คนลงมือได้ยินเสียงเคลื่อนไหวแล้วแอบเอาไปทิ้ง แต่ในเวลาอันสั้นนี้ ที่ตัวยังต้องมีร่องรอยหลงเหลืออยู่มาก
ไม่นานคนที่เฮ่อชิงเซียวเอ่ยถึงก็ถูกนำมารวมตัวกัน ในจำนวนนี้มีคนที่เฝ้าเวรกลางคืนยี่สิบสอง คนที่เข้ามาทำความสะอาดพื้นที่นอนแปดคนและคนส่งน้ำขิงอีกสองคน
ในจำนวนสามสิบสองคนรวมเชียนเฟิงกับผิงอัน ยังมีกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินอีกสี่นาย เฮ่อชิงเซียวสอบสวนพวกที่ทำความสะอาดกับคนยกน้ำขิงเข้ามาสิบคนก่อน ก่อนจะตรวจค้นตัวทหารเข้าเวร
“ใต้เท้า ไม่มีของต้องสงสัย”
ของที่ค้นออกมาได้สะเปะสะปะ ไม่พบร่องรอยผงล่องู
ยามนี้เองหวงเฉิงก้าวเดินเข้ามารวดเร็ว “ใต้เท้า พบสิ่งนี้ที่พุ่มไม้นอกวัดร้าง!”
ทุกคนจ้องมอง ในมือหวงเฉิงมีกระบอกไม้ไผ่เล็กใบหนึ่ง
ขุนพลหลี่สงสัย “นี่ไม่ใช่กระบอกไม้ไผ่ที่นายกองร้อยหวงใส่งูไว้เมื่อครู่หรือ”
“ไม่ใช่ กระบอกไม้ไผ่ใส่งูอยู่นี่” หวงเฉิงหยิบกระบอกไม้ไผ่อีกอันออกมา
“นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น” ขุนพลหลี่ยังตั้งสติไม่ทัน
ไป๋อิงเบ้ปากเล็กน้อย “มีอันใดให้คิดไม่ตก งูไป๋เจี๋ยมีพิษ คนลงมือก่อนหน้านี้จับงูใส่ไว้ในกระบอกไม้ไผ่ติดตัวไว้ พอสบโอกาสก็ปล่อยงูพิษออกมา เกรงว่าจะถูกตรวจค้นจึงแอบโยนกระบอกไม้ไผ่ทิ้ง”
เฮ่อชิงเซียวเอ่ยขึ้นว่า “หวงเฉิง นำตัวเวรเฝ้าวัดร้างหลังเที่ยงคืนมาที่นี่”