ตอนที่ 304 มีผู้ให้ความร่วมมือ
หลายร้อยคนล้อมวัดร้างไว้ก่อนพวกเขาเข้าพัก แต่คนที่ได้เข้าใกล้วัดร้างได้ก็มีเพียงคนเฝ้าด้านนอกยี่สิบคน
ในยี่สิบคนนี้แบ่งเป็นสองกะ รับหน้าที่หลังเที่ยงคืนสิบคน
งูพิษถูกปล่อยเข้ามาหลังเที่ยงคืน จากการคาดเดาของเฮ่อชิงเซียว พวกที่น่าสงสัยที่สุด นอกจากทหารอารักขาในวัดร้างแล้ว ก็คือสิบคนที่รับหน้าที่เวรยามนอกวัดร้างหลังเที่ยงคืน
หลังตรวจค้นตัวแล้วก็ตรวจพบของกระจุกกระจิกอีกกองหนึ่ง แต่ไม่เห็นความผิดปกติใด
ไม่ ในสายตาทุกคนที่ดูเหมือนไม่มีสิ่งผิดปกติ แต่ในสายตาเฮ่อชิงเซียวกลับมิใช่
ในวัดมีตะเกียงเพิ่มมาอีกสองสามดวง เรียกได้ว่าแสงสว่างเพียงพอ เฮ่อชิงเซียวจ้องมองกองของที่ตรวจค้นออกมาได้ หยิบมีดสั้นหนึ่งขึ้นมาจากกอง ยกขึ้นมองอย่างละเอียด
ทุกคนเห็นท่าทางเขาก็รู้สึกสงสัยอย่างมาก
มีดสั้นมีอันใดพิเศษหรือ
อย่าว่าแต่คนที่เข้าเวรเป็นองครักษ์ แม้ชาวบ้านธรรมดาก็ย่อมพกมีดสั้นไว้ป้องกันตัว
ราชวงศ์ต้าซย่ามีข้อห้ามแอบเก็บซ่อนอาวุธรบ แต่ไม่ห้ามมีดดาบ
เฮ่อชิงเซียววางมีดสั้นลง หยิบอีกเล่มขึ้นมา หยิบขึ้นหยิบลงเช่นนี้ มีดสั้นของบรรดาหน่วยคุ้มกันในและนอกวัดล้วนถูกตรวจสอบ สุดท้ายหยิบมีดสั้นเล่มหนึ่งถามขึ้นว่า “นี่คือมีดสั้นของผู้ใด”
บรรดาผู้คุ้มกันต่างมองหน้ากันไปมา
หนึ่งในผู้คุ้มกันคนหนึ่งก้มหน้าก้าวออกมา
“มีดสั้นข้าน้อย”
เฮ่อชิงเซียวน้ำเสียงนิ่งเรียบ “เจ้าคือ…”
“ข้าน้อยชื่อว่าโจวหมิง มาจากกองกำลังเมืองหลวง”
ไป๋อิงพอจดจำโจวหมิงได้ “ใต้เท้าเฮ่อ เขามีปัญหาหรือ”
“ข้าอยากรู้ว่าเหตุใดมีดสั้นเจ้ามีขุยไม้ไผ่” เฮ่อชิงเซียวจ้องโจวหมิงพลางเอ่ยถามน้ำเสียงนิ่งเรียบ
โจวหมิงสีหน้าเคร่งเครียด “ระหว่างทางมีต้นไผ่ขวางทาง ข้าน้อยใช้มีดสั้นฟันไป”
“อ้อ ใช้ฟันต้นไผ่ที่ขวางทางมาก่อน หรือว่าเพื่อตัดกระบอกไม้ไผ่ไว้ใส่งูพิษ” เฮ่อชิงเซียวลูบกระบอกไม้ไผ่ที่หวงเฉิงพบจากพงหญ้า
โจวหมิงรีบลงคุกเข่า “ข้าน้อยมีความกล้าหาญเพียงใดก็มิกล้าทำร้ายคุณชายซิน ขอใต้เท้าเฮ่อตรวจสอบด้วย!”
“กระบอกไม้ไผ่นี้เป็นของใหม่ และฝีมือยังหยาบมาก” เฮ่อชิงเซียวยกกระบอกไม้ไผ่ขึ้น สายตาหลายคู่มองไปที่กระบอกไม้ไผ่ “ข้าเพิ่งตรวจสอบกระบอกไม้ไผ่ พบว่ามีคราบโลหิตติดอยู่ที่คมไม้ไผ่ แสดงให้เห็นว่ามีความเป็นไปได้อย่างมากว่าบาดมือคนที่แตะต้องมัน”
เอ่ยถึงตรงนี้ เขาก็ชะงักไปเล็กน้อย แววตาเย็นเยียบจ้องมองโจวหมิง “เจ้ายื่นมือทั้งสองข้างออกมาให้ข้าดูหน่อยได้ไหม”
โจวหมิงทนความกดดันต่อไปไม่ไหว ตะกายลุกขึ้นได้ก็วิ่งหนีทันที
กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินที่เตรียมตัวพร้อมรับมืออยู่แล้ว รีบพุ่งเข้าจับตัวโจวหมิงกดลงกับพื้น
รองเท้าสีขาวคู่หนึ่งมาหยุดตรงหน้าเขา
โจวหมิงข่มใจเงยหน้าขึ้นมอง สบตากับชายหนุ่มสีหน้าเยียบเย็นดุจน้ำค้างแข็ง “ใต้เท้าไว้ชีวิตด้วย…”
เฮ่อชิงเซียวย่อตัวลงถามขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึกว่า “ผู้ใดบงการให้เจ้าทำเช่นนี้”
“คือ…” โจวหมิงแววตาวูบไหว ก่อนความคิดในใจจะต่อสู้กันไม่หยุด
ทันทีที่เอ่ยออกไป ความผิดที่เขาลงมือก็จะเป็นเรื่องแท้จริงไม่อาจปฏิเสธ ไม่มีทางรอดอีกแล้ว แต่เมื่อครู่เขาก็ทนไม่ไหวคิดหนี แม้ไม่ยอมรับ ตกอยู่ในมือกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินก็คงอยู่ต่อไม่สู้ตายเสียดีกว่า
โจวหมิงกำลังคิดเอ่ย ก็มีเสียงแหวกอากาศมา
เฮ่อชิงเซียวยกมือรับ ไป๋อิงก้าวเข้าไปคีบอาวุธลับปลิดชีพโจวหมิงไว้ได้ก่อน
“ผู้ใด!” นางตวาดดุดัน มองไปยังทิศทางที่อาวุธลับซัดมา
หลายคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็คือกลุ่มผู้คุ้มกันรับผิดชอบในวัดหลังเที่ยงคืน ล้วนเป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบต้นๆ หนึ่งในนั้นมุมปากมีโลหิตไหลซึม ก่อนจะล้มลงตรงหน้า
“หวังเผิง…” ผู้คุ้มกันคนอื่นๆ ที่รู้จักชายหนุ่มผู้นี้ก็ตกใจส่งเสียงเรียกชื่อเขา
หวงเฉิงก้าวเข้าไปรวดเร็ว ก้มตัวลงตรวจสอบแล้วก็รายงานว่า “ใต้เท้า ในปากเขามียาพิษ”
เฮ่อชิงเซียวจ้องมองศพหวังเผิงนิ่งเงียบ
เห็นชัดว่าคนผู้นี้ตอนอยู่หลังโจวหมิงก็กัดยาพิษในปากแล้ว ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวได้เช่นนี้ย่อมมิใช่คนธรรมดา
ดูท่าทางโจวหมิงรู้เรื่องไม่มาก
แม้คิดเช่นนี้ แต่เฮ่อชิงเซียวก็ยังคงบีบปากโจวหมิงตรวจสอบรอบหนึ่ง
“เจ้ามีความสัมพันธ์อันใดกับหวังเผิง”
สองแก้มถูกบีบเต็มแรงจนรู้สึกชาและปวด โจวหมิงตกใจกับการตายของหวังเผิงจนนิ่งค้างไปแล้ว ยามนี้เอ่ยไม่เป็นภาษาขึ้นว่า “พะ พวกเราเป็นสหาย…”
“สหาย?” เฮ่อชิงเซียวแค่นเยาะ “เขาให้เจ้าใช้งูพิษสังหารซินไต้จ้าว เจ้าก็สังหาร?”
โจวหมิงตะโกนเสียงดังลั่นอย่างไม่อาจควบคุมตนเอง “ใต้เท้าโปรดตรวจสอบด้วย ข้าน้อยถูกเขาหลอก!”
“เจ้าพูดมาให้กระจ่าง”
โจวหมิงมองไปทางซินโย่วด้วยสัญชาตญาณ
ชายหนุ่มรูปร่างบอบบางยังไม่เติบโตเต็มวัย แววตาลุ่มลึกดังทะเลสาบนิ่งสงบไร้ก้นบึ้ง ยามอยู่ท่ามกลางผู้คุ้มกันรูปร่างสูงใหญ่กลับมิได้แลดูอ่อนแอแม้แต่น้อย
โจวหมิงเอ่ยพรั่งพรูออกมาอย่างรู้สึกเหมือนโดนรังแก “ข้าน้อยไม่รู้เลยว่าหวังเผิงต้องการทำร้ายคุณชายซิน…”
ไป๋อิงโมโหพุ่งเข้าไปถีบหน้าโจวหมิง “พูดให้ตรงประเด็น ไม่มีคนคิดฟังเจ้าคร่ำครวญ!”
คนจากหลายสาย คนร้ายเป็นคนที่นางนำมา ยังดีคุณชายซินไม่เป็นอันใด หากมีอันใดเกิดขึ้น นางจะไปรายงานท่านแม่อย่างไร
ซิ่วอ๋องมองสาวน้อยแต่งกายชุดทหารอย่างตกใจ
ที่แท้นี่คือนิสัยแท้จริงของคุณหนูไป๋
เขาอดมองปฏิกิริยาผู้อื่นไม่ได้ พบว่าซินโย่วกับเฮ่อชิงเซียวสีหน้าปกติก็แล้วไป แต่แม้แต่ขุนพลหลี่ก็ไร้ปฏิกิริยา
ในใจขุนพลหลี่ ขุนพลไป๋กล้าต่อยขุนนางในวังจนหมอบราบ มีมารดาเช่นนั้นก็ย่อมมีบุตรีเช่นนี้ คุณหนูไป๋ถีบหน้าทหารทำความผิดจะมีอันใดกัน
ซิ่วอ๋องขมวดคิ้ว
หรือว่าเขาด้อยประสบการณ์เกินไป
เขาส่งสายตามองไปยังหวังกงกง สีหน้าหวังกงกงมองดูแล้วก็ตกใจเช่นกัน จึงได้รู้สึกถึงการปลอบประโลมอยู่บ้าง
ยังมีคนที่เหมือนเขา…แต่พอตั้งสติได้ ก็รู้สึกว่าการเหมือนกับขันทีผู้หนึ่ง ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีอันใด ซิ่วอ๋องหันไปสนใจโจวหมิงต่อเงียบๆ
รอยเท้าโคลนบนใบหน้าโจวหมิงเด่นชัดอย่างมาก ยามนี้เขากล่าวอย่างไม่โวยวายอีก “หวังเผิงบอกข้าว่า เขาต้องการฆ่าเฉียนต้า ให้ข้าช่วย แรกเริ่มข้าก็ปฏิเสธ แต่เขาให้ข้าหนึ่งร้อยตำลึง…”
ให้เงินมากจริง!
“เฉียนต้า?” เฮ่อชิงเซียวเลิกคิ้ว
เหล่าผู้คุ้มกันพากันมองไปทางชายหนุ่มผู้หนึ่ง เห็นชัดว่าก็คือ ‘เฉียนต้า’ ที่โจวหมิงเอ่ยถึง
เฉียนต้ารีบคุกเข่า สายตามองโจวหมิงด้วยความงุนงงและโมโหมาก “ข้าไม่มีความแค้นอันใดกับหวังเผิง เหตุใดเขาต้องฆ่าข้า”
โจวหมิงแววตาแข็งทื่อ “เขาบอกว่าเจ้าล่อลวงคู่หมั้นเขา”
“เหลวไหล! ข้าไปรู้จักคู่หมั้นเขาเมื่อไรกัน…”
ไป๋อิงถลึงตาเย็นเยียบเย็นใส่เฉียนต้าทีหนึ่ง “ตื่นเต้นอันใด ไม่ใช่ว่าหวังเผิงหลอกโจวหมิงหรือ”
เฉียนต้าสงบลงทันที
โจวหมิงพูดต่อไป “พอข้าได้ฟัง แค้นชิงภรรยาไม่อาจอยู่ร่วมใต้ฟ้าเดียวกัน ความแค้นนี้ไม่อาจทนรับได้จริงๆ เป็นสหายกันก็ควรช่วยสักครั้ง เดิมข้ากังวลว่าจะทำร้ายเจ้านายหลายท่าน แต่หวังเผิงบอกว่าเขาจะนำผงล่องูไปโรยบนตัวเฉียนต้า ถึงตอนนั้นงูพิษก็จะพุ่งไปหาเฉียนต้า พอเฉียนต้าถูกกัดแล้ว เขาก็จะแสร้งทำเป็นพบงูพิษ แล้วจัดการงูพิษทิ้งเสีย ไม่ทำร้ายเจ้านายท่านอื่น ทั้งยังจะพลอยได้ความชอบไปด้วย”
ไป๋อิงแทบไม่อยากเชื่อ “เพื่อหนึ่งร้อยตำลึง เจ้าได้ฟังก็เชื่อเรื่องที่มีช่องโหว่มากมายเพียงนี้หรือ แม้เขาคิดฆ่าเฉียนต้า อย่างไรงูพิษก็เป็นสิ่งมีชีวิต เจ้าไม่กลัวว่าเกิดเหตุผิดพลาด สุดท้ายทำร้ายตนเองและครอบครัวเจ้าเองหรือ”
โจวหมิงนึกเสียใจอย่างที่สุด “ข้าน้อยเลอะเลือนไปชั่วขณะ…”
เฮ่อชิงเซียวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “หนึ่งร้อยตำลึงไม่น้อยจริงๆ”
ฆ่าคนแย่งชิงเงินไม่กี่ตำลึงก็ยังมี มนุษย์ตายเพราะทรัพย์ แต่ไรมาก็มีเรื่องเช่นนี้ไม่เคยขาด