บทที่ 1235 ตอนพิเศษ (ตอนจบ 2)
“เป็นน้องชายได้หรือไม่?” ซ่งอี้เฉินทำหน้ามุ่ย “น้องสาวน่ากลัวยิ่งนัก”
มู่ซืออวี่กับลู่จื่อชิงกำลังพูดคุยกัน
“กี่เดือนแล้ว?”
“สามเดือนแล้วเจ้าค่ะ ข้าตั้งใจว่าจะคลอดที่นี่”
“มาวุ่นวายกับข้าอีกแล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ยเคือง ๆ “เจ้าอยู่เมืองหลวงไม่สบายจึงอยากออกมาวิ่งเล่นข้างนอกหรือ?”
“ที่นี่มีทิวทัศน์สวยงาม ข้ากับซ่งหานจือทำงานอยู่ในเมืองหลวงเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ข้าไม่ทำแล้ว ข้าอยากจะมาจับปลาชมนกชมไม้กับท่านแม่เช่นกัน” ลู่จื่อชิงกอดแขนมู่ซืออวี่ “หลังจากที่ข้าตั้งท้องลูกคนนี้ ข้าก็คิดถึงท่านแม่มากขึ้นเรื่อย ๆ อยากอยู่กับท่านแม่ หมู่นี้ข้ามักจะนึกถึงชีวิตก่อนหน้าของเรา นึกถึงท่าทีเด็ดเดี่ยวเฉียบขาดของท่านแม่ จริงสิ ระหว่างทางที่ข้ามาเจอพี่หญิงใหญ่กับพี่เขย พวกเขาบอกว่าอยากไปเที่ยวทางเหนือ รอกลับจากทางนั้นจะมาหาพวกท่านที่เขาอู่หยาง”
“โตเพียงนี้แล้วยังติดแม่อยู่ทั้งวัน อยากจะพูดคุยอะไรกัน?” มู่ซืออวี่จับผมนางทัดข้างหูให้ “เอาเถอะ แม่ก็แก่แล้ว เจ้าอยู่กับแม่อีกสักระยะก็ดี”
ลู่จื่อชิงมองผมสีดอกเลาข้างหูมู่ซืออวี่
ในความทรงจำ มารดาของนางแม้ไม่ได้เป็นสตรีที่งดงามเพริศพริ้ง แต่ก็เป็นราชาแห่งบุปผาที่สวยงามเยาว์วัย ทว่าบัดนี้กลับมีผมหงอกแล้ว นั่นทำให้ลู่จื่อชิงงุนงงเล็กน้อย นางมักจะรู้สึกเสมอว่าเวลานั้นเดินเร็วจนเกินไป ทิ้งห่างออกไปโดยที่นางไม่ทันได้สังเกต
เขาอู่หยาง ในเรือนไม้ไผ่
มู่ซืออวี่เป็นผู้ออกแบบเรือนไม้ไผ่ที่ตั้งเรียงรายด้วยตนเอง จากนั้นก็ส่งต่อให้กับลู่อี้ ฉีเซียว และฟ่านหยวนซีสร้าง
ผู้ใดจะคิดว่าผู้กุมอำนาจหลายคนจะอาศัยอยู่กลางป่าเขาอย่างสันโดษ สร้างกระท่อมไม้ไผ่หลังเล็กด้วยตนเอง จัดหาอาหารทั้งสามมื้อด้วยตนเองเช่นนี้?
ยามนี้ พวกเขารวมตัวกันเพื่อทานหม้อไฟร่ำสุรา
ไม่ว่าฉีเซียวจะหน้าตาดีเพียงใด ยามนี้เขาก็มีริ้วรอยแล้ว อย่างไรก็ตาม ระยะเวลามักจะใจกว้างกับผู้ที่หน้าตางดงามเสมอ ถึงแม้จะแก่แล้ว เขาก็ยังเป็นผู้เฒ่าที่หน้าตาดี
ฉีเซียวรินสุราให้มู่ซืออวี่หนึ่งจอกแล้วกล่าว “จอกนี้ ข้าขอคารวะสหายรู้ใจ”
มู่ซืออวี่เลิกคิ้ว “ข้าหรือ?”
“ไม่ผิด” ฉีเซียวกล่าว “ท่านกับข้าเป็นสหายรู้ใจเพราะความชอบ ไม่เคยยอมแพ้ในความสัมพันธ์เพราะความเข้าใจ ถึงแม้ข้าจะโดดเดี่ยวไม่มีผู้ใด แต่ก็ได้ใช้ชีวิตอย่างสันโดษในหุบเขาป่าไม้ร่วมกับทุกท่าน นั่นเป็นผลลัพธ์ที่สวยงามที่สุด”
“ดี ข้าขอคารวะเช่นกัน”
“เสี่ยวชิงเอ๋อร์ ซ่งหานจือไม่ได้รังแกเจ้ากระมัง?” ฉีเซียวเอ่ยถามลู่จื่อชิง
ลู่จื่อชิงเอ่ย “หากเขากล้ารังแกข้า ข้าจะไม่คลอดลูกให้เขา!”
ซ่งหานจือกล่าว “ท่านอาฉี นางเป็นความรักที่ข้ารอคอยมานานหลายปี ถึงแม้ข้าจะต้องแทงตนเองก็ไม่มีทางทำร้ายนางแม้แต่น้อย”
“เจ้าเด็กคนนี้มีวาสนาจริง ๆ” ฉีเซียวกล่าว “เพียงแต่ นั่นก็เป็นเพราะความฉลาดของเจ้า ความฉลาดก็ถือเป็นพรจากสวรรค์ ดังนั้นเจ้าถึงได้มีชีวิตที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้”
วันนี้ฉีเซียวพูดมากเป็นพิเศษ
มู่ซืออวี่เอ่ยกับลู่อี้ “ไม่ต้องให้เขาดื่มแล้ว”
“วันนี้ข้าเห็นว่าโรคเก่าเขากำเริบ ไอออกมาเป็นเลือดอีกแล้ว” ดวงตาของลู่อี้ฉายแววเจ็บปวด “เจ้าให้เขาพูดเถอะ ร่างกายของเขาผุพังไปนานแล้ว หลายปีมานี้ ข้ากังวลว่าเขาจะไม่รอดชีวิตมาโดยตลอด เขาทนมาถึงวันนี้ได้ไม่ง่ายดาย ทุกวันนับตั้งแต่นี้ไปก็ถือว่าเป็นกำไรชีวิต พวกเรากินดื่มเป็นเพื่อนเขาอย่างที่เขาต้องการเถอะ ขอเพียงพวกเรามีความสุขในทุก ๆ วัน แม้การจากลาจะต้องมาถึงก็ไม่หลงเหลืออะไรให้ต้องเสียดาย”
วันที่ฉีเซียวจากไป ใบเฟิงทั่วทั้งภูเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง
เขานั่งอยู่ท่ามกลางใบเฟิง มองดูพระอาทิตย์ตกที่อยู่ห่างออกไปไกลแสนไกล ก่อนจะค่อย ๆ หลับตาลง
“ฉีเซียว ท่านดูสิ พระอาทิตย์ตกยิ่งทำให้ใบเฟิงทั่วทั้งเขาลูกนี้งดงามขึ้นไปอีก…” มู่ซืออวี่ผลักฉีเซียวเบา ๆ และพบว่ามีบางสิ่งผิดปกติ
นางก้มลงมองฉีเซียว เอ่ยเรียกเสียงสั่น “ฉีเซียว…”
เขาดูสงบนิ่งเป็นพิเศษ
นางนั่งลงข้าง ๆ มองเขาแล้วกล่าว “ฉีเซียวเจ้าเหนื่อยแล้วใช่หรือไม่? เช่นนั้นเจ้าพักสักหน่อยเถิด ประเดี๋ยวข้าเตรียมอาหารเสร็จแล้วจะเรียกเจ้า วันนี้มีไก่ผัดหน่อไม้ที่เจ้าชอบกิน…”
ลู่อี้แบกกระต่ายป่าที่ล่ามาได้เดินเข้ามา “วันนี้มื้อเย็นข้าจะย่างกระต่าย”
“ฉีเซียวไม่ชอบกิน” มู่ซืออวี่เอ่ย “วันนี้ไม่ต้องกินแล้ว!”
“เจ้าเป็นอะไรไป?” ลู่อี้สังเกตเห็นว่าสีหน้าของนางผิดแปลกไป
เขาหันไปมองฉีเซียวที่อยู่ข้าง ๆ “เจ้านั่งทำอะไรอยู่บนพื้น? เจ้าไม่ได้บอกว่าหมู่นี้เจ็บขาหรือ? เจ็บขาแล้วไยยังนั่งอยู่บนพื้น อีกประเดี๋ยวข้าจะแบกเจ้าเข้าไปดีหรือไม่?”
“ฉีเซียว…”
กระต่ายมื้อนี้เป็นหมันแล้ว
ไก่ผัดหน่อไม้ก็ไม่ได้กินแล้วเช่นกัน
ทุกคนมารวมตัวกัน มองฉีเซียวผู้ที่พิงอยู่ที่นั่นอย่างสงบเป็นพิเศษ แม้จะปลุกอย่างไร เขาก็ไม่อาจตื่นขึ้นมา สุดท้ายจึงจำต้องยอมรับว่าเขาจากไปแล้ว
พวกเขาฝังฉีเซียวไว้ในสถานที่โปรดของอีกฝ่ายตลอดช่วงที่ผ่านมา งานศพไม่ได้ใหญ่โต มีเพียงพวกเขาและเหล่าอาจารย์ของหุบเขาอู่หยางเท่านั้นที่เข้าร่วม ไม่ได้เอิกเกริกอะไร
กลางดึก มู่ซืออวี่ผุดลุกขึ้นนั่ง
ลู่อี้ลืมตาขึ้น ลุกขึ้นนั่งตามนาง ใช้ผ้าเช็ดหน้าที่วางอยู่ข้าง ๆ เช็ดเหงื่อจากหน้าผากนางให้
“ยังคิดถึงฉีเซียวอยู่หรือ?”
“ข้าฝันถึงเขา”
“หากเจ้าเอาแต่คิดถึงทั้งวัน กลางคืนย่อมเก็บไปฝัน ถ้าเจ้ายังไม่ยอมรับการจากไปของสหาย ย่อมคิดมากอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง”
“ไม่ใช่ ข้าฝันว่าเห็นเขาไปยังบ้านเกิดข้าและใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นเป็นอย่างดี” มู่ซืออวี่กล่าว “ข้าคิดว่าตนเองเพียงแค่ฝันไป แต่กลับรู้สึกว่าเหมือนจริงยิ่งนัก บางทีเขาอาจจะไปที่บ้านเกิดข้าจริง ๆ”
มู่ซืออวี่กับลู่อี้แต่งงานกันมาหลายปี เวลาเกือบทั้งชีวิตได้ผ่านไปแล้ว ไม่ช้าย่อมถึงเวลาจากไปอย่างสงบ เรื่องที่นางปิดบังเขาไว้มานานหลายปีค่อย ๆ บอกเล่าออกมา เขาจึงกระจ่างว่าบ้านเกิดที่นางกล่าวถึงไม่ใช่ที่ที่พวกเขาอยู่มาก่อนหน้านี้ หากแต่เป็นเมืองลึกลับอีกเมืองหนึ่งซึ่งไม่อาจจินตนาการได้ ในความคิดเขา พิจารณาจากคำบอกเล่าของมู่ซืออวี่แล้ว ที่นั่นดูเหมือนที่ที่เทพเซียนอาศัยอยู่เสียมากกว่า
“ถ้าเขาไปบ้านเกิดเจ้าแล้วจริง ๆ พวกเราก็ควรยินดีกับเขา ข้าควรจะอิจฉาเขา เพราะข้าอยากเห็นเหลือเกินว่าที่ที่เจ้าอาศัยอยู่เป็นอย่างไร” ลู่อี้กล่าว “ช่วงนี้เราลงจากเขาไปเดินเล่นกันเถอะ! ฉีเซียวเพิ่งจากไป ที่นี่ล้วนมีแต่ร่องรอยของเขาทุกหนทุกแห่ง ไม่เพียงแต่เจ้าที่คิดถึงเขา ข้าก็คิดถึงเขาเช่นกัน”
“ข้าไม่อยากไป” มู่ซืออวี่ส่ายหัว “เราอยู่ที่นี่กันต่อเถิด ที่นี่ดีทีเดียว”
การจากไปของฉีเซียวทำให้สหายหลายคนเศร้าโศกอยู่พักหนึ่ง ทว่าผู้ตายได้จากไปแล้ว คนที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่อาจจมอยู่กับความโศกเศร้าเช่นนี้ตลอดไปได้
ในทุก ๆ วันต่อแต่นี้ไป พวกเข้าล้วนใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
ส่วนฉีเซียว ภายหลังมู่ซืออวี่ยังคงฝันถึงเขาอีกหลายครั้ง
ทว่าหากเป็นความฝันก็ไม่มีทางที่จะปะติดปะต่อกันตลอดเช่นนี้ มู่ซืออวี่มั่นใจว่านี่เป็นการชักนำนางไปสู่เวลาและสถานที่อื่น
ในความฝัน ฉีเซียวได้เป็นประธานบริษัทเฟอร์นิเจอร์ที่นางทำงานอยู่ ที่นั่นเขาประสบความสำเร็จอย่างมากและกลายเป็นพ่อมดในวงการธุรกิจที่อายุน้อยที่สุด
ในความฝันยังมีผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งฉีเซียวมีน้ำใจต่อเธอเป็นพิเศษ นางอยากเห็นคนในโชคชะตาของฉีเซียวจริง ๆ ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร เพียงแต่หญิงคนนั้นกลับไม่ยอมหันหน้ามา
สุดท้ายแล้ว เรื่องนี้จึงกลายมาเป็นปริศนาสำคัญปริศนาหนึ่งในชีวิตของนาง
หลังจากนั้น ในทุก ๆ ทิวาและราตรี มู่ซืออวี่กับลู่อี้อยู่เคียงข้างกันตลอดเวลา พวกเขาเฝ้าชมแสงแรกของดวงตะวันและมองมันจนแสงสุดท้ายหายลับไปจากขอบฟ้า ชมวิหคที่บินผ่านไปมาบนภูเขา ทอดมองหมู่มวลบุปผาที่ทยอยบอกลากิ่งก้านและปลิดปลิวไปไกลแสนไกล…
-จบบริบูรณ์-