สืบแค้นคุณหนูสวมรอย – ตอนที่ 305 ซินโย่วกลับเมืองหลวง

สืบแค้นคุณหนูสวมรอย

ตอนที่ 305 ซินโย่วกลับเมืองหลวง

ถามไม่ได้ความใดจากโจวหมิงอีกแล้ว ร่างหวังเผิงก็เย็นชืดแล้ว คิดหาผู้บงการก็น่าจะเป็นไปไม่ได้แล้ว

เฮ่อชิงเซียวยังคงท่าทางสงบนิ่ง “มีผู้ใดรู้ประวัติหวังเผิงบ้าง”

ผู้ที่เอ่ยขึ้นก่อนก็คือไป๋อิง “ข้าเคยอ่านรายชื่อ หวังเผิงรับหน้าที่ต่อจากอาของเขา”

การรับสืบทอดตำแหน่งนี้ ส่วนใหญ่จะได้รับการประเมินว่าสถานะบริสุทธิ์ ไว้ใจได้

“สภาพทางครอบครัวเขาล่ะ”

โจวหมิงคิดทำคุณไถ่โทษ แย่งตอบว่า “แต่เล็กหวังเผิงไร้บิดามารดา พึ่งพาอาศัยอาและอาสะใภ้ บ้านเขาอยู่ที่ถนนอวี๋เฉียน…”

“จดจำได้ทั้งหมดไหม” เฮ่อชิงเซียวหันไปถามหวงเฉิง

หวงเฉิงประสานมือ “ใต้เท้าวางใจ ข้าน้อยจดจำได้แล้ว”

“พอฟ้าสาง เจ้านำคนไปก่อน คุมตัวโจวหมิงกับเฉียนต้าไปเมืองหลวง ตรวจสอบสภาพทั่วไปของหวังเผิง”

“ขอรับ”

องครักษ์ที่ชื่อเฉียนต้าคิดร้องขอความเป็นธรรม แต่เพราะบารมีกองกำลังองครักษ์จิ่นหลิน ปากที่คิดเอ่ยก็ไม่กล้าส่งเสียงอันใดออกมา

เฮ่อชิงเซียวมองไปทางซิ่วอ๋อง “ซิ่วอ๋อง ครั้งนี้กระหม่อมเดินทางมานำลูกน้องมาจำกัด ไม่ทราบว่าจะขอยืมคนร่วมเดินทางไปกับพวกหวงเฉิง คุมตัวผู้ต้องสงสัยพวกนี้ไปได้หรือไม่”

“แน่นอน” ซิ่วอ๋องเลือกคนติดตามในขบวนสิบคน พร้อมกำชับด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “หากเกิดเหตุผิดพลาด จะเอาเรื่องพวกเจ้า”

ไป๋อิงมองเฮ่อชิงเซียว ก่อนมองซิ่วอ๋อง ในใจวูบไหวเล็กน้อย

วิธีการใต้เท้าเฮ่อดีมาก หากซิ่วอ๋องมีปัญหา ให้คนของซิ่วอ๋องรับหน้าที่คุมตัวไป ซิ่วอ๋องก็คงไม่กล้าทำอันใดวู่วาม

พอเห็นซิ่วอ๋องรับปากรวดเร็วเช่นนี้ ไม่ได้มีท่าทีร้อนตัวแม้แต่น้อย ก็นึกสงสัยว่าเพราะซิ่วอ๋องเก็บซ่อนได้ลึกล้ำหรือว่าไม่เกี่ยวข้องกับเขาจริงๆ

ไป๋อิงขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกเพียงแค่สับสนไปหมด คิดอย่างไรก็ไม่กระจ่าง

ดังคาด นางยังคงชอบทำงานตรงไปตรงมาทันที ไม่ใช่งานที่ต้องเสียเวลาใช้สมอง

อีกไม่นานฟ้าก็สางแล้ว คนในวัดไม่อาจข่มตาหลับได้อีกแล้ว

พวกที่ตั้งค่ายพักอยู่นอกวัดยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น พวกที่ใกล้กับวัดร้างก็ไม่คิดอยากนอนต่อแล้ว พากันแอบส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์

“หัวหน้าหก ข้าไปสืบมาได้ความว่า ในวัดมีงูพิษเลื้อยเข้าไป เกือบกัดคุณชายเราตาย!” เจ้าแปดเบียดตัวออกมาได้ก็มานั่งชิดกับหัวหน้าหก

โจรภูเขาสองร้อยกว่า ก็มีจำนวนเกินครึ่งของขบวนเข้าเมืองหลวง หัวหน้าหกเป็นหัวหน้านำโจรภูเขาพวกนี้ พวกเขาค้างแรมอยู่ฟากหนึ่งของวัดร้าง ไม่ได้เข้าไปพักผ่อนในวัด

“คุณชายไม่เป็นอันใดใช่ไหม”

“ไม่ คุณชายตื่นมาเห็นพอดี งูพิษถูกใต้เท้าเฮ่อจับไว้ได้…” เจ้าแปดกระซิบเล่าเรื่องที่ไปสืบมาได้

หัวหน้าหกสีหน้าแปรเปลี่ยนไปตามคำบอกเล่าของเจ้าแปดไม่หยุด พึมพำว่า “สวรรค์ ชีวิตชนชั้นสูงพวกนี้ช่างอันตรายกว่าโจรเราเสียอีก”

เจ้าแปดรีบพยักหน้าทันที “ใช่เลย!”

“ไม่ว่าอย่างไร คุณชายไม่เป็นอันใดก็ดี วันหน้าเจ้าอย่าเรียกข้าว่าหัวหน้าหก เรียกพี่หก”

ยามขอบฟ้าเริ่มมีแสงรำไร กลุ่มเล็กๆ ที่นำโดยหวงเฉิงก็คุมตัวโจวหมิงกับเฉียนต้าจากไปเงียบๆ ครู่หนึ่ง ขบวนที่ตั้งค่ายนอกวัดก็เริ่มส่งเสียงดังขึ้น

ขบวนสองสามร้อยคนเพียงแค่อาหารการกินก็เป็นเรื่องใหญ่แล้ว ต้องเร่งไปถึงที่สถานีพักม้าเพื่อพักแรมหรือไม่ก็เข้าเมืองจึงจะได้ ระหว่างเร่งเดินทางกินอาหารแห้งกับดื่มน้ำเย็นประทังไปก่อน

แน่นอนว่าไม่รวมพวกซิ่วอ๋อง

มีพ่อครัวร่วมมาในขบวนและมีรถม้าบรรทุกหม้อชามและวัตถุดิบทำอาหารมาด้วย เพียงพอให้บรรดาเจ้านายได้กินกันร้อนๆ

ไม่นานกลิ่นหอมของโจ๊กก็ลอยมา

น้ำร้อนส่งเข้ามาในวัด ให้พวกซิ่วอ๋องล้างหน้า ซินโย่วเองก็ล้างหน้าบ้วนปากง่ายๆ ก่อนจะเดินออกไป

ท้องฟ้าแจ่มใส สีฟ้าแตะผืนฟ้ากว้างไกล แสงแดดยามเช้าสาดส่องลงมาดังจีวรสีทองอร่ามปกคลุมภูเขากว้างไกลไว้ชั้นหนึ่ง

หลังฝนตก ต้นไม้ใบหญ้าส่งกลิ่นหอมกระทบจมูก ทำให้คนรู้สึกสดชื่น ความสกปรกและกลิ่นอายแห่งความตายในวัดร้างเมื่อคืนก็หายไปพร้อมกับพระอาทิตย์ขึ้น ราวกับไม่เคยเกิดเรื่องอันใด

“ทิวทัศน์งามยามเช้าในผืนป่าเขา ซินไต้จ้าวเคยเห็นมาหลายครั้งแล้วกระมัง” ซิ่วอ๋องยืนอยู่ข้างซินโย่วพลางเอ่ยถามอ่อนโยน

ซินโย่วมองชายหนุ่มที่เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว

แววตาอ่อนโยนไม่ได้มีความข่มแบบผู้ที่อยู่เหนือกว่า แต่กลับเป็นคุณสมบัติที่นิ่งสงบอ่อนโยน เป็นดังสายลมวสันต์และพิรุณโปรยปราย ทำให้คนยากจะรู้สึกระแวงและป้องกันตัว

สายตาซิ่วอ๋องทอดมองออกไปยังเทือกเขาไกลออกไป เอ่ยน้ำเสียงช้าเนิบนาบ “ข้าไม่มีโอกาสได้พบเห็นนัก ครั้งนี้ออกจากเมืองหลวงมาตามหาซินไต้จ้าว จึงได้พบเห็นภาพนี้”

“หากซิ่วอ๋องคิดต้องการ คงมีโอกาสได้ชมธรรมชาติงดงามอีกมากมาย” ซินโย่วเอ่ยน้ำเสียงนิ่งเรียบ

ซิ่วอ๋องจึงได้หันไปมอง

ชายหนุ่มที่ไม่ได้พักผ่อนให้ดีมาทั้งคืน ดูแล้วอิดโรยอยู่สักหน่อย แต่แววตากลับกระจ่างใส สีหน้านิ่งสงบ ไม่ได้แสดงท่าทางตกใจที่เป็นที่ชื่นชมโปรดปรานหรืออารมณ์อื่นใดที่เขาเข้ามาแสดงความใกล้ชิด

“เรื่องเมื่อคืน…” ซิ่วอ๋องชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ในใจซินไต้จ้าวสงสัยข้าใช่หรือไม่”

ซินโย่วนิ่งมองซิ่วอ๋อง ไม่เอ่ยตอบรับ

การที่ซิ่วอ๋องเดินเข้ามาเอ่ยขึ้นก่อนอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้นางคิดไม่ถึง

ซิ่วอ๋องรู้ว่าไม่ได้คำตอบ แต่ก็ไม่ถือสาอาการนิ่งเงียบของซินโย่ว อย่างไรคนเราก็มิได้โง่เขลาที่จะบอกกล่าวกับองค์ชายท่านหนึ่งว่า ถูกต้อง ข้าสงสัยท่าน

ซิ่วอ๋องยิ้มเอ่ย แววตาลุ่มลึก ทำให้คนยากจะมองเห็นอารมณ์แท้จริงกระจ่าง

ซินโย่วได้ยินเขาพูดต่อว่า “ไม่ว่าซินไต้จ้าวเชื่อหรือไม่ ข้าดีใจที่ท่านปรากฏตัวขึ้น”

ไม่รอให้ซินโย่วตอบ ซิ่วอ๋องก็หันหลังเดินไปทางวัดร้างแล้ว

ซินโย่วมองตามแผ่นหลังร่างสูงของซิ่วอ๋องไปอย่างใช้ความคิด

มีเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ เฮ่อชิงเซียวมาหยุดข้างซินโย่ว ระยะห่างแตกต่างจากเมื่อครู่ที่ซิ่วอ๋องยืนห่างจากซินโย่ว ยามนี้ทั้งสองคนยืนใกล้กันมาก พูดจาสะดวกกว่ามาก

ซินโย่วกระซิบเล่าคำพูดซิ่วอ๋องเมื่อครู่ให้คนข้างกายฟัง

เฮ่อชิงเซียวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “เรื่องนี้น่าจะไม่ใช่ฝีมือซิ่วอ๋อง เพราะเป็นผลเสียสำหรับเขามากกว่า”

ซิ่วอ๋องขอพระราชทานพระราชานุญาตลงใต้มาค้นหานางด้วยตนเอง นางกลับมาอย่างปลอดภัย แต่กลับถูกงูพิษในวัดร้างกัดตาย ฮ่องเต้ทรงทราบจะไม่กริ้วลงที่ซิ่วอ๋องก็คงแปลก

ควรรู้ว่าฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่ได้มีซิ่วอ๋องเป็นพระโอรสเพียงหนึ่งเดียว แม้ชิ่งอ๋องถูกปลดแล้ว ก็ยังมีองค์ชายสาม องค์ชายสี่ องค์ชายห้า องค์ชายหก

สำหรับฮ่องเต้ที่ยังทรงพระพลานามัยแข็งแรง การมีองค์ชายอายุน้อยถึงกับไม่ใช่เรื่องเสียหาย

“หวังเผิงมีชาติกำเนิดในกองกำลังทหารประจำเมืองหลวง ครอบครัวอยู่เมืองหลวง ตรวจสอบลึกลงไปต้องพบอันใดอย่างแน่นอน” เฮ่อชิงเซียวเป็นห่วงซินโย่วคิดมากเรื่องนี้ จึงเอ่ยปลอบใจเบาๆ

ซินโย่วพยักหน้า

“จากนี้จะไม่มีอันตรายอีกแล้วกระมัง”

เฮ่อชิงเซียวพลันเอ่ยถามเช่นนี้ ทำเอาซินโย่วนิ่งอึ้งไปทันที กระดกมุมปากเล็กน้อย “น่าจะไม่”

พบว่ามีงูพิษในเวลาคับขัน แน่นอนไม่ใช่เพราะนางตื่นทัน แต่เพราะเห็นภาพความโชคร้ายของผู้อื่น จึงได้คาดเดาภัยที่นางจะประสบและเตรียมตัวไว้ก่อนได้

“คุณชายซิน ใต้เท้าเฮ่อ มารับประทานอาหารเช้าได้แล้ว” ไป๋อิงกวักมือเรียกทั้งสองคน

ซินโย่วสบตากับเฮ่อชิงเซียว เดินเคียงกันเข้าไปในวัดร้าง

พวกหวงเฉิงเร่งควบม้ามาถึงเมืองหลวงเข้าตรวจสอบเรื่องของหวังเผิง สองวันต่อจากนั้นขบวนคุ้มกันโลงพระศพฮองเฮาซินก็เดินทางเข้าเมืองหลวงต่อ ทุกอย่างราบรื่นดี ในที่สุดก็ใกล้เมืองหลวงขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

“ฝ่าบาท ขบวนห่างจากเมืองหลวงไม่ถึงห้าสิบลี้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ตั้งแต่ซินโย่วประสบเหตุที่อำเภอไป๋อวิ๋น ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ต้องการข่าวด่วนเกี่ยวกับนางทุกวัน ทุกวันขบวนเดินทางถึงที่ใด พักที่ใด อย่างมากวันสองวันก็มีรายงานมาตลอด

“ดี ดี ดี กลับมาได้เสียที” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทั้งชื่นชมและปวดร้าวใจ

ชื่นชมที่บุตรชายของเขากับซินซินกลับมาอย่างปลอดภัย ปวดร้าวใจที่ต้องจากกันสิบกว่าปี แต่ที่กลับมากลับกลายเป็นโลงศพของซินซิน

สืบแค้นคุณหนูสวมรอย

สืบแค้นคุณหนูสวมรอย

Status: Ongoing
เมื่อมารดาถูกสังหาร ซินโย่วจึงมายังเมืองหลวงเพื่อสืบหาตัวฆาตกร แต่เมื่อสืบลึกลงไปก็กลับต้องพบกับความจริงอันน่าตกใจภายในนั้น…รายละเอียด นิยายรัก-สืบสวน ครบรสจากนักเขียนมากฝีมือ ‘ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ย’ขณะที่ ซินโย่ว กำลังเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงเพื่อสืบหาเบาะแสสำคัญของฆาตกรสังหารมารดาก็ได้บังเอิญจับพลัดจับผลูตกหน้าผาแล้วเข้าสวมรอยฐานะของ โค่วชิงชิง คุณหนูหลานนอกของจวนรองเจ้ากรมพระราชยานหลวงเข้าเพราะทรัพย์สินมากมายโค่วชิงชิงจึงถูกญาติที่มาหวังพึ่งพิงผลักตกหน้าผาจนถึงแก่ความตาย นั่นทำให้นางได้เข้ามาสวมฐานะของอีกฝ่ายซินโย่วนั้นมีดวงตาที่พิเศษกว่าคนทั่วๆ ไป นางสามารถมองเห็น ‘เรื่องร้าย’ ที่จะเกิดขึ้นกับคนผู้หนึ่งได้โดยไม่เลือกว่าจะเป็นผู้ใด เวลาไหนประกอบกับไหวพริบอันชาญฉลาดทำให้นางสามารถอยู่ในสถานะนี้ได้อย่างไม่ยากเย็นนักเพื่อสืบเรื่องฆาตกรสังหารมารดาซินโย่วจำต้องใช้ฐานะใหม่ที่มีสืบหาเบาะแสจาก ‘บันทึกโบตั๋น’ เปื้อนเลือดที่ตกอยู่ในที่เกิดเหตุยิ่งสืบลงลึกเรื่องราวก็เหมือนจะซับซ้อนยิ่งกว่านั้นเรื่องราวในอดีตเบาะแสที่โยงใยสืบเนื่องกันมา ได้เวลาเผยโฉมแล้ว…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท