บทที่ 1447 ราชันเซียนวิถีลึกล้ำ
คำพูดของเว่ยซิงเต็มไปด้วยแววเสียดสี เยาะเย้ย และจองหองอย่างเหลือทน!
เมื่อได้ยินคำเหล่านี้ ใบหน้าของจั่วชิวเฟยหมิงก็เปลี่ยนจากหมองคล้ำเป็นซีดเผือด ซึ่งถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ ด้วยความโศกเศร้าและความขุ่นเคือง เพราะถูกเย้ยหยันตอนที่ตั้งใจจะปลิดชีพตัวเอง และนี่เป็นความรู้สึกที่ไม่น่าภิรมย์นัก
“ไอ้สุนัขสารเลว! เจ้าคิดว่าจะสามารถทำอะไรได้ตามอำเภอใจ โดยอาศัยชื่อเสียงของนิกายอำนาจเทวะหรือ?” ปฏิกิริยาของเฉินซีต่อเรื่องนี้ดูเหมือนจะค่อนข้างรุนแรง และกล่าวตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง
ความโกรธอันไร้ขอบเขตได้สะสมอยู่ในใจของเฉินซีมานานแล้ว ประกอบกับเมื่อเห็นจั่วชิวเฟิงและคนของนิกายอำนาจเทวะที่ช่วยเหลือกันกระทำสิ่งชั่วร้ายเลวทราม ความเกลียดชังอันท่วมท้นจึงได้ทะลักออกมาจากหัวใจ แล้วเขาจะอดกลั้นมันไว้ได้อย่างไร?
“ไอ้สารเลว จะตายอยู่แล้วยังจะกล้าอวดดีอยู่อีก!?” สีหน้าของเว่ยซิงหมองลง
“ใต้เท้าเว่ย อย่าเสียเวลาไปกับไอ้สารเลวนี้! มันกำลังถ่วงเวลา!” จั่วชิวเฟิงที่อยู่ด้านข้างเตือนด้วยสีหน้าหมองคล้ำ
เดิมทีเขาวางแผนสังหารเฉินซีด้วยตัวเอง ทว่าเมื่อเห็นหัวเจี้ยนคงที่ยืนอยู่ข้างเคียง พลันเปลี่ยนใจทันที เพราะนั่นคือศิษย์ของเจ้าสำนักแห่งสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ดังนั้นให้เว่ยซิงจัดการไปจะเป็นการดีที่สุด
เว่ยซิงอ่านความคิดของจั่วชิวเฟิงออกทันที แต่ก็ไม่ได้เปิดโปง เพียงพยักหน้ารับ “ข้าตระหนักดีถึงเรื่องนี้”
ขณะที่กล่าว สีหน้าของเขาผันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ก่อนจะกล่าวเสียงเย็นชาว่า “เจ้าหนู ไม่ว่าเจ้าจะคุกเข่าขอความเมตตาหรือดิ้นรนขัดขืนอย่างสิ้นหวัง ก็ไม่อาจเปลี่ยนผลลัพธ์ที่นำไปสู่ความตายได้! แต่ถ้าเจ้ามอบสมบัติที่ครอบครองแต่โดยดี บางทีข้าอาจให้เจ้าตายสบายขึ้น!”
“สมบัติอันใดหรือ? ข้ามีสมบัติมากกว่าหนึ่งชิ้น ข้าคงไม่อาจมอบมันทั้งหมดได้” เฉินซีดูสงบและกล่าวอย่างสบาย ๆ
“ฮึ่ม! เจ้ายังจะถ่วงเวลาในสถานการณ์เช่นนี้?” รอยยิ้มดูถูกปรากฏที่มุมปากของเว่ยซิง จากนั้นจึงหันกลับไปมองดูร่างลึกลับที่สวมเสื้อคลุมที่อยู่ด้านข้าง แล้วจึงกล่าวว่า “ในหมู่พวกเจ้า ผู้ใดเต็มใจที่จะฆ่าเจ้าเด็กนี้?”
แต่เขากลับต้องประหลาดใจ เพราะไม่มีใครตอบสักคน!
สิ่งนี้ทำให้ทุกคนที่อยู่ใกล้เคียงตกตะลึงเล็กน้อย แม้แต่เฉินซีก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน
“เพราะเมื่อใดที่พวกมันต่อสู้กับข้า ตัวตนของพวกมันจะถูกเปิดเผย” หัวเจี้ยนคงให้คำตอบที่เหมาะสม ทำให้เฉินซีเข้าใจได้ในทันที
ในที่สุดเขาก็เข้าใจ ร่างลึกลับเหล่านี้ต้องเป็นหมากที่นิกายอำนาจเทวะวางไว้ท่ามกลางกองกำลังสูงสุดต่าง ๆ ของภพเซียนแน่นอน
นัยน์ตาของเว่ยซิงหรี่ลง ความโกรธฉายชัดอยู่บนใบหน้า “อะไรเล่า? หรือพวกเจ้ายังเกรงว่าจะถูกเปิดเผยตัวตน? นั่นก็แค่หัวเจี้ยนคงเท่านั้น ต่อให้ตาเฒ่าเหมิงซิงเหอมาที่นี่ แล้วมันจะทำอะไรได้? อย่าลืมว่าความสำเร็จของพวกเจ้าได้มาอย่างไร หากไม่ใช่เพราะการสนับสนุนจากนิกายอำนาจเทวะ!”
“ช่างเถอะ ข้าจะลงมือเอง!” ทันใดนั้น ร่างลึกลับในเสื้อคลุมคนหนึ่งก้าวออกมา เขาใช้มือวาดท่าทางอย่างสบาย ๆ เรียกกระบี่เซียนสีทองอมเขียวปรากฏบนฝ่ามือ กลิ่นอายอันน่าเกรงขามก็ผันเปลี่ยนไปทันที
มันดุร้าย ยิ่งใหญ่ ทรงพลัง และไร้ขอบเขต!
เขาเป็นดั่งกระบี่อันไร้เทียมทาน ซึ่งเผยให้เห็นคมของมัน หลังจากหลับใหลมาเนิ่นนานจนไม่อาจนับ!
“กระบี่ทองคำยมโลกเพลิงคราม จงหลีเฟิง! นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะเข้าร่วมนิกายอำนาจเทวะเช่นกัน!” หัวเจี้ยนคงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เผยถึงความเกลียดชัง และท่าทางเย็นชาจนสุดขั้ว
จงหลีเฟิง!
หัวใจของทุกคนต่างสั่นไหวเมื่อได้ยินสิ่งนี้ จงหลีเฟิงเป็นผู้อาวุโสจากหนึ่งในเจ็ดตระกูลโบราณที่ยิ่งใหญ่ นั่นคือตระกูลจงหลี ซึ่งบำเพ็ญเพียรอย่างสันโดษมาเนิ่นนาน มีพลังที่ไม่อาจหยั่งถึง และสถานะในตระกูลก็สูงส่ง ซึ่งเป็นที่เคารพอย่างมาก
หากหัวเจี้ยนคงไม่ได้ระบุตัวตนของอีกฝ่าย แล้วใครจะคิดว่าคนผู้นี้จะกลายเป็นหมากของนิกายอำนาจเทวะ!?
นี่ไม่ได้หมายความว่ากองกำลังของนิกายอำนาจเทวะได้แทรกซึมเข้าไปในตระกูลจงหลีมานานแล้วหรอกหรือ?
หากข่าวเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป มันคงจะทำให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ในภพซียนอย่างแน่นอน!
ร่างลึกลับไม่ได้ให้คำอธิบายใด ๆ พลันทะยานร่างออกไป และพุ่งเข้าใส่หัวเจี้ยนคงอย่างดุเดือด
ฟิ่ว!
กระบี่เซียนทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ปราณกระบี่ราวกับจะโจมตีหัวเจี้ยนคงไปตลอดกาล มันแฝงด้วยพลังอันท่วมท้นของราชันเซียน ทำให้กาลเวลา มิติ แม้แต่โลกเป็นผุยผง ซึ่งน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
อานุภาพไร้เทียมทานนี้ แสดงให้เห็นถึงพลังที่ราชันเซียนครอบครองอย่างชัดเจน
ทว่าเป้าหมายในการโจมตี กลับเป็นเฉินซี!
“ฮึ่ม!” หัวเจี้ยนคงแค่นเสียงเย็น พลันทะยานร่างออกไป ผมสีขาวดุจหิมะปลิวไสวไปทางด้านหลัง ขณะที่กระบี่ในมือสั่นเบา ๆ พร้อมกับแผ่พุ่งปราณกระบี่สังหารที่บริสุทธิ์อย่างสุดขั้ว และด้วยการฟาดฟันเบา ๆ ปราณกระบี่ก็ทำลายทิวทัศน์โดยรอบทั้งหมด
ตู้ม!
การโจมตีระหว่างทั้งสองปะทะกัน ก่อให้เกิดกระแสพลังงานอันน่าสะพรึงกลัวซึ่งสั่นสะเทือนไปทั่วบริเวณ!
จั่วชิวเฟยหมิงและคนอื่น ๆ คว้าโอกาสนี้ล้อมเฉินซี เพื่อป้องกันไม่ให้เขาได้รับผลกระทบ เฉินซีไม่ปฏิเสธ แต่ก็อดกังวลในใจไม่ได้
เมื่อได้เห็นพลังที่จั่วฉิวเฟิง เว่ยซิง และคนอื่น ๆ ครอบครอง ชายหนุ่มก็รู้สึกหนักใจยิ่ง เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่เขากับหัวเจี้ยนคงจะพลิกสถานการณ์ดังกล่าวได้
เดิมทีเขาตั้งใจจะถ่วงเวลา และรอให้ความช่วยเหลือมาถึง แต่คาดไม่ถึงว่าฝ่ายศัตรูจะอ่านความคิดตนออก และลงมือทันที
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเขาคงจะประสบคราวเคราะห์ ก่อนที่ความช่วยเหลือจะมาถึงเป็นแน่…
ครืน!
บนท้องฟ้า หัวเจี้ยนคงและจงหลีเฟิงปะทะกันอย่างดุเดือด การต่อสู้ระหว่างสองสุดยอดผู้บ่มเพาะกระบี่ในขอบเขตราชันเซียนนั่นช่างน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง จนทำให้ฟ้าดินมืดมัว ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์สูญสิ้นความสว่างไสวทั้งหมด
แม้แต่เฉินซีที่อยู่ในขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้น ยังไม่อาจมองเห็นสถานการณ์ได้อย่างชัดเจน!
โชคดีที่เพียงไม่กี่ลมหายใจ หัวเจี้ยนคงก็พลิกเป็นฝ่ายเหนือกว่า และด้วยการตวัดกระบี่เพียงครั้งเดียว เขาก็ฟันแขนซ้ายของจงหลีเฟิงขาดสะบั้น!
ฟิ่ว!
เลือดสีทองของราชันเซียนไหลริน จงหลีเฟิงที่บาดเจ็บสาหัสโซเซกลับมา
“ฮึ่ม! แค่ขอบเขตเซียนกระบี่ แต่บังอาจใช้กระบี่กับข้า? ช่างรนหาที่ตาย!” หัวเจี้ยนคงก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่แยแส และเพียงแค่ก้าวเดียวก็ก้าวผ่านความว่างเปล่า ปลายกระบี่ชี้ตรงไปที่จงหลีเฟิงที่บาดเจ็บสาหัส!
ฟิ่ว!
ทว่าประกายกระบี่สีเขียวเข้มได้พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า และมันสกัดหัวเจี้ยนคงอย่างทันท่วงที
“ฉีเต้าเซวียน! ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะเข้าฝ่ายนิกายอำนาจเทวะเช่นกัน!” หลังจากที่ต้านการโจมตีด้วยการตวัดกระบี่ หัวเจี้ยนคงจ้องไปในระยะไกลด้วยสีหน้าเย็นชา และร่างที่สวมเสื้อคลุมอีกร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่นั่น ในมือถือกระบี่เซียนรูปทรงจันทร์เสี้ยวที่หลั่งไหลด้วยรัศมีสุกใส ยืนขวางหน้าจงหลีเฟิงที่ได้รับบาดเจ็บก่อนหน้านี้
“ฉีเต้าเซวียน!” นอกจากเว่ยซิงและคนอื่น ๆ แล้ว หัวใจของทุกคนก็สั่นไหวเมื่อได้ยินนามนี้
ฉีเต้าเซวียนคือใคร?
เกรงว่าไม่มีใครในภพเซียนที่ไม่รู้จักเขา เพราะเขาคือ ราชันเซียนวิถีลึกล้ำ หนึ่งในสี่ราชันเซียนผู้ยิ่งใหญ่ที่ได้รับการยอมรับอย่างเปิดเผยในภพเซียน! เขาเป็นผู้ดำรงอยู่สูงสุดที่เทียบเท่ากับราชันเซียนรัตติกาล ราชาเซียนนภาเหมันต์ และราชันเซียนดาราวีรบุรุษ!
บุคคลผู้ยิ่งใหญ่ดังกล่าว กลับเข้าร่วมกองกำลังของนิกายอำนาจเทวะในตอนนี้ ดังนั้นความตกใจที่ทุกคนรู้สึกจึงเด่นชัดมาก
มันยังยากที่จะเชื่ออีกด้วย!
แม้แต่เฉินซีก็อดหวาดกลัวไม่ได้ เพราะการที่นิกายอำนาจเทวะมีบุคคลเช่นราชันเซียนวิถีลึกล้ำเป็นหมาก ความสามารถของนิกายอำนาจเทวะไม่น่าตกใจเกินไปหรือ?
ฉีเต้าเซวียนไม่ได้ปฏิเสธเมื่อตัวตนถูกเปิดโปง แต่ก็ไม่ยอมรับเช่นกัน เขาจู่โจมหัวเจี้ยนคงอีกครั้ง
ในเวลาเดียวกัน จงหลีเฟิงที่แขนซ้ายขาดก็ฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ และโจมตีหัวเจี้ยนคงพร้อมกับฉีเต้าเซวียน
ทันใดนั้น มันกลายเป็นการต่อสู้แบบสองรุมหนึ่ง!
หัวเจี้ยนคงหยุดกล่าววาจาเช่นกัน และดูเหมือนจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความกลัวคือสิ่งใด แม้ต้องเผชิญหน้ากับราชันเซียนสองคนที่มีชื่อเสียงยาวนานในภพเซียน ทว่าเขายังคงยึดมั่นในวิถีของตนเอง และพุ่งตัวไปข้างหน้าพร้อมกับกระบี่ในมือ
การต่อสู้ปะทุขึ้นอีกครั้ง!
แต่เห็นได้ชัดว่าความสนใจของทุกคนที่อยู่รอบข้าง ไม่ได้อยู่ที่การต่อสู้ครั้งนี้
“พวกเจ้ายังลังเลอะไรอยู่หรือ? รีบฉวยโอกาสนี้เพื่อฆ่าไอ้สารเลวนั่นซะ!” เว่ยซิงตะโกนด้วยเสียงทุ้มลึก
ทันทีที่สิ้นคำ มันทำให้สีหน้าของจั่วชิวเฟยหมิงและคนอื่น ๆ เปลี่ยนไป พวกเขาต่างปกป้องเฉินซีโดยพร้อมเพรียงกัน
ในขณะที่ จั่วชิวเฟิงและพรรคพวกกลับเผยรอยยิ้มเย็นชา ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาต่างมีความสุขที่ได้ชมการต่อสู้อันดุเดือดจากระยะไกล
ฟิ่ว! ฟิ่ว!
ร่างในเสื้อคลุมสองคนปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง น่าตกใจที่มันเป็นราชันเซียนอีกสองคน
“ทั้งหมดนี้… ในที่สุดก็จะจบลงสักที!” จั่วชิวเฟิงพึมพำในใจ และหัวใจของเขาก็เต็มเปี่ยมด้วยความสุขกับการแก้แค้นจนไม่อาจบรรยายได้
โครม!
สองราชันเซียนโจมตีร่วมกัน คนหนึ่งเหยียดฝ่ามือขนาดมหึมาที่ปกคลุมท้องฟ้าและห้อมล้อมด้วยรัศมีอันเจิดจ้า มันถาโถมลงมาจากกลางอากาศราวกับภูเขามหึมา
ทันใดนั้น มันก็ปกคลุมจั่วชิวเฟยหมิงและคนอื่น ๆ ไว้อย่างสมบูรณ์
ส่วนอีกคนก็รวบนิ้วเข้าหากัน และชี้ตรงไปข้างหน้า ลำแสงอันพร่างพราวก็พุ่งผ่านท้องฟ้า ก้าวข้ามอุปสรรคของกาลเวลาและมิติ เพื่อเจาะทะลวงเฉินซีอย่างรวดเร็วและเฉียบคม รวดเร็วจนยากจะขัดขวาง
หากการโจมตีครั้งนี้สำเร็จ ไม่ใช่แค่เฉินซีที่เสียชีวิต แม้แต่จั่วชิวเฟยหมิงและคนอื่น ๆ จะต้องถูกทำลายล้างไปสู่ความว่างเปล่าทันที!
“ระวัง!” บนท้องฟ้า สีหน้าของหัวเจี้ยนคงเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาเคลื่อนไหวหมายช่วยเหลือ ทว่าในช่วงเวลาวิกฤตนี้ ร่างที่สวมเสื้อคลุมอีกคนก็พุ่งทะยานเข้ามา ล้อมหัวเจี้ยนคง พร้อมกับฉีเต้าเซวียนและจงหลีเฟิง ทำให้เขาไม่สามารถหลุดพ้นได้!
สิ่งนี้ทำให้สถานการณ์ของเฉินซี จั่วชิวเฟยหมิงและคนอื่น ๆ ตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต!
“ปกป้องเฉินซี ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง!”
ทันใดนั้น จั่วชิวเฟยหมิงคำรามอย่างเกรี้ยวกราด ในขณะที่ทะยานร่างออกไป ร่างกายพลุ่งพล่านด้วยกระแสปราณที่ลุกโชนราวกับมหาสมุทร กลิ่นอายแห่งความอันตรายพวยพุ่งออกมาอย่างบ้าคลั่ง
ในขณะนี้ ราชันเซียนเช่นเขาได้เลือกที่จะระเบิดตัวเองอีกครั้ง!
มันใช้เวลานานในการอธิบายแต่ทุกอย่างเกิดขึ้นในเสี้ยวลมหายใจ นับตั้งแต่พริบตาที่ราชันเซียนทั้งสองเข้าโจมตี จนถึงจุดที่หัวเจี้ยนคงอุทาน และจั่วชิวเฟยหมิงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว ทั้งหมดแทบเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน มันรวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ จนคนอื่นผู้ไม่อาจตอบสนองได้ทัน
สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสถานการณ์ปัจจุบันนั้นอันตรายเพียงใด!
ถึงขั้นที่เฉินซีไม่สามารถหยุดยั้งจั่วชิวเฟยหมิงจากการกระทำทั้งหมดนี้ได้ ความรู้สึกที่ทำอะไรไม่ถูกเช่นนี้ ทำให้ดวงตาของเฉินซีเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดก่ำ ใกล้บ้าคลั่งเต็มที!
ตั้งแต่เริ่มบ่มเพาะมาจนถึงตอนนี้ เขาทุ่มเทวางแผนมาหลายปี ซึ่งทั้งหมดนี้ ไม่ใช่เพื่อแก้แค้นตระกูลจั่วชิว และช่วยเหลือมารดาของเขา จั่วชิวเสวี่ยหรอกหรือ?
แต่เมื่อช่วงเวลานี้มาถึงในที่สุด เฉินซีกลับตระหนักได้ว่า ตนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ใด ๆ ได้! ตอนนี้เขายังอ่อนแอเกินไป ไม่อาจต้านการโจมตีได้แม้แต่ครั้งเดียว และมันถึงขนาดที่ทำได้เพียงเฝ้าดูคนอื่น ๆ ระเบิดพลีชีพเพื่อปกป้องตน!
ทันใดนั้น ความโกรธ ความเสียใจ และความเกลียดชังในใจก็พวยพุ่งถึงขีดสุด!
“ไอ้สารเลว! กล้าดีอย่างไรถึงพยายามฆ่าลูกเขยตระกูลเซวียนหยวนของข้า!?” ในช่วงเวลาวิกฤตและอันตรายนี้ เสียงหยาบกร้านดังก้องไปทั่วฟ้าดิน และหมัดก็มาถึงเร็วกว่าเสียงนี้ ประหนึ่งพุ่งผ่านกาลเวลา และท่วมท้นไปทั้งฟ้าดิน