บทที่ 832 แม่พันธุ์ต้นโพธิ์
พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก!
พระพุทธเจ้าออกโรงแล้ว
ทันทีที่พระอาทิตย์โผล่ขึ้นมาเช่นนี้ สัญญาณเตือนในจิตใจของสวี่ชีอันก็ตื่นตัวขึ้นในฉับพลัน หากลางสังหรณ์ในวิกฤตคือเสียงกริ่งเตือน เช่นนั้นเสียงกริ่งในตอนนี้ก็คงทั้งดังสนั่นทั้งแหลมคมพร้อมกับรสชาติของ ‘ความลนลานและหวาดกลัว’
เร่งเร้าให้เขารีบหนีเอาชีวิตรอดโดยพลัน
นี่เป็นครั้งที่ลางสังหรณ์ในวิกฤต ‘บ้าคลั่ง’ ที่สุดตั้งแต่สวี่ชีอันก้าวเข้าสู่ขั้นเหนือมนุษย์
ทุกเซลล์ในร่างกายของเขาส่งเสียงคำราม กระตุ้นให้เขาวิ่งหนีสุดชีวิต หากเขายังอยู่ที่นี่ก็มีเพียงหนทางแห่งความตายที่รอเขาอยู่
แต่สวี่ชีอันไม่วิ่ง แม้ว่าการพุ่งตัวขึ้นไปบนยอดเขาจะสั้นราวกับแมลงเม่าบินเข้ากองไฟก็ตาม
ระหว่างกระบวนการนี้ เขาตะโกนคำรามจนเสียงแหบแห้ง “หนีไป!”
ร่างธรรมพระมหาไวโรจนะ!
พลังระดับสุดยอด อันดับหนึ่งแห่งร่างธรรมทั้งเก้า
ไม่จำเป็นต้องให้สวี่ชีอันเตือน ในช่วงเวลาที่ร่างธรรมพระมหาไวโรจนะปรากฏขึ้น ผู้แข็งแกร่งระดับเหนือมนุษย์ทุกคนต่างก็รู้สึกถึงหายนะที่กำลังจะมาถึง
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางรีบเก็บหางโดยไม่ลังเล เดิมทีนางอยากจะลากอาซูหลัวท่านพี่ในนามกลับมาด้วย แต่ก็พบว่าเจียหลัวซู่และอาซูหลัวกำลังนั่งขัดสมาธิในเวลาเดียวกัน คนหนึ่งอัญเชิญร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรีออกมา คนหนึ่งมีวงล้อแสงอันเจิดจ้าปรากฏขึ้นที่หลังศีรษะ แสดงถึงสถานะพร้อมสังหาร เข้าสู่สถานะทำสมาธิ
คนในสำนักพุทธมีวิธีการ ‘หลบหลีก’ พลังอันน่าสะพรึงของร่างธรรมพระมหาไวโรจนะ…ในขณะที่ความคิดของสตรีผมสีเงินกำลังพร่างพราว นางก็กลายร่างเป็นเงาสีขาวและพุ่งไปยังที่ห่างไกล ไปทางซุนเสวียนจีและคนอื่นๆ
จ้าวโส่ว หลี่เมี่ยวเจินและนักบวชเต๋าจินเหลียน ทั้งสามรีบมุ่งไปหาซุนเสวียนจีอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่หลี่เมี่ยวเจินกำลังหนีเอาชีวิตรอด นางก็ถือโอกาสโยนเจดีย์พุทธะไปทางอรัญตา
ซุนเสวียนจียกเท้าขึ้นไปเหยียบ จากนั้นค่ายกลส่งตัวก็แผ่กระจายออก ปกคลุมผู้แข็งแกร่งระดับเหนือมนุษย์ทุกคนไว้ด้านใน
มีเพียงเสินซูเท่านั้น หลังจากที่เห็นร่างธรรมพระมหาไวโรจนะ ไม่เพียงแต่ไม่วิ่งไม่หวาดกลัว แต่กลับจมสู่ความบ้าคลั่งราวกับได้รับการกระตุ้นบางอย่าง
สะดือของเขาแยกออกจากกันกลายเป็นช่องขนาดใหญ่ที่โชกเลือดและพร้อมจะกลืนกินทุกสิ่ง เขาหันกลับไปในฉับพลันและส่งเสียงคำรามดังสนั่นไปทางพระอาทิตย์ดวงใหญ่บนยอดเขา
“พระพุทธเจ้า!!”
ต่อมาชั่วครู่ แสงอันเจิดจ้าของร่างธรรมพระมหาไวโรจนะก็เข้าปกคลุมทุกคน ปกคลุมสวี่ชีอัน ปกคลุมเสินซู และปกคลุมพระโพธิสัตว์แห่งสำนักพุทธ
…
ระยะห่างจากอรัญตาสิบลี้ ค่ายกลวงกลมอันเจิดจ้าปรากฏขึ้นบนชั้นบรรยากาศอย่างไม่มีที่มาที่ไป จากนั้น ร่างสีดำจำนวนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นอยู่ใจกลางค่ายกล
ร่างสีดำเหล่านั้นล้มลงบนพื้นราวกับศพที่ไหม้เกรียม ไม่ว่าวิชาส่งตัวจะเดินทางเร็วเพียงใดก็ยังเร็วไม่เท่าแสงอยู่ดี
พวกเขายังคงถูกร่างธรรมพระมหาไวโรจนะสาดส่องในระยะเวลาอันสั้น
มีเพียงสตรีผมสีเงินเท่านั้นที่สามารถประคองสติได้และไม่สลบไสลไป
แต่ตอนนี้นางก็ไม่มีผมสีเงินอีกต่อไป ทั่วทั้งร่างของนางกลายเป็นสีดำไหม้ หางและหูเกลี้ยงเกลาไร้ขนอันฟูนุ่ม ผมสีเงินอันงดงามก็สูญหายไป ทั่วลำตัวมีเพียงรอยไหม้สีแดงที่ปะปนอยู่ในรอยดำ
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางแทบจะไม่สามารถประคองร่างของตนเองได้ ลำคอเรียวของนางอ่อนระทวยพร้อมกับแจกันกระเบื้องเคลือบที่ถูกคายออกมา
อาวุธเวทมนตร์บนร่างของนาง รวมทั้งถุงเก็บของล้วนถูกเผาจนสิ้น มีเพียงแจกันกระเบื้องเคลือบที่เก็บไว้ในท้องเท่านั้นที่ยังคงสภาพสมบูรณ์
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางดึงจุกไม้ก๊อกออก เอียงปากขวดเพื่อกรอกเม็ดยาฟื้นฟูความแข็งแกร่งเข้าไปในปาก
หลังจากที่นางนั่งขัดสมาธินานกว่าสิบวินาที ในที่สุดพลังของนางก็ถูกฟื้นฟูในขั้นต้น
ในเวลานี้ จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางถึงพอที่จะมีพลังในการสำรวจพันธมิตร เพื่อดูว่าใครที่ยังมีชีวิตอยู่และใครที่ตายไปแล้ว
ร่างสีดำเกรียมที่ถือดาบอยู่ในมือคือจ้าวโส่ว มงกุฎขงจื๊อบนศีรษะของเขาถูกเคลือบไปด้วยละอองขี้เถ้าสีดำ ราวกับเพิ่งได้รับการช่วยเหลือออกมาจากกองไฟ กลิ่นอายของจ้าวโส่วเสื่อมถอยลงอย่างมาก พลังชีวิตก็เหลือเพียงน้อยนิด
คนที่มีร่างสูงระดับทั่วไป มองเพียงแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นซุนเสวียนจี แม้ว่าเสื้อผ้าสีขาวจะถูกเผาจนเกรียม แต่บุคลิกธรรมดาของศิษย์อันดับสองของท่านโหราจารย์ท่านนี้เหมือนไก่ในฝูงนกกระเรียนที่ไม่ได้โดดเด่นอะไรเช่นนั้น
ดังนั้นจึงสามารถมองออกได้อย่างรวดเร็ว
ส่วนจินเหลียนและหลานเหลียนแห่งนิกายปฐพีสามารถแยกแยะออกได้โดยง่าย เนื่องจากความแตกต่างทางกายภาพระหว่างชายและหญิง
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเป็นผู้นำในการเดินไปที่เบื้องหน้าซุนเสวียนจี คลำหาบนร่างของเขา หยิบที่จัดเก็บอาวุธเวทมนตร์ที่แตกหักออกมาแล้วฉีกเบาๆ
อาวุธเวทมนตร์และยาอายุวัฒนะร่วงหล่นลงมาเป็นกองท่ามกลางเสียง ‘ซู่ๆ ซ่าๆ’
ขั้นแรกนางกินยารักษาหลายชนิดซึ่งให้ผลลัพธ์แตกต่างกัน จากนั้นก็เดินไปข้างหลี่เมี่ยวเจิน ใช้นิ้วเปิดริมฝีปากของนางออกและป้อนยาเม็ดหนึ่งให้กับนาง
จากนั้นไม่นาน หลี่เมี่ยวเจินก็ตื่นขึ้น นางส่งเสียงร้องคร่ำครวญเบาๆ ด้วยจิตเดิมอันทรงพลังของนาง นางจึงควบคุมสภาพกายเนื้อของตนเองได้อย่างรวดเร็ว ผิวหนังภายนอกส่วนใหญ่ถูกเผาไหม้ อวัยวะภายในได้รับความเสียหาย พลังอันแข็งแกร่งกำลังฆ่าพลังชีวิตอย่างต่อเนื่อง
“เจ้ามีเสื้อผ้าหรือไม่?” จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางถาม
เสื้อผ้าบนร่างของพวกนางถูกเผาจนกลายเป็นผ้าที่ขาดรุ่งริ่ง ซึ่งมันไม่สามารถปกปิดร่างกายได้ แน่นอนว่าด้วยสภาพราวกับซากศพที่ไหม้เกรียมของพวกนางในตอนนี้ จึงไม่หลงเหลืออารมณ์รักของหนุ่มสาวใดๆ อยู่
หลี่เมี่ยวเจินพยักหน้า นางคลำหาในอ้อมแขนครู่หนึ่ง จนพบกับชิ้นส่วนหนังสือปฐพี นางหยิบชุดกระโปรงออกมาสองชุด โยนชุดหนึ่งให้สุนัขจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง และสวมอีกชุดหนึ่งให้กับตัวเอง ไม่นานหลังจากนั้น ภายใต้การช่วยเหลือของพวกนางทั้งสอง ในที่สุดจ้าวโส่วและคนอื่นๆ ก็ฟื้นคืนสติ
นักบวชเต๋าจินเหลียนนั่งขัดสมาธิ ในขณะที่ย่อยพลังของยาก็กล่าวเสียงทุ้มว่า “รีบรักษาบาดแผลเสีย จะได้รีบกลับไปดูสถานการณ์”
จากนั้นเขาก็ถอนหายใจกล่าวว่า “เป็นเช่นนี้ตามที่คาดจริงๆ…”
แผนแรกที่พวกเขากำหนดคือรวบรวมพลังของทุกคนเพื่อสังหารเจียหลัวซู่ ในขณะเดียวกันก็ทดสอบบุคคลนั้นในอรัญตา
อันที่จริงพวกเขาไม่คิดว่าจะสังหารเจียหลัวซู่ได้อย่างราบรื่นด้วยซ้ำไป
แต่ในฉากสุดท้าย พระพุทธเจ้าก็ปรากฏตัวออกมาอย่างที่คาดไว้
หลี่เมี่ยวเจินหวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ก็รู้สึกหวาดกลัวครั้งแล้วครั้งเล่า
“นี่คือพลังที่แท้จริงของระดับสุดยอด…”
เพียงแค่ได้รับแสงสว่างจากพระมหาไวโรจนะเพียงครู่เดียวเท่านั้น นางก็เกือบจะตายไปอย่างไร้ร่องรอย หากไม่ใช่เพราะเคยมีการปรึกษาระหว่างกัน รู้จักวิธีจัดการกับการปรากฏของตัวของร่างธรรมพระมหาไวโรจนะ เกรงว่านางคงตายภายใต้แสงพุทธะอันเรืองรองเสียแล้ว
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซุนเสวียนจีและคนอื่นๆ ก็รู้สึกหวาดผวาเช่นกัน
พวกเขารู้ว่าเมื่อใดที่พระพุทธเจ้าปรากฏตัวออกมาก็ย่อมเป็นการโจมตีที่รุนแรงแน่นอน
แต่การรู้ก็เป็นเรื่องหนึ่ง การได้เห็นระดับสุดยอดลงมือเองอย่างแท้จริงก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
วันนี้พวกเขาถึงตระหนักได้ถึงระยะห่างระหว่างระดับสุดยอดกับระดับเหนือมนุษย์ ที่เป็นเหมือนระยะห่างระหว่างมนุษย์กับมด
จ้าวโส่วได้รับบาดเจ็บสาหัสที่สุด เขาถูกวรยุทธ์สะท้อนกลับและได้รับบาดเจ็บจากร่างธรรมพระมหาไวโรจนะในเวลาไล่เลี่ยกัน ตอนนี้เขาไร้ซึ่งกำลังที่จะต่อสู้อีกต่อไป
แต่จ้าวโส่วก็ยังคงเข้าร่วมการสนทนาอย่างกระตือรือร้น “พวกเจ้าสังเกตเห็นหรือไม่ว่า เมื่อครู่พระโพธิสัตว์แห่งสำนักพุทธ รวมทั้งอาซูหลัวไม่ได้หนีแม้แต่น้อย แต่กลับนั่งสมาธิอยู่ที่เดิม”
หลี่เมี่ยวเจินและคนอื่นๆ ก็สังเกตเห็นปรากฏการณ์นี้เช่นกัน แต่ก็ไม่สามารถหาคำตอบได้
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางกล่าวว่า “ภายใต้แสงพุทธะที่สาดส่อง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนกลายเป็นเถ้าถ่าน มีเพียงลักษณะธรรมเท่านั้นที่จะคงอยู่ตลอดไป”
จ้าวโส่วเข้าใจแล้ว “ดังนั้นผู้ที่บำเพ็ญพุทธถึงจะสามารถอยู่รอดภายใต้ร่างธรรมพระมหาไวโรจนะอย่างนั้นรึ?”
เขาดูเหมือนจะจับข้อบกพร่องของพระมหาไวโรจนะได้
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางก็ดูเหมือนจะมองเห็นความคิดภายในจิตใจของเขา นางจึงกล่าวเสียงเบาว่า “เหตุผลเป็นเช่นนั้น แต่ว่า หากพระพุทธเจ้าไม่ปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอยู่ ต่อให้เจ้าบำเพ็ญถึงพระโพธิสัตว์ขั้นหนึ่งก็ไม่อาจอยู่รอดภายใต้ร่างธรรมพระมหาไวโรจนะได้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับพระประสงค์ของพระพุทธเจ้า”
นักบวชเต๋าจินเหลียนหรี่ตาลงพลางกล่าวว่า “นี่หมายความว่าในร่างธรรมพระมหาไวโรจนะเมื่อครู่ไม่ได้ปะปนกับพระประสงค์ของพระพุทธเจ้าใช่หรือไม่ เป็นเพียงการปลดปล่อยพลังอานุภาพตามสัญชาตญาณของร่างธรรม มิเช่นนั้นอาซูหลัวก็ไม่มีเหตุผลที่จะมีชีวิตรอด และนี่ก็แสดงว่า พระประสงค์ของพระพุทธเจ้าไม่ค่อยดีนัก”
เมื่อกล่าวจบแล้ว ทุกคนก็หันไปมองอรัญตาพร้อมกันและรีบดูดซับฤทธิ์ยาอย่างเงียบๆ
การโจมตีอรัญตาที่ซึ่งมีระดับสุดยอดรักษาการณ์ด้วยตนเองนั้นเป็นความยากลำบากที่ถูกคาดไว้ก่อนแล้ว
ทันทีที่ร่างธรรมพระมหาไวโรจนะปรากฏตัวออกมา เทพเจ้าและปีศาจย่อมถอยหนี
ข้อได้เปรียบที่ได้มาอย่างยากลำบากเมื่อครู่ถูกเผาจนราบคาบภายใต้การโจมตีของพระพุทธเจ้า
แต่การออกโรงของพระพุทธเจ้าก็เป็นการยืนยันการคาดเดาก่อนหน้านี้ของพวกเขาได้พอดี
…
บนที่ราบอันห่างไกลจากอรัญตา ริมธารน้ำที่คดเคี้ยว เจ้าแห่งวัสสานน่าหลันเทียนลู่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ริมธารน้ำ ทั่วทั้งร่างวูบวาบไปด้วยความแวววาวของเลือด
ร่างของเขาไหม้เกรียมเช่นกัน ผิวหนังส่วนใหญ่ถูกเผาไหม้ ขณะนี้เขากำลังรักษาบาดแผลด้วยการใช้ ‘วิชาวิญญาณโลหิต’ ของระบบพ่อมด
“ฆ่าเจียหลัวซู่ไม่ตาย ต้องรับผิดชอบความไว้วางใจของพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่…”
คำแนะนำที่ซ่าหลุนอากู่ให้เขาคือ ‘แล่นเรือไปตามลม ปรับตัวไปตามสถานการณ์’
ภายนอกเขาช่วยสำนักพุทธฆ่าสวี่ชีอัน แต่หากเจียหลัวซู่เต็มไปด้วยภัยพิบัตินองเลือดที่คุกคามชีวิต เช่นนั้นก็ต้องให้การช่วยเหลือ
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร สำนักพ่อมดก็ล้วนได้รับประโยชน์
“ข้าอยู่ไกลจากอรัญตามานานแล้ว แต่ก็ยังได้รับบาดเจ็บจากร่างธรรมพระมหาไวโรจนะ พลังที่พระพุทธเจ้าสามารถปลดปล่อยออกมาได้ดูเหมือนจะสูงกว่าเทพพ่อมด”
“ไอ้พวกกลุ่มของจ้าวโส่วหลบหนีไปเร็วจริงๆ น่าเสียดายที่ข้าได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่สามารถตักตวงผลประโยชน์ตรงนี้ได้”
“ตอนนี้เสาต้นเดียวอย่างสวี่ชีอันหรือจะค้ำตึกหลังใหญ่ได้ เป็นโอกาสดียิ่งนักที่จะฆ่าเขา แต่ไม่รู้ว่าพวกเขายังมีทางหนีทีไล่อะไรอีกหรือไม่…”
…
บริเวณลำธารสักแห่งใกล้ๆ อรัญตา เจดีย์พุทธะลอยอยู่กลางอากาศ ร่างธรรมที่มีรูปร่างอ้วนท้วมเล็กน้อยนั่งขัดสมาธิถือแจกันหยกอยู่บนยอดเขา สาดแสงสีทองเรืองรองออกมา ใจกลางแสงสีทองคือหมีถูกย่างตัวหนึ่ง
ภายใต้การรักษาของร่างธรรมหมอยา เซลล์ผิวที่ตายแล้วของหมีย่างค่อยๆ ถูกผลัดออก เติบโตเป็นเนื้อสีแดงอ่อน กลายเป็นสัตว์ร้ายที่เปลือยล่อนจ้อน
หลังจากนั้นดวงตากลมก็เบิกโพลงและฟื้นขึ้นมาในทันที
ราชาหมีมองไปรอบๆ ตนเอง ฉีกชิ้นเนื้อที่ถูกไฟไหม้ออกมาแผ่นหนึ่งแล้วใช้จมูกสูดดมกลิ่น จากนั้นก็กล่าวพึมพำว่า “หอมดีจัง ข้าอยากกินจวนจะอดใจไม่ไหวแล้ว…”
นี่คือเสียงของสวี่ชีอัน
ในเจดีย์พุทธะที่หลี่เมี่ยวเจินโยนออกไปมีจิตวิญญาณของสวี่ชีอันอยู่เล็กน้อย
จุดประสงค์ในการโยนเจดีย์พุทธะของนางนั้น ไม่เพียงแต่จะช่วยชีวิตราชาหมี แต่ยังเพื่อส่งจิตวิญญาณของสวี่ชีอันออกไป ใช้พลังของซินกู่ควบคุมราชาหมีไปตรวจสอบที่สุสานสงฆ์
นี่คือแผนที่สองของสวี่ชีอัน
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางโยนราชาหมีที่มีพลังต่อสู้เป็นอันดับสองนับจากหลังไปหน้าไปที่อรัญตาก็เพื่อปูทางไปสู่แผนที่สองนี้
ร่างหลักของสวี่ชีอันยังคงสกัดกั้นพระโพธิสัตว์ขั้นหนึ่งอยู่ โดยแอบใช้ซินกู่ควบคุมราชาหมีให้ไปสถานที่ปิดผนึกเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ สร้างความสับสนให้ศัตรูที่อยู่ตรงหน้า โดยการโจมตีอย่างคิดไม่ถึงจากด้านข้าง
“โชคดีที่มีเจดีย์พุทธะอยู่ มิเช่นนั้นราชาหมีคงจะทอดกายนอนหลับอยู่ที่อรัญตาตลอดกาล” สวี่ชีอันกล่าวเสียงเบา
“ท่านอาวุโสถ่าหลิง พระโพธิสัตว์ฝ่าจี้อยู่ที่สุสานสงฆ์หรือไม่ มาดูคำตอบกันภายหลัง”
เจดีย์พุทธะสั่นสะเทือน ‘หึ่งๆ’ ราวกับตื่นเต้นอย่างมาก เสียงสั่นไหวของภิกษุเฒ่าถ่าหลิงดังเข้าไปในโสตประสาทของสวี่ชีอัน “อาตมารอคอยวันนี้มานานกว่าสามร้อยปีแล้ว ขอบคุณโยมที่เติมเต็มความปรารถนา”
นี่คือเรื่องที่สวี่ชีอันเคยสัญญากับมันไว้
ตอนนั้นเพื่อโน้มน้าวให้เจดีย์พุทธะละทิ้งกฎเกณฑ์และจัดการกับสำนักพุทธ สวี่ชีอันสัญญาว่าจะตามหาพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้แทนมัน
เมื่อรับปากแล้วมีค่าดั่งทองพันชั่ง
“ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกัน!”
สวี่ชีอันโบกมือลา ดันตัวเองลุกขึ้นยืน ปีนขึ้นไปอย่างรวดเร็วด้วยร่างหมีที่หนักอึ้ง มุ่งหน้าไปทางสุสานสงฆ์ทางฝั่งตะวันตก
สุสานสงฆ์ไม่ได้อยู่บนยอดเขาหลักของอรัญตา แต่อยู่บนยอดเขาสูงลูกหนึ่งทางใต้ ที่นั่นไร้ซึ่งผู้คนและสิ่งมีชีวิตใดๆ
ยอดเขาถูกปกคลุมด้วยหิมะสีขาวโพลน อากาศเย็นยะเยือก สวี่ชีอันใช้เวลาไม่นานก็ขึ้นไปถึงยอดเขาและพบเข้ากับวัดโบราณ
ผนังด้านนอกของวัดโบราณมีความยาวต่อเนื่องกัน มีรอยด่างสีแดงแซมอยู่ ประตูหลักผุพังไปนานแล้ว ไม่รู้ว่ากี่ปีแล้วที่ไม่มีใครมาเยี่ยมเยียน
อาซูหลัวบอกว่า สุสานสงฆ์เป็นสถานที่ที่พระภิกษุผู้มีชื่อเสียงจากทุกยุคสมัยกลับมาหลังจากมรณกรรมแล้ว และยังเป็นสถานที่ปลีกวิเวกของพระพุทธเจ้าอีกด้วย
นับตั้งแต่พระพุทธเจ้าประกาศปลีกวิเวกเมื่อห้าร้อยปีก่อน สุสานสงฆ์ก็กลายเป็นสถานที่ต้องห้ามของอรัญตา นอกจากพระโพธิสัตว์เพียงไม่กี่องค์ ก็ไม่มีใครสามารถมาที่นี่ได้
หากไม่ใช่เพราะการแอบมาเยี่ยมเยียนของพระอรหันต์ตู้เอ้อร์ในตอนนั้น พระพุทธเจ้าก็คงพ้นจากความลับที่ถูกปิดไว้และไม่รู้ว่าจะถูกค้นพบเมื่อใด
แน่นอนว่าเสียงร้องขอความช่วยเหลือที่น่าสงสัยของพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้ก็เป็นเช่นนี้
สวี่ชีอันเดินเหยียบไปบนหิมะผ่านประตูเข้าไปในลาน มุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของสุสานสงฆ์ ระหว่างทางมีเจดีย์สูงเท่ากับความสูงของคนสองคนอยู่เรียงราย มันมีสภาพผุกร่อนและเปื้อนไปด้วยคราบแห่งกาลเวลา มีต้นโพธิ์ปลูกอยู่ข้างเจดีย์
ตามคำบอกเล่าของอาซูหลัว ต้นโพธิ์ในสุสานสงฆ์ล้วนสืบพันธุ์มาจากต้นแม่พันธุ์ในตอนนั้น
สวี่ชีอันยังคงเดินลึกเข้าไปตามแผ่นกระเบื้องหินที่ ‘จม’ อยู่ใต้โคลน ไม่นานนัก ต้นไม้โบราณก็ปรากฏที่เบื้องหน้า ลำต้นของมันไม่สูงนัก แต่กิ่งก้านสาขายาวออกมาหลายสิบฟุต ลำต้นมีปมที่คดเคี้ยวและมีเถาวัลย์ห้อยลงมาจำนวนมาก
ล่างโคนต้นไม้ถูกปกคลุมไปด้วยใบไม้สีเหลืองที่เหี่ยวเฉา ซ้อนกันเป็นชั้นๆ ทำให้รู้สึกถึงบรรยากาศที่ผ่านเวลามาเนิ่นนาน
แม่พันธุ์ต้นโพธิ์!
ดวงตาอันเป็นประกายของสวี่ชีอันหยุดลงที่กองกรวดหินข้างๆ ต้นแม่พันธุ์
ปิดผนึกของปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ถูกทำลายแล้วตามคาดจริงๆ…จิตใจของสวี่ชีอันสั่นสะเทือน
อาซูหลัวเคยบอกเรื่องนี้แล้ว แต่การเห็นด้วยตาตนเองก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เขาเดินเข้าไปใกล้ต้นโพธิ์เล็กน้อยในขณะที่ยังมีเจดีย์พุทธะอยู่บนศีรษะ กิ่งก้านและใบไม้ที่หนาพอจะปิดบังแสง ทำให้รู้สึกเศร้าหมองอย่างไม่มีเหตุผล
เวลานี้เอง เสียงร้องขอความช่วยเหลืออันคลุมเครือก็ดังเข้ามาในหูของเขา
“ช่วยข้าด้วย ช่วยข้าด้วย…”
……………………………………………………