บทที่ 554 อวดดีและเย่อหยิ่ง
ในฐานะสำนักชั้นหนึ่งในเจียงโจว วังเมฆาสีชาดจึงตั้งอยู่ไม่ไกลจากเจียงโจวนัก ดังนั้นแม้ข่าวความตายของจานเฮ่อเพิ่งเปิดเผย แต่คนของวังเมฆาสีชาดก็สามารถมาเยือนในเวลาสั้น ๆ
เพราะชายชราคอยชี้เส้นทาง อู๋ฝานจึงขับรถอยู่ราวหนึ่งชั่วโมงกว่าจนมาถึงป่าหนาทึบ
“ที่ตั้งสำนักอยู่ในป่านี้?” อู๋ฝานเอ่ยถาม
“ใช่” เนื่องจากตนเป็นคนนำทางอีกฝ่ายมาจนถึงที่นี่ ชายชราจึงไม่มีความคิดปิดบังอะไรอีก กระทั่งหวังให้อู๋ฝานไปถึงที่หมายโดยเร็ว เพื่อที่จะได้รับความตายอันน่าสังเวช
“งั้นก็ไปกันต่อ” อู๋ฝานคว้าคอเสื้ออีกฝ่ายอีกครั้งหนึ่งก่อนจะลากตัวเข้าไปในป่า เรี่ยวแรงของชายหนุ่มมีมหาศาล แม้ต้องแบกคนไปด้วยก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกเหนื่อยล้าแต่อย่างใด
เพราะเดินทางเกือบจะถึงที่ตั้งสำนัก สภาพอันน่าอับอายเช่นนี้มีแต่จะยิ่งสร้างความเสื่อมเสีย ชายชราจึงตะโกนเสียงดัง “ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้ ฉันเดินเองได้!”
“หยุดพูดมากได้แล้ว!” อู๋ฝานตบศีรษะอีกฝ่ายอีกครั้งหนึ่ง
ชายชราพยายามดิ้นรน แต่ไม่อาจหลุดพ้นออกไปได้ มือของอู๋ฝานเป็นประหนึ่งห่วงโซ่เหล็กที่พันธนาการเอาไว้แน่น ท้ายที่สุดเขาจึงทำได้เพียงยอมแพ้และยอมรับชะตากรรม
ภายใต้การนำทางของชายชรา อู๋ฝานที่เดินอยู่เกือบครึ่งชั่วโมงก็ได้เห็นสิ่งปลูกสร้างแนวโบราณตรงหน้า
ต้องกล่าวว่าสำนักเหล่านี้มักเลือกสถานที่ตั้งกันเป็นอย่างดี ไม่ว่าสำนักใดต่างก็ซ่อนตัวอย่างเร้นลับ ไม่ว่าจะหอคันธะสงัดหรือว่าวังเมฆาสีชาดต่างก็เป็นเช่นเดียวกัน
“นั่นใคร?!”
อู๋ฝานมาถึงรอบนอกของที่ตั้งสำนักพร้อมหิ้วร่างชายชรามาด้วย ขณะนี้เองที่ศิษย์สองคนของวังเมฆาสีชาดกระโดดลงมาจากต้นไม้ใหญ่เพื่อขวางเส้นทาง เห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่ถูกวางตัวเอาไว้เฝ้าระวังพื้นที่
“ผู้อาวุโสสวี?”
“ผู้อาวุโสสวี ท่านเป็นอะไรไปครับ?”
ก่อนอู๋ฝานจะเอ่ยคำใด คนทั้งสองที่เห็นชายชราในมือของอู๋ฝานก็เผยสีหน้าและท่าทีประหลาดใจกันออกมา
ผู้อาวุโสสวีเผยสีหน้าท่าทีอับอาย ยามนึกว่าตนเองมีสถานะสูงส่งในสำนักและไม่มีศิษย์คนใดกล้าเสียมารยาทด้วย ทว่าขณะนี้ตนเองกลับกำลังเผยสภาพอันชวนอับอายให้เห็น นับเป็นความน่าขายหน้าจนแทบมุดแผ่นดินหนี!
“ปล่อยผู้อาวุโสสวีเดี๋ยวนี้!”
ศิษย์ทั้งสองของวังเมฆาสีชาดตะโกนด้วยโทสะใส่อู๋ฝาน ในขณะเดียวกันก็ยังยื่นมือเข้ามาหมายจะชิงตัวชายชราจากมือของชายหนุ่ม
อู๋ฝานก้าวออกไปก่อนจะเหวี่ยงคนทั้งสองกลางอากาศ ศิษย์ทั้งสองของวังเมฆาสีชาดพลันได้เห็นท้องฟ้าโดยไม่รู้ตัว ในขณะเดียวกันนี้ชายหนุ่มก็ต่อยออกมาอย่างกะทันหัน เพียงหนึ่งหมัดก็สามารถเล่นงานคนทั้งสองจนร่างกระเด็น
“อั่ก!”
ผู้อาวุโสสวีที่ไม่ทันเตรียมใจกับการลงมือของอู๋ฝาน ทั้งยังบาดเจ็บอยู่ก่อนแล้ว ขณะนี้เขาอยู่กลางอากาศจึงยิ่งยากจะรักษาสมดุลร่างกาย ไม่แปลกหากจะแผดร้องออกมาจนเสียงหลง
“ตะโกนทำไม? เป็นถึงผู้อาวุโสวังเมฆาสีชาด ร้องแบบนี้ไม่น่าอายรึไงกัน?” ขณะผู้อาวุโสสวีร่วงหล่นลงมา อู๋ฝานก็คว้าตัวเอาไว้พร้อมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงค่อนแคะ
ผู้อาวุโสสวีหน้าแดงก่ำ พฤติกรรมเมื่อครู่นี้มันเกินจะควบคุมได้ แต่เมื่อนึกย้อนกลับไปก็พบว่าน่าอับอายจริง ๆ
อู๋ฝานยังคงหิ้วร่างผู้อาวุโสสวีมุ่งหน้าเดินทางต่อไป ไม่แม้กระทั่งหันมองยังศิษย์วังเมฆาสีชาดทั้งสองคนที่นอนร้องโอดโอยอยู่กับพื้น
บริเวณรอบนอกของที่ตั้งสำนักย่อมมีการวางกำลังลาดตระเวนเอาไว้ ระหว่างทางที่อู๋ฝานเดินมาต้องต่อสู้ไปแล้วไม่ต่ำกว่าหกครั้ง จนสุดท้ายพาผู้อาวุโสสวีเดินทางมาถึงลานกว้างสำนักที่วังเมฆาสีชาดตั้งอยู่ได้
อู๋ฝานที่ลงมือมาตลอดทางทำให้เหล่าศิษย์วังเมฆาสีชาดตื่นตัว เมื่อพาผู้อาวุโสสวีมาถึงลานกว้างที่มีคนอยู่เต็มแน่น ก็เห็นบริเวณหน้าลานกว้างมีกลุ่มคนที่มีออร่าแข็งแกร่งกว่าคนอื่นอย่างเห็นได้ชัดอยู่
“ตึง!”
อู๋ฝานโยนร่างผู้อาวุโสสวีลงกับพื้นประหนึ่งทิ้งขยะข้างทาง ก่อนจะยกมือขึ้นเรียกกลุ่มคนตรงหน้าพลางตะโกน “อู๋ฝานยินดีที่พบคนของวังเมฆาสีชาดทุกคน!”
“แกคืออู๋ฝาน?” ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ตรงกลาง ทั้งยังเป็นผู้ที่มีออร่าแข็งแกร่งและโดดเด่นที่สุดในกลุ่มคนเอ่ยถามขึ้นมา
“ใช่แล้วเจ้าวังเมิ่ง” อู๋ฝานตอบรับ
“โอ้? รู้จักฉันด้วย?” ชายคนที่ยืนตรงกลางคือเจ้าวังเมฆาสีชาด เมิ่งข่าย
“ก็เคยได้ยินมา” อู๋ฝานพยักหน้าตอบ
“ไม่นึกว่าแม้ไม่ได้ออกไปโลกเบื้องหน้าหลายปี ก็ยังมีคนรู้จักฉันคนนี้อยู่ด้วย” เมิ่งข่ายตอบกลับ
แท้จริงแล้วอู๋ฝานทราบเพราะใช้วิชาตรวจสอบกับอีกฝ่าย เพราะวิชาตรวจสอบไม่ได้ทำให้ทราบเพียงชื่อ แต่ยังทำให้ทราบถึงข้อมูลอื่นของอีกฝ่ายด้วย
เมิ่งข่ายคนนี้ไม่ใช่ขอบเขตแปรสภาพขั้นต้นเหมือนที่หลิ่วเหยียนเอ๋อร์บอก แต่เป็นขอบเขตแปรสภาพขั้นกลาง!
แต่หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ก็กล่าวเอาไว้แล้ว ว่ามันเป็นข้อมูลที่เธอตรวจสอบก่อนจะมาเรียนมหาวิทยาลัยที่เจียงโจว หรือก็คือเมื่อราวสามปีก่อน ช่วงนั้นเมิ่งข่ายน่าจะยังอยู่ที่ขอบเขตแปรสภาพขั้นต้น แต่สามปีให้หลังมีความก้าวหน้าขึ้น ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่ต้องประหลาดใจแต่อย่างใด
“ถ้ารู้จักฉัน แกก็ควรจะรู้ว่าฉันจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง!” เมิ่งข่ายพลันเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ใครก็ตามที่หาเรื่องวังเมฆาสีชาด มันจะไม่อาจรอดชีวิตไปได้! แกก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น!”
“โอ้ แล้วเจ้าวังเมิ่งคิดทำยังไงต่อกันล่ะ?” อู๋ฝานเอ่ยถาม
“จงยอมรับความตายซะ” เมิ่งข่ายกล่าวตอบกลับมา “แล้วฉันจะเหลือศพเอาไว้ให้ไปทำพิธีก็แล้วกัน”
“เหอะ!” หลังได้ยินคำพูดของเมิ่งข่าย อู๋ฝานถึงกับต้องสบถออกมา “เจ้าวังเมิ่งช่างมีเมตตาดีจริง ๆ ฉันต้องรู้สึกซาบซึ้งด้วยไหม? วังเมฆาสีชาดวางตัวเย่อหยิ่งเหมือนที่คนพูดกันไม่มีผิด แต่เรื่องครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าวังเมฆาสีชาดเป็นฝ่ายสร้างปัญหาก่อน ที่ฉันทำก็แค่ตอบโต้ ทว่าพอเป็นมุมมองของทางนั้นกลายเป็นว่าฉันทำผิดงั้นสิ?”
“ใครผิดไม่ใช่ประเด็น” เมิ่งข่ายตอบกลับ “รู้แค่ว่าแกสังหารคนของวังเมฆาสีชาด และยังเป็นผู้อาวุโสนอกสำนัก หรือจะบอกว่าแกไม่ได้ฆ่าจานเฮ่อ! แต่เรื่องแค่นั้นก็ไม่ได้ทำให้ฉันให้ค่าอะไรกับคนอย่างแก ต่อให้ไม่นับเรื่องฆ่าผู้อาวุโสและศิษย์ในสำนัก ตอนนี้การที่แกกล้ามาอวดดีถึงที่นี่ อาศัยแค่เรื่องนี้ก็สมควรตายแล้ว!”
เมิ่งข่ายจ้องอู๋ฝานด้วยสายตาเย็นยะเยือก “ความยิ่งใหญ่ของวังเมฆาสีชาดไม่ใช่แค่คำเล่าขาน!”
“ตอนแรกฉันก็คิดอยากจะพูดคุยว่าจะคลี่คลายเรื่องราวนี้ด้วยสันติยังไงดี แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้คงเป็นไปไม่ได้แล้ว” อู๋ฝานตอบกลับ
“นับตั้งแต่แกเป็นศัตรูกับวังเมฆาสีชาด ทุกเรื่องก็ไม่อาจคลี่คลายได้หากปราศจากซึ่งความตายแล้ว! ไม่ว่าเป็นเบื้องบนหรือเบื้องล่างวังเมฆาสีชาดก็จะไม่ละเว้นคนอย่างแก ยังไม่พูดถึงเรื่องที่แกทำให้อำนาจในเจียงโจวของพวกเราเสียหาย ดังนั้นแกต้องตาย!” เมิ่งข่ายตอบกลับด้วยเสียงเย็นยะเยือก
“โชคร้ายที่ฉันไม่ได้มีงานอดิเรกตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ” อู๋ฝานตอบกลับ “จะฆ่าฉันงั้นเหรอ? ได้ ทำได้ก็เข้ามาลงมือด้วยตัวเอง ถ้ามีความสามารถพอน่ะนะ!”
“อวดดี!” เมิ่งข่ายตะโกนตอบ
ตอนนั้นเองบรรดาศิษย์วังเมฆาสีชาดต่างก็ไม่พอใจกันขึ้นมา พวกเขากระทั่งแสดงท่าทีกระหายพร้อมจะเข้ามาเล่นงานเพื่อสังหารอู๋ฝาน
ไม่นานอู๋ฝานก็ตกอยู่ในวงล้อมของศิษย์วังเมฆาสีชาด สีหน้าท่าทีของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย กระทั่งมองเมิ่งข่ายด้วยท่าทีสงบ “เดี๋ยวก็จะรู้ว่ามันเป็นแค่ความอวดดีจริงรึเปล่า”
“ท่านเจ้าวังไม่จำเป็นต้องลงมือ ข้าจัดการเอง!” ชายชราผู้ที่ยืนข้าง ๆ เมิ่งข่ายก้าวออกมาจ้องตากับอู๋ฝาน