สืบแค้นคุณหนูสวมรอย – ตอนที่ 313 เทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงใกล้มาถึง

สืบแค้นคุณหนูสวมรอย

ตอนที่ 313 เทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงใกล้มาถึง

เครื่องบูชาที่น้ากุ้ยเตรียมมามีขนมและผลไม้สด ยังมีสุราอีกกาหนึ่ง ผลไม้กับสุราซู่จิ่ว[1]ก็แล้วไป แต่ขนมที่ทำมาอย่างประณีตงดงาม เพียงพอจะแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของคนที่ทำขนมเหล่านี้

ซินโย่วได้เห็นขนมแป้งทอดทรงก้นหอยที่ชื่อว่า ซูโหยวเป้าหลัว (ทำจากนมวัวหมัก) ในกองขนมตรงหน้า นี่คือขนมที่ท่านแม่ชอบกินที่สุด เพียงแต่น่าเสียดายนมวัวเก็บได้ไม่นาน ในหุบเขากินได้ไม่บ่อยนัก

“ฮองเฮา บ่าวมาเยี่ยมพระองค์แล้ว” น้ากุ้ยแนบหน้าผากติดพื้นพึมพำเบาๆ

น้ำตารินไหลอาบสองแก้ม หยดลงบนพื้นเยียบเย็นดังน้ำแข็ง เห็นชัดว่ายังไม่ถึงช่วงอากาศหนาว แต่กลิ่นอายเย็นเยียบกลับจู่โจมทะลุถึงหัวใจ

ซินโย่วอยู่เป็นเพื่อนเงียบๆ หางตาอดเปียกชื้นไม่ได้

เป็นนานก่อนน้ากุ้ยจะลุกขึ้น ขอให้ซินโย่วพานางไปเคารพศพที่เหลือ

โลงศพสีดำสิบกว่าใบวางอยู่ในห้องโถงอีกห้องหนึ่ง แม้มีคนเฝ้า แต่ด้านในก็เงียบสงัด

น้ากุ้ยน้ำตาไหลรินเซ่นไหว้เสร็จ มือที่กำแน่นหลายครั้งก็คลายออก ในที่สุดจึงได้มีความกล้าเอ่ยถามขึ้น “คุณชายซิน ไม่ทราบว่าโลงไหนคือฉางซย่า ฉางซย่าเป็นน้องสาวแท้ๆ ของบ่าว”

ฉางซย่าก็คือชื่อของน้าซย่า

ซินโย่วนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นเบาๆ “แยกแยะไม่ได้แล้ว”

ตอนนั้นนางประสบเหตุการณ์ใหญ่กะทันหัน นอกจากฝังท่านแม่ง่ายๆ แล้ว ไม่มีเรี่ยวแรงกำลังฝังผู้อาวุโสที่เหลือทีละศพ

ความจริงน้ากุ้ยก็เตรียมใจไว้แล้ว เพียงแต่เพราะโลงวางเรียงกันทำให้นางมีความหวังเล็กๆ พอได้ฟังคำพูดของซินมู่ น้ำตาก็ร่วงหยดลงมาอีกครั้ง

ซินโย่วไม่รู้ควรเอ่ยปลอบใจเช่นไร ได้แต่เม้มปากเอ่ยคำว่า “ขอโทษ”

“คุณชายอย่าได้กล่าวเช่นนี้” น้ากุ้ยปาดน้ำตา ฝืนยิ้มทีหนึ่ง “เช่นนี้ก็ดีมากแล้ว…ฉางซย่าชอบความครึกครื้นที่สุด ทุกคนได้อยู่ร่วมกัน นางย่อมมีความสุข…”

ซินโย่วอดยื่นมืออกไปกุมมือน้ากุ้ยไม่ได้

หญิงผู้นี้เคยมีมือเนียนละเอียดคู่หนึ่ง แต่เพราะกาลเวลาทำให้เริ่มมีความหยาบกร้าน แต่ยังคงทำอาหารที่ทำให้คนน้ำลายสอได้ เป็นอาหารรสเลิศที่มีเฉพาะในบ้านของซินโย่ว

“น้ากุ้ย”

น้ากุ้ยสะดุ้ง หลุดถามออกมาว่า “คุณชายเรียกบ่าวว่าอันใดนะเจ้าคะ”

“ข้าได้ฟังน้าซย่าเล่าว่านางมีพี่สาวคนหนึ่ง ข้าควรเรียกท่านว่าน้ากุ้ย”

“ฉางซย่าบอกหรือ…” น้ำตาน้ากุ้ยรินไหลอย่างไม่อาจระงับ

เงาร่างหนึ่งเดินเข้ามา แววตาซินโย่ววูบไหวเล็กน้อย

น้ากุ้ยมองตามสายตานางไปก็เห็นเฮ่อชิงเซียว

“ท่านโหว ท่านมาได้อย่างไรเจ้าคะ”

“ข้ามาเคารพพระศพฮองเฮา คิดว่าน้ากุ้ยน่าจะอยู่ที่นี่” เฮ่อชิงเซียวพูดไปก็มองไปทางซินโย่วไป

“ใต้เท้าเฮ่อ”

“ซินไต้จ้าวโปรดระงับความเศร้า มีเรื่องในวัดร้างมาหารือ ข้าอยากคุยกับท่านสักครู่”

น้ากุ้ยได้ยินว่าทั้งสองคนต้องการคุยเรื่องสำคัญ ก็รีบขอตัวออกไป

เฮ่อชิงเซียวไม่ได้รีบเอ่ยกับซินโย่ว แต่จุดธูปสามดอกเคารพศพพวกน้าซย่าก่อน

ซินโย่วนำเขาไปยังโถงบุปผาที่พูดคุยกับขุนพลไป๋เมื่อครู่ สั่งให้บ่าวยกน้ำชาถอยออกไปก่อน

เฮ่อชิงเซียวไม่ได้แตะต้องน้ำชาตรงหน้า คิดไตร่ตรองแล้วก็เอ่ยว่า “ใต้เท้าเติ้งยอมรับผิดแล้ว”

“เร็วเพียงนี้หรือ”

มุมปากเฮ่อชิงเซียวแย้มยกเล็กน้อย “คนสถานะเช่นเขา ได้รับการดูแลอย่างดีจนเคยชิน เผชิญกับการสอบสวนของสามศาล บางทียังอาจปิดปากสนิทได้ แต่มาถึงกองกำลังองครักษ์จิ่นหลิน ทนแส้โบยสามทีได้ก็นับว่ามีความมุ่งมั่นน่าตกใจมากแล้ว”

หลายคนล้วนคิดว่ายามเผชิญกับทัณฑ์ทรมานจะอดทนจนตัวตายได้ แต่ความจริงยืนหยัดได้ไม่นานนัก ดังนั้นคนที่ยอมตายก็ไม่ยอมสยบจึงหาได้ยากยิ่ง และย่อมได้กลายเป็นวีรบุรุษที่มีชื่อและไร้ชื่อ

“เขาว่าอย่างไร”

“เขาบอกว่าการมีอยู่ของเจ้าช้าเร็วย่อมทำให้แผ่นดินวุ่นวาย กำจัดไปจึงจะสามารถปกป้องราชวงศ์ต้า ซย่าให้ยืนยงยาวนานได้”

ซินโย่วแค่นเยาะ “หากไม่รู้ ยังคิดว่าราชวงศ์ต้าซย่าเป็นของตระกูลเขา”

เฮ่อชิงเซียวนิ่งเงียบลง “หากราชวงศ์ต้าซย่าเป็นของตระกูลเขา เขาก็คงไม่คิดเช่นนี้”

“เช่นนั้นคดีนั้นก็ใกล้จะจบลงแล้วหรือ”

เฮ่อชิงเซียวส่ายหน้า “กลับกัน นี่เพียงแค่เริ่มต้น ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทให้ข้าตรวจสอบขุนนางบางคน สิบกว่าปีมานี้คนที่เกี่ยวข้องกับขุนนางเก่าแก่พวกนี้ไม่รู้เท่าไร ตอนนี้ใต้เท้าเติ้งถูกจับก็เป็นโอกาสที่จะจัดการพอดี…”

เฮ่อชิงเซียวพูดด้วยความรู้สึกอึดอัด ความจริงฮ่องเต้ซิงหยวนตี้แอบส่งสัญญาณบอกเขาแล้วว่าจัดการคนที่จัดการได้ ปลดตำแหน่งคนที่ปลดได้ สังหารคนที่สังหารได้

ซินโย่วฉลาดหัวไวเพียงใด ได้ฟังก็นิ่งเงียบไปทันที

บรรดาคนที่เกี่ยวข้องกับใต้เท้าเติ้งถูกลงโทษไปด้วย สำหรับนางแล้วนับว่าเป็นผลดี แต่หลังกลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้ง บรรดาขุนนางและชนชั้นสูงไม่กล้าคับแค้นใจต่อฮ่องเต้ แต่กลับจะนำไฟโทสะทั้งหมดมาลงที่ใต้เท้าเฮ่อ วันหน้าในหน้าประวัติศาสตร์บางทีอาจจะจดบันทึกไว้ว่า กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินอาศัยโอกาสนี้ก่อคดีใส่ความ สังหารผู้บริสุทธิ์

พอถึงสุดท้าย ตอนคนผู้นั้นเผชิญหน้ากับบรรดาขุนนางด้วยเรื่องใดสักเรื่องหนึ่งอย่างไม่มีผู้ใดยอมถอย อาจต้องผลักใต้เท้าเฮ่อออกมาบดให้เป็นผุยผง เพื่อปลอบใจขุนนางเหล่านั้น หรือเพื่อเจรจากับขุนนางเหล่านั้น

คิดถึงจุดจบของชายตรงหน้าแล้ว ในใจซินโย่วก็ปวดร้าวรุนแรง

“บางที…อย่าได้นำผู้คนเข้ามาเกี่ยวข้องมากเกินไปนัก…”

เฮ่อชิงเซียวพลันเข้าใจความคิดซินโย่ว

ในใจเขาเองก็แอบปวดร้าว แต่มากไปกว่านั้นก็คือความดีใจ

วันหน้ายาวไกลเกินไป เขารู้ว่าคุณหนูที่เขามีใจปฏิพัทธ์ยามนี้เป็นห่วงเขา ใส่ใจเขา ก็รู้สึกพึงพอใจมากแล้ว

“ข้าจะพยายามไม่ทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องโดนลงโทษ…”

เขาให้การรับรองที่มากไปกว่านี้ไม่ได้

คดีนี้จะเชื่อมโยงไปถึงคนมากมายเพียงใด จะต้องสังหารผู้คนมากมายเพียงใด ผู้ที่ตัดสินใจได้ก็คือคนที่กุมดาบผู้นั้น แต่มิใช่ดาบเล่มนี้

“ใต้เท้าเฮ่อเองก็ต้องระวังให้มาก” ตอนแยกจากกัน ซินโย่วกำชับคำหนึ่งก่อนจะเงียบลง

ไม่จำเป็นต้องพูดจามากความ มาถึงยามนี้ ขอเพียงนางยังมีชีวิตอยู่ ก็จะทุ่มเทปกป้องเขาอย่างเต็มกำลัง

หลายวันต่อมา พิธีฝังพระศพฮองเฮาซินก็ดำเนินไปตามกระบวนการ คุกของสำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือก็ครึกครื้นขึ้นทุกวัน ทุกวันยิ่งกว่าทุกวัน…

ยามประชุมท้องพระโรง ขุนนางที่ก้าวออกมาคร่ำครวญก็น้อยลง ที่ทำการขุนนางคุยเล่นกันก็น้อยลง ตามท้องถนน ในที่ทำการก็มีเสียงหัวเราะน้อยลง

เมฆดำปกคลุมเหนือท้องฟ้าจวนตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง ทำให้หลายคนรู้สึกเคร่งเครียดจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ

แต่ยามนี้ซินโย่วกลับมีชีวิตที่สงบสุขอย่างมาก

สุสานหลวงอยู่ห่างไกลจากความวุ่นวายในเมืองหลวง สามด้านเป็นทิวเขาโอบล้อม ต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้า เงียบสงบน่าเกรงขาม มักทำให้ผู้คนคิดไปเองว่าวันคืนไม่ผันแปรไปตามกาลเวลา

“คุณชาย!”

ซินโย่วไม่ฟังเสียงเรียก ฟังเพียงเสียงฝีเท้า ก็รู้ว่าเจ้าแปดมา

นอกจากเชียนเฟิงกับผิงอันที่ติดตามซินโย่วมาสุสานหลวงมา ยังมีเจ้าแปด ส่วนหัวหน้าหก ตอนนี้กำลังนำโจรภูเขาสองร้อยทำนาในโรงนาพระราชทานอยู่ ยุ่งกับการงานจนไม่มีเวลาพัก

เจ้าแปดถือถุงอาบน้ำมันหลายถุงเข้ามาตรงหน้าซินโย่ว ยิ้มเอ่ยว่า “พี่หกให้คนนำขนมไหว้พระจันทร์มาให้ท่าน”

ซินโย่วจึงเพิ่งนึกได้ว่า พรุ่งนี้ก็วันที่สิบห้าเดือนแปดแล้ว

“เจ้าแปด วันนี้เจ้ากลับโรงนาไปก่อน รอหลังเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงค่อยกลับมา”

เจ้าแปดปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด “ข้าน้อยอยู่เป็นเพื่อนคุณชายที่นี่”

พี่น้องสองร้อยกว่า มีเพียงเขาได้ติดตามคุณชายมาสุสานหลวง เขายอมกลับไปย่อมโง่เง่าตาย

เขาจะต้องเป็นคนที่คุณชายให้ความสำคัญอันดับสองให้ได้!

ซินโย่วเห็นเจ้าแปดยืนยัน ก็ไม่ได้เอ่ยอันใดอีก คิดเพียงแค่ว่าพรุ่งนี้เป็นวันที่ครอบครัวพร้อมหน้า แต่สำหรับนางแล้วก็ไม่ต่างอันใดจากวันปกติ

ทางซินโย่วสงบนิ่งไร้คลื่นลม แต่ทางจวนรองเจ้ากรมกลับเกิดเรื่องแล้ว

สำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนให้นักเรียนหยุดเนื่องในวันเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงหนึ่งวัน ต้วนอวิ๋นหลางกลับมาถึงบ้านในวันที่สิบสี่เดือนแปด หลังอาหารเย็นก็โพล่งออกมาว่า “ท่านย่า ท่านลุง ข้ามีเรื่องอยากจะกล่าวสักหน่อย”

[1] หมายถึงสุราดีกรีต่ำ หมักจากข้าวหรือผลไม้ มีที่มาจากในนิยายเรื่องไซอิ๋ว ภิกษุและภิกษุณีจีนดื่มได้

สืบแค้นคุณหนูสวมรอย

สืบแค้นคุณหนูสวมรอย

Status: Ongoing
เมื่อมารดาถูกสังหาร ซินโย่วจึงมายังเมืองหลวงเพื่อสืบหาตัวฆาตกร แต่เมื่อสืบลึกลงไปก็กลับต้องพบกับความจริงอันน่าตกใจภายในนั้น…รายละเอียด นิยายรัก-สืบสวน ครบรสจากนักเขียนมากฝีมือ ‘ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ย’ขณะที่ ซินโย่ว กำลังเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงเพื่อสืบหาเบาะแสสำคัญของฆาตกรสังหารมารดาก็ได้บังเอิญจับพลัดจับผลูตกหน้าผาแล้วเข้าสวมรอยฐานะของ โค่วชิงชิง คุณหนูหลานนอกของจวนรองเจ้ากรมพระราชยานหลวงเข้าเพราะทรัพย์สินมากมายโค่วชิงชิงจึงถูกญาติที่มาหวังพึ่งพิงผลักตกหน้าผาจนถึงแก่ความตาย นั่นทำให้นางได้เข้ามาสวมฐานะของอีกฝ่ายซินโย่วนั้นมีดวงตาที่พิเศษกว่าคนทั่วๆ ไป นางสามารถมองเห็น ‘เรื่องร้าย’ ที่จะเกิดขึ้นกับคนผู้หนึ่งได้โดยไม่เลือกว่าจะเป็นผู้ใด เวลาไหนประกอบกับไหวพริบอันชาญฉลาดทำให้นางสามารถอยู่ในสถานะนี้ได้อย่างไม่ยากเย็นนักเพื่อสืบเรื่องฆาตกรสังหารมารดาซินโย่วจำต้องใช้ฐานะใหม่ที่มีสืบหาเบาะแสจาก ‘บันทึกโบตั๋น’ เปื้อนเลือดที่ตกอยู่ในที่เกิดเหตุยิ่งสืบลงลึกเรื่องราวก็เหมือนจะซับซ้อนยิ่งกว่านั้นเรื่องราวในอดีตเบาะแสที่โยงใยสืบเนื่องกันมา ได้เวลาเผยโฉมแล้ว…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท