ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 – ตอนที่ 645 ถูกแฟนสาวคุมเสียอยู่หมัด

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 645 ถูกแฟนสาวคุมเสียอยู่หมัด

เอ้อร์เลิ่งพาหู่จือไปจุดประทัด เซี่ยเหลยกับหลิวกุ้ยอิงเตรียมอาหารไว้เต็มโต๊ะเพื่อต้อนรับลูกเขยใหม่ทั้งสองและลูกสาวของพวกเขา

ตรงข้ามกับท่าทางห่อเหี่ยวของเซี่ยไห่ วันนี้หลินเซี่ยได้ซองแดงจนมืออ่อนไปหมด เอ่ยคำอวยพรให้ทุกคนด้วยอารมณ์เบิกบาน

เซี่ยไห่กระแซะเข้ามาหาลินดา ถามว่า “ที่รัก ที่บ้านคุณมีญาติผู้ใหญ่เยอะไหม?”

เขาอยากรู้ว่าลูกเขยใหม่อย่างตนเองมีโอกาสได้ซองแดงเยอะหรือเปล่า?

“ไม่มีญาติ” ลินดาตอบสีหน้าเย็นชา

“จะไม่มีญาติได้ยังไง?”

เซี่ยอวี่เตะขาเซี่ยไห่ “คนแก่แบบนายจะไปเทียบกับคนหนุ่มคนสาวเขาทำไม? นายแต่งงานเพื่อซองแดงงั้นหรือ? ถ้าเป็นอย่างนั้น ลินดาเธอเลิกกับเขาแต่เนิ่น ๆ เสียเถอะ”

สถานการณ์ของลินดาค่อนข้างพิเศษ นอกจากเซี่ยอวี่ก็ไม่มีใครรู้อีก ลินดาถูกพ่อแม่ขายใช้หนี้ตั้งแต่อายุสิบกว่าขวบ ตัดขาดกับญาติไปนานแล้ว สิบกว่าปีมานี้ใช้ชีวิตตัวคนเดียวอยู่ข้างนอกมาโดยตลอด

นอกจากเซี่ยอวี่ก็ไม่มีใครคู่ควรต่อความไว้เนื้อเชื่อใจของหล่อนอีก

กระทั่งเซี่ยไห่ หล่อนก็ยังไม่มีความกล้าจะบอกเขาในเรื่องนี้

เซี่ยไห่ถูกเตะไปทีหนึ่งก็โกรธแต่ไม่กล้าบ่น

เซี่ยอวี่บอกเซี่ยไห่ผ่านสายตาว่า ถ้าเขากล้าพูดถึงเรื่องนี้อีก เป็นไปได้อย่างมากที่เซี่ยอวี่จะเย็บปิดปากเขา

เย่ไป๋มานั่งลงตรงหน้าเซี่ยอวี่แล้วกุมมือเอาไว้โดยไม่สนใจสายตาคนอื่น

“สวัสดีปีใหม่” เขาพูด

“สวัสดีปีใหม่”

“คุณดูสิว่าเจียเหอกับเซี่ยเซี่ยมีความสุขแค่ไหน ปีใหม่ครั้งหน้า ครอบครัวพวกเขาก็จะมีกันสี่คนแล้ว” เย่ไป๋มองเฉินเจียเหอที่กำลังแกะส้มให้หลินเซี่ยพลางกล่าวกับเซี่ยอวี่

เซี่ยอวี่เหล่ตามองเขา “คุณมีความคิดอะไรคะ?”

แววตาเย่ไป๋ไหวระริก ยิ้มเอ่ยว่า “มีสิ”

เซี่ยอวี่อยากพูดอะไรอีก แต่เสียงของคุณแม่เซี่ยดังขึ้นเสียก่อน

“เด็ก ๆ กินข้าวได้แล้ว”

ช่วงปีใหม่แบบนี้ไม่กินก็ดื่ม เนื่องจากบ้านตระกูลเซี่ยมีพ่อครัวใหญ่อย่างเซี่ยเหลยกับหลิวกุ้ยอิงอยู่ด้วย อาหารที่บ้านพวกเขาจึงหลากหลายและมีความเป็นทางการกว่าที่ผ่านมา

เซี่ยไห่เตรียมเหล้าชั้นดีมาด้วย ตั้งใจว่าวันนี้จะมอมลูกเขยใหม่ทั้งสองคนให้เมาแอ๋ให้ได้

ปกติเวลาเย่ไป๋ไปทำงานและดื่มแอลกอฮอล์ไม่ได้ ช่วงปีใหม่แบบนี้จึงเป็นโอกาสอันดีที่จะมอมเหล้าเขา

อาหารถูกยกขึ้นโต๊ะ เซี่ยไห่ขอให้คุณแม่เซี่ยพูดอะไรสักหน่อย ทบทวนปีที่ผ่านมาและอวยพรปีใหม่ให้ทุกคน

“ยี่สิบปีแล้ว ปีนี้เป็นปีที่ฉันมีความสุขมาก” คุณแม่เซี่ยมองลูกชายลูกสะใภ้ ลูกสาว ว่าที่ลูกเขย หลานชายหลานสะใภ้ รวมถึงเหลนอย่างหู่จือ นางตื้นตันจนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ

“ที่ผ่านมาพอถึงช่วงปีใหม่ สำหรับฉันแล้วเหมือนช่วงเวลาแห่งความทุกข์ คนอื่นได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา มีแต่ฉันที่มีทุกข์อยู่เต็มอก ตอนพวกเธอยังเด็ก ฉันเสียใจมากที่ไม่สามารถทำให้พวกเธอฉลองปีใหม่เหมือนคนอื่นเขาได้ หลังจากพวกเธอโตกันหมดแล้ว ฉันก็กลุ้มใจเรื่องสุขภาพของพี่ใหญ่ของพวกเธอ ยี่สิบปีมานี้ ไม่เคยได้มีช่วงเวลาที่มีความสุขแบบนี้ ไม่เคยได้ฉลองปีใหม่โดยปราศจากภาระในใจแบบนี้มาก่อนเลย”

นางทอดถอนใจว่า “ปีนี้คิดไม่ถึงเลยว่าชีวิตของพวกเราจะเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้ เสี่ยวเหลยฟื้นความทรงจำกลับมา แต่งงานแล้ว เขายังมีลูกสาวคนหนึ่ง”

สำหรับตระกูลเซี่ยแล้ว เซี่ยเหลยไม่เพียงได้พบกับลูกสาว แต่ยังนำพาความหวังมาให้พวกเขา

“ยังมีเสี่ยวอวี่กับเสี่ยวไห่ พวกเธอสองคนก็ทำได้ดีมาก เต็มใจคบหาดูใจกับแฟน เรื่องหลังจากนี้ ฉันไม่กล้าคาดหวังอะไรอีกแล้ว”

คุณแม่เซี่ยมองเย่ไป๋กับลินดา เอ่ยอย่างจริงใจ “ฉันต้องขอบคุณเย่ไป๋กับลินดา ขอบคุณที่พวกเธอเต็มใจโอบรับข้อบกพร่องของเซี่ยอวี่และเซี่ยไห่ เต็มใจเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของพวกเรา แน่นอนว่าลูกสาวลูกชายของฉันก็ดีมากเหมือนกัน นี่ยังแสดงให้เห็นว่าพวกเธอตาถึงกันทั้งคู่”

“มา ทุกคนชนแก้วกันหน่อย”

คุณแม่เซี่ยยกแก้วขึ้นก่อน ลุกขึ้นชูแก้วไปทางผู้เยาว์ทั้งหลายอย่างมีความสุข “หวังว่าปีใหม่ครั้งหน้า เอ้อร์เลิ่งจะได้พบคนที่ถูกใจ พาแฟนมาที่บ้านเพื่อฉลองปีใหม่ด้วยกันกับพวกเรา”

เอ้อร์เลิ่งยิ้มแฉ่ง “ขอบคุณครับคุณย่าเซี่ย”

เอ้อร์เลิ่งไม่ได้คาดหวังเรื่องความรักมานานแล้ว เขาในตอนนี้ยังไม่มีความเชื่อมั่นพอจะคิดว่าจะมีผู้หญิงที่ไหนมาชมชอบตัวเอง…

แต่เขาก็ยังน้อมรับคำอวยพรด้วยความปรารถนาดีจากคุณย่าเซี่ยเอาไว้ด้วยความยินดี

“มา พวกเราเริ่มกินกันเถอะ ทุกคนกินเยอะ ๆ ปีใหม่ทั้งทีฉลองกันให้เต็มที่”

“คุณย่า คุณย่าก็กินด้วยเหมือนกันสิคะ” หลินเซี่ยคีบอาหารให้คุณแม่เซี่ย ทุกคนรับประทานอาหารกันอย่างมีความสุข

หลังกินข้าวเสร็จ ทุกคนก็นั่งดูทีวีด้วยกันพลางพูดคุยสัพเพเหระ

“เย่ไป๋ เธอกับเสี่ยวอวี่มีแผนหลังจากนี้ยังไงบ้าง?”

คุณแม่เซี่ยมักเป็นห่วงเรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่เสมอ

นางรู้ว่าทำแบบนี้อาจทำให้คนรำคาญ แต่ในฐานะแม่ ถ้าไม่ได้เห็นลูกสาวลูกชายแต่งงานมีครอบครัวหนึ่งวัน นางก็จะกังวลใจไปอีกหนึ่งวัน

ที่ผ่านมาพวกเขาปฏิเสธไม่ยอมมีแฟนย่อมไม่มีความหวัง แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่ามีแฟนกันแล้วแต่กลับไม่คืบหน้าเสียที ยิ่งทำให้คนร้อนใจ

เย่ไป๋กับลินดาเป็นคนหนุ่มสาวที่ดีพร้อมขนาดนี้ ถ้าถูกลูกสองคนของนางทำให้เจ็บช้ำน้ำใจขึ้นมา นั่นเป็นบาปชัด ๆ

เซี่ยอวี่เป็นพี่สาว คุณแม่เซี่ยจึงกดดันเรื่องระหว่างหล่อนกับเย่ไป๋ก่อน “ปีใหม่แล้ว พวกเธอก็อายุมากขึ้นอีกปี ในเมื่อพวกเธอสองคนใจตรงกัน ฉันก็อยากให้พวกเธอหมั้นหมายกันไว้เร็ว ๆ เธอดูสิวันที่สองแบบนี้ยังมาสวัสดีปีใหม่ที่นี่ แสดงว่าเธอเห็นตัวเองเป็นลูกเขยบ้านฉันแล้ว ในเมื่อเป็นอย่างนี้ พวกเธอก็น่าจะมีพิธีรีตองกันสักหน่อย ไม่อย่างนั้นถ้ายังปล่อยให้ไม่มีสถานะแบบนี้ต่อไป มันไม่เหมาะสมเท่าไหร่นะ”

เย่ไป๋ฉีกยิ้ม ตอบรับอย่างเคารพเชื่อฟัง “คุณป้าเซี่ยพูดถูก”

ความจริงก็คือวันนี้ตอนจะออกมาจากบ้าน พ่อแม่กับปู่รองของเขาก็พูดกับเขาแบบนี้เหมือนกัน

หวังว่าเขาจะคุยกับเซี่ยอวี่ดี ๆ จัดการเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องเป็นราว อย่างน้อยก็หมั้นกันไว้ก่อน

เย่ไป๋ย่อมหวังให้เซี่ยอวี่มอบสถานะที่ชัดเจนให้เขาไว ๆ

แต่เขาเข้าใจนิสัยของเซี่ยอวี่ดี

ไม่ควรร้อนใจเกินไป เขากลัวมากกว่าว่าถ้าตนเองกดดันมากเกินไป เซี่ยอวี่อาจทิ้งเขาไปได้

ดังนั้น เย่ไป๋จึงเอ่ยอย่างไม่จริงใจว่า “ผมเคารพความต้องการของเสี่ยวอวี่ ผมอะไรก็ได้ทั้งนั้น”

คุณแม่เซี่ยเห็นว่าเย่ไป๋ถูกเซี่ยอวี่จัดการได้เสียอยู่หมัด นางมีสีหน้าแค้นใจที่เหล็กไม่เป็นเหล็กกล้า “เธอเป็นผู้ชายนะ อย่าเอาแต่เชื่อฟังแฟนแบบนั้น ถ้าเสี่ยวอวี่ไม่แต่งงานทั้งชีวิต อยากเป็นแฟนกับเธอไปแบบนี้ เธอก็เต็มใจงั้นหรือ?”

เย่ไป๋ “…”

พูดตามตรง เมื่อก่อนเขาก็คิดไว้แบบนี้

ถ้าเซี่ยอวี่ต้องการคบหากันโดยไม่แต่งงาน เขาก็จะเคารพความต้องการของแฟนสาว แต่มีข้อแม้ว่าหล่อนต้องไม่ทอดทิ้งเขา คบหากันอย่างนี้ไปชั่วชีวิต

คนเรามักจะเป็นเช่นนี้ ไม่พอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

ความกดดันจากทางบ้าน แรงกดดันจากโลกภายนอก ทำให้ความคิดของเขาเกิดความเปลี่ยนแปลงไปโดยไม่รู้ตัว

โดยเฉพาะตอนที่เห็นเฉินเจียเหอกับหลินเซี่ยมีครอบครัวเล็ก ๆ เป็นของตัวเอง ให้กำเนิดชีวิตใหม่ ได้ใช้ชีวิตร่วมกันตลอดเวลา เขาก็เริ่มปรารถนาอยากมีชีวิตแบบนั้นเช่นกัน

แต่เขาระมัดระวังต่อความรักของเซี่ยอวี่มาโดยตลอด ไม่กล้าเพิ่มแรงกดดันใดๆ ให้หล่อน

คุณแม่เซี่ยรู้ว่าเรื่องระหว่างสองคนนี้ คนมีอำนาจตัดสินใจคือเซี่ยอวี่ นางจึงหันไปถามเซี่ยอวี่ “เสี่ยวอวี่ ลูกคิดยังไง?”

“แม่ จำเป็นต้องพูดเรื่องนี้ตอนปีใหม่ด้วยเหรอ?” เซี่ยอวี่นวดหว่างคิ้วอย่างปวดหัว เอ่ยปากอย่างไม่พอใจ

คุณแม่เซี่ยแค่นหัวเราะ “ไม่พูดตอนนี้จะให้พูดตอนไหน? ผ่านช่วงปีใหม่ไปพวกเธอก็แยกย้ายกันไปทำงานแล้ว ฉันอยากพูดก็ต้องพบคนให้ได้ก่อนสิ”

“เรื่องนี้ฉันต้องคิดให้ดี แม่ก็ให้เวลาพวกเราบ้างเถอะ ปีนี้ฉันต้องถ่ายละคร รอจนปิดกองแล้วค่อยคิดเรื่องแต่งงานอีกที”

เซี่ยอวี่เปลี่ยนความคิดจากเมื่อก่อนที่แค่คบแฟนแต่ไม่แต่งงานมาเป็นเริ่มพิจารณาเรื่องแต่งงานในตอนนี้ก็นับว่าเป็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่แล้ว

ไม่ต้องพูดเลยว่าเย่ไป๋ดีใจแค่ไหน รีบเปลี่ยนเรื่องคุย ให้คุณแม่เซี่ยไปจับผิดเรื่องคนอื่น

“เสี่ยวไห่ แกกับลินดาล่ะ?” คุณแม่เซี่ยหันไปสนใจเซี่ยไห่กับลินดา

เซี่ยไห่ตอบอย่างรวดเร็ว “ผมยังไงก็ได้”

แต่ลินดากลับพูดว่า “คุณป้าคะ งานของหนูยุ่งมาก ตอนนี้ยังไม่คิดเรื่องแต่งงาน”

คุณแม่เซี่ยได้ยินคำพูดของลินดาก็ขมวดคิ้วหันไปหาเซี่ยอวี่ “ดูซิ ปัญหาอยู่ที่พวกเธอสองคนแล้ว ในหัวมีแต่เรื่องงาน”

“ฉันรู้ว่าพวกเธอให้ความสำคัญกับงาน แต่งงานแล้วก็ยังทำงานต่อไปได้ ไม่มีใครไปแทรกแซงพวกเธอหรอก พวกเธอมีครอบครัวของตัวเองแล้ว กลับบ้านมีคนคอยเป็นห่วงเป็นใย เจ็บป่วยมีคนดูแล อารมณ์ไม่ดีก็ระบายให้คู่ชีวิตฟังได้ ต่อให้พวกเธอจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานมากแค่ไหน แต่พวกเธอลองถามใจตัวเองดูว่า ตอนกลางคืนกลับมาเจอบ้านที่ว่างเปล่า ในใจพวกเธอไม่รู้สึกว้าเหว่เดียวดายบ้างเลยหรือ?”

คุณแม่เซี่ยเป็นผู้หญิงหัวอนุรักษ์ ในสายตาของนาง ไม่ว่าชายหรือหญิง จะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานมากแค่ไหนก็ควรมีครอบครัวของตัวเอง มีที่พักพิงใจ อย่างน้อยก็มีคนทะนุถนอม

สามีมีภรรยาดูแลจะได้ไม่ไปก่อเรื่องข้างนอก

ภรรยามีสามีคอยรักใคร่ เวลาถูกรังแกข้างนอกจะได้มีความมั่นใจว่าจะตอบโต้ได้

“ตอนไปเจอคนไม่ดีข้างนอก ไม่มีใครออกหน้าหนุนหลังให้พวกเธอ ไม่มีใครปลอบใจ ไม่รู้สึกแย่บ้างหรือ?”

คุณแม่เซี่ยถามจากใจจริง

คราวก่อนเซี่ยอวี่ถูกเจ้านายคนหนึ่งรังแกตอนอยู่ที่เมืองปินเฉิง ถ้าไม่ได้เย่ไป๋ไปแจ้งตำรวจได้ทันเวลาคงถูกรังแกสำเร็จไปแล้ว

อย่างน้อยในเวลาแบบนั้นก็มีคนรักคอยปลอบโยนปกป้อง ความอุ่นใจแบบนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นจะมอบให้ได้

เซี่ยอวี่พูด “แม่ ความคิดของพวกเรากับแม่ไม่เหมือนกัน แม่อย่ายัดเยียดความคิดของคนรุ่นก่อนมาให้พวกฉันเลย”

ถ้าเป็นเวลาปกติ คุณแม่เซี่ยเอาแต่เร่งรัดหล่อนแบบนี้ เซี่ยอวี่คงจะถามกลับไปว่า แม่ก็แต่งงานแล้วเหมือนกัน แต่สามีก็หนีไปกับหญิงอื่นแล้วไม่ใช่หรือ?

ความโชคร้ายทั้งหลายในชีวิตของแม่ล้วนเป็นเพราะแต่งงานผิดคน

ถ้าไม่แต่งงานหรือไม่แต่งงานกับคนแบบพ่อของพวกหล่อน คุณแม่เซี่ยก็คงไม่ต้องทนทุกข์แบบนั้น

แต่วันนี้เป็นวันปีใหม่ หล่อนไม่อยากให้แม่ทุกข์ใจ

“ฉันไม่ได้จะบอกให้พวกเธอแต่งงานแล้วอยู่เฝ้าบ้านเสียหน่อย พวกเธอยังทำงานได้เหมือนเดิม แต่ในใจมีคนให้คิดถึงและยังถูกคนคิดถึง ก็จะยิ่งมีกำลังใจทำงานกว่าเดิม”

คุณแม่เซี่ยมองหลินเซี่ย เอ่ยปากพร้อมรอยยิ้มว่า “ถ้าไม่เชื่อก็ลองถามเจียเหอกับเซี่ยเซี่ยดูสิว่าฉันพูดถูกหรือเปล่า?”

หลินเซี่ยเห็นด้วยกับคำพูดของคุณแม่เซี่ยอย่างมาก “คุณย่าวิเคราะห์ได้ถูกต้องแม่นยำมากค่ะ”

คุณแม่เซี่ยยิ้มกว้างทันที ต่อมาก็ได้ยินหลินเซี่ยพูดว่า “แต่ทุกคนก็มีการตัดสินใจของตัวเอง พวกเราเคารพการตัดสินใจของพวกเขาดีกว่านะคะ”

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

Status: Ongoing
เมื่อสวรรค์ได้ให้โอกาสเธอย้อนกลับมาแก้ขในสิ่งที่ผิดพลาด เธอจะใช้โอกาสนี้เป็นช่างเสริมสวยยอดฝีมือให้ได้ตามฝันอย่างไรกันนะ?เรื่องย่อ : ในชาติก่อน หลินเ เป็นสไตสต์คนโง่ผู้ร้ความคิดป็นของตัวเอง จึงถูกดาราดาวรุ่งผู้เป็นเพื่อนสนิทวางแผนทำลายชีวิตจนพังพินาศ ไร้ซึ่งเครดิต ไร้ซึ่งอำนาจ และหน้ามืดตามัวทิ้งสามีพ่อม่ายลูกติดที่คอยสนับสนุนมาตลอดได้ลงค แต่เหมือนสวรรค์ยังคงเห็นใจต่ชะตาชีวิตอันรันทดของเธอ จึงทำให้เธอได้ย้อนกลับมาเกิดใหม่ในปี 1988 อันเป็นปีที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินกว่าแก้ หลินเชี่ยจะใช้โอกาสที่ได้มีชีวิตครั้งที่สองเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตัวเองอย่างไรบ้าง?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท